การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 168 ลางสังหรณ์

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 168 ลางสังหรณ์

 

 

ในช่วงตกดึก อยู่ดีๆ ผมก็ตื่นขึ้น

 

 

ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงระฆังหรือเสียงคำรามใดๆ ดังขึ้น ถึงจะพยายามตั้งใจฟังเสียงผิดปกติอะไรก็ไม่ได้ยิน สิ่งเดียวที่พอจะได้ยินก็คงเป็นเสียงละเมอของซูซูเมะที่นอนอยู่ในเต็นท์โดยมีผ้ากั้นระหว่างผมกับเธอไว้

 

 

ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะเหล้าที่ผมดื่มกับโจเอลหรือเปล่า แต่มันก็แค่เที่ยงคืนเองนะ จะเร็วเกินไปไหม

 

 

เอาเป็นว่าอยู่ๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาและดันนอนไม่หลับ

 

 

ผมจึงลุกออกจากที่นอนอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วค่อยๆ ออกจากเต็นท์โดยระวังไม่ให้ซูซูเมะตื่น ทันใดนั้นสายลมเย็นยะเยือกก็ไหลเข้ามากระทบร่างของผม จนทำให้ไหล่ของผมต้องสั่นสะท้าน

 

 

เหมือนตอนที่อยู่เบลก้า ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนในทะเลทรายมันคนละเรื่องเลย ขนาดว่าอยู่ในเมืองยังสัมผัสได้ ดังนั้นพอเป็นในโอเอซิสแบบนี้มันก็เลยหนักกว่าเก่า แต่ก็รู้ได้เช่นกันว่าพอพระอาทิตย์ขึ้นอากาศที่ร้อนระอุก็จะมาแทนที่ในทันที

 

 

 

เมื่อผมมองไปยังบนท้องฟ้า ก็เห็นว่าพระจันทร์ดวงใหญ่คล้ายลูกตากลมโตจ้องมองมายังโลก ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองระหว่างมองมัน

 

 

 

――ความรู้สึกแปลกๆ ที่ตามมาหลอกหลอนจนผมนอนไม่หลับคืออะไรกัน

 

 

 

ร่างกายเต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่ทำให้รู้สึกง่วง แม้จะพยายามสังเกตไปรอบๆ ก็ไม่เห็นหรือได้ยินอะไร

 

 

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าลางสังหรณ์ ว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นไม่สิ—ไม่เกิดขึ้นแล้วต่างหาก มันคือความเชื่อมั่นอยู่ภายในจิตใจ

 

 

คำถามต่อมาคือแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ คนที่นี่ก็พอจะรู้กันแล้วว่าผมคือดราก้อนสเลเยอร์ นอกจากนี้ผมก็ได้ทำความรู้จักกับทางผู้นำเหยี่ยวทะเลทรายแล้ว ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้น ผมก็น่าจะได้รับแจ้งข้อมูลก่อนใครเพื่อน

 

 

…หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้รู้ว่าโอเอซิสอาเวโต้ถูกฝูงมอนสเตอร์เข้าโจมตี

 

 

 

ข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีได้มาถึงในช่วงกลางดึก โดยปกติมันคือช่วงเวลาที่นักผจญภัยและผู้คนกำลังหลับใหล แต่ปฏิกิริยาตอบสนองต่อข่าวที่นำมาส่งช่างรวดเร็ว

 

 

โอเอซิสของทะเลทรายคาตาลานไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากจะมีพวกมอนสเตอร์มาโจมตีกลางดึกพวกเขาย่อมเคยเจอเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้วและก็มีบางทีที่ผู้อยู่อาศัยก็อาจจะทิ้งโอเอซิสไป หากจำนวนมอนสเตอร์มันเยอะเกินไป

 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ก็ใช่ว่าชาวเมืองทุกคนจะยอมรับแนวทางเหมือนกันทั้งหมด แน่นอนว่าพวกเขาสามารถละทิ้งที่แห่งนี้ไปได้ แต่มันก็คงจะดีกว่าหากว่าสามารถป้องกันแล้วคงสถานที่แห่งนี้ไว้ หรือก็คือตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันอยู่ว่าจะปกป้องหรือละทิ้งโอเอซิสแห่งนี้ดี นั่นคือสิ่งที่โจเอลผู้นำเหยี่ยวทะเลทรายมาบอกกับผม

 

ผมแน่ใจเลยว่าเขาคงอยากจะได้ความช่วยเหลือจากผมเป็นอย่างมากแม้งานในมือจะล้นแล้ว แต่เขาก็มาหาผมโดยอธิบายเรื่องราวต่างๆ อย่างใจเย็น

 

 

「ฉันได้ยินคนที่หนีมาจากอาเวโต้บอกว่าสถานการณ์ค่อนข้างแย่เลย พวกเขาบอกว่าเจอมอนสเตอร์บุกเข้ามาโจมตีทั้งเหนือ ใต้ ตะวันตกพร้อมกัน สภาพที่นั่นตอนนี้คงหนักหนาเอาการ」

 

 

 

「….ดูเหมือนมีกลยุทธ์พอสมควรเลยนี่」

 

 

หากเลือกปิดล้อมเอาไว้ทุกทาง มันก็จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายต้องสู้จนนตัวตาย เพื่อไม่ให้ไปถึงจุดนั้นจึงจงใจสร้างทางหนีไว้ให้ สุดท้ายก็จะมีเพียงแค่กองกำลังไม่มากนักที่จะเลือกต่อสู้ต่อไป อีกทั้งพวกที่หนีก็สามารถเต็มเก็บจากด้านหลังได้สบายๆ

 

มันคือสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากการเคลื่อนไหวของพวกมอนสเตอร์ แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่โจเอลก็เห็นด้วยกับผม

 

 

「พวกแซนลิซาร์ดที่ซุ่มโจมตีมนุษย์ ฝูงมดคาตาลานที่รวมตัวกันออกล่า แมงป่องทองที่ปลอมตัวเป็นก้อนทองหลอกล่อผู้คน เล่ห์กลของพวกมันก็พอเป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้แหละนะ」

 

 

 

 

โดยทางโจเอลมองว่าพวกเราควรละทิ้งโอเอซิสเลโล――ทว่าก็มีคนอีกไม่น้อยที่ต่อต้าน

 

 

หากทุกคนต้องทิ้งโอเอซิสตามที่โจเอลบอก ก็หมายความว่าทุกคนต้องเดินทางในทะเลทรายกันช่วงกลางคืน ความเร็วในการเดินทางคงไม่มีมาก สุดท้ายพวกมอนสเตอร์ก็อาจจะตามทัน สุดท้ายก็ต้องไปสู้กับพวกมอนสเตอร์กลางทะเลทรายโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง

 

 

ก็คงไม่แปลกหากจะมีบางส่วนบอกว่าการรับมือกับพวกมอนสเตอร์ที่โอเอซิสแห่งนี้คงจะดีกว่า

 

นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่หนีมาจากอาเวโต้จะรอดมาถึงเลโลแห่งนี้ครบหมดแล้ว บางส่วนก็เลยมองว่าไม่ควรทอดทิ้งคนพวกนั้นด้วย

 

 

โจเอลเองก็เข้าใจดี ทว่าเขาก็ยังยืนกรานว่าควรจะหนีกันไปเสียเพราะ――

 

 

 

「ฉันสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเหมือนกับมีมีดที่มองไม่เห็นมาจ่อคอตลอดเวลาเลยน่ะสิ」

 

 

 

นั่นคือสิ่งที่ผู้นำของเหยี่ยวทะเลทรายบอกมา

 

 

「ขอบอกไว้เลยนะว่าพอฉันรู้สึกอะไรทำนองนี้ เรื่องมีดีเกิดขึ้นตามมาเสมอ อาจจะมีของอย่างสุดท้ายก็ถูกพวกมอนสเตอร์ล้อม พายุทรายโหมเข้ามา โดนวางยาพิษ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ถึงจะได้รับข่าวมาจากทางนั้นแล้วความรู้สึกดังกล่าวก็ไม่ได้หายไปเลย ก็หมายความว่าหากยังอยู่ที่นี่ก็ไม่น่าจะปลอดภัยแน่」

 

 

 

พอผมได้ยินเขาบอกแบบนั้น ดวงตาของผมก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าโจเอลจะรู้สึกอะไรคล้ายๆ กับผม

 

หากจะมีความต่างกันก็คงจะเป็นการมองสิ่งที่อันตรายนั้นเป็นวิกฤติ หรือ โอกาสกันแน่

 

 

ผมก็เลยเปิดปากพูดขณะคิดเรื่องราวพวกนี้อยู่

 

 

 

 

「ฉันพอจะเข้าใจแล้ว แล้วนายอยากจะให้ฉันทำอะไรล่ะ? 」

 

 

 

พอฟังเรื่องราวของทางนั้นเสร็จ ผมก็เลยถามถึงเหตุผลที่เขาเอาเรื่องพวกนี้มาบอกผม

 

 

โจเอลจึงเปิดปากพูดต่อ

 

 

「ถ้าถามว่าทำไมถึงเอามาบอก ก็เพราะฉันอยากจะรู้ว่านายคิดจะสู้หรือหนีนั่นแหละ แต่ไม่ว่าทางไหนฉัน――ไม่สิเลโลแห่งนี้ก็อยากจะได้ความช่วยเหลือจากนายสักหน่อยน่ะ」

 

 

ถ้าผมวางแผนจะสู้เขาก็อยากจะให้ผมไปช่วยสนับสนุนผู้อพยพจากทางอาเวโต้ หรือถ้าคิดจะหนีก็อยากจะให้ผมรีบไปขอกำลังเสริมจากเบลก้า

 

 

โจเอลบอกว่าผมคือคนที่เหมาะสมที่สุดเพราะบินได้

 

 

จำนวนเงินที่เขาเสนอมามันก็สูงมากเสียจนทำผมตกใจ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พร้อมจะจ่ายทันทีเลยด้วย ก่อนที่ผมจะรู้ตัวก็เห็นว่าในมือของโจเอลนั้นถุงผ้าที่อัดแน่นไปด้วยเหรียญอยู่

 

 

นอกจากจะแสดงถึงความจริงใจต่อเพื่อนร่วมงานแล้ว เขายังมาคุยด้วยตัวเองพร้อมกับของติดมือ สมกับเป็นผู้นำปาร์ตี้ที่มีชื่อเสียงของเบลก้า

 

 

ผมยักไหล่ก่อนจะตอบ

 

 

「ในสถานกาณ์แบบนี้ฉันคงไม่คิดจะหนีหรอก ส่วนเรื่องผู้อพยพเดี๋ยวฉันจัดการเอง แต่เงินนี่คงต้องขอผ่าน」

 

 

「หือ ทำไมล่ะ? ฉันว่าพอเรามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันจะทำอะไรได้ดีขึ้นนะ」

 

 

 

 

ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่ยิ้นให้แทน

 

 

หากผมได้รับเงินจากเขา ก็หมายความว่าโจเอลและโอเอซิสแห่งนี้คือนายจ้างของผม หากเป็นเช่นนั้นในอนาคตอาจจะมีหลายๆ อย่างที่ผมต้องการจะทำถูกจำกัดเอาไว้ด้วย

 

ดังนั้นการให้ความร่วมมือเฉยๆ มันคงจะเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่าการรับคำขอมา นั่นคือสิ่งที่ผมคิด แถมผมไม่อยากจะไปฟังคำวิจารณ์เอาตอนหลังอย่าง ดราก้อนสเลเยอร์ฉวยโอกาสในยามวิกฤติเพื่อหาเงินด้วย

 

 

 

「เอาเงินนี้ไปช่วยพวกที่หนีมาดีกว่านะ」

 

 

「ฮ่าๆๆ! ทำอย่างกับเป็นพระเอกของเรื่องนี้เลยนะ ให้ตายสิอย่างกับเห็นแอโร่」

 

โจเอลพูดเสร็จแล้วก็เดินจากไป หลังจากคำนึงถึงศักยภาพในการต่อสู้ของผม ผมเดาว่าพวกเขาคงตั้งใจจะไปวางแผนกกันต่อกับพวกระดับสูงในโอเอซิส

 

 

ทางผมเองก็ต้องไปอธิบายให้พวกพ้องได้ฟัง ตอนนี้ทางลูนามาเรียกับวิสทีเรียก็ตื่นกันหมดแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยตามมา

 

 

 

 

ผมจึงแบ่งหน้าที่โดยการขอให้อิเรียกับคาเทียช่วยรักษาผู้อพยพจากทางตะวันตก ตามที่โจเอลบอกดูเหมือนพวกเขาจะถูกมอนสเตอร์เล่นงานกันมาอย่างหนัก หากมีนักบวชที่ใช้ปาฏิหาริย์ในการรักษาได้คงจะมีประโยชน์

 

 

นอกจากนี้ผมก็ขอให้ลูนามาเรียกับซูซูเมะไปช่วยนักบวชทั้ง 2 ด้วย

 

 

ระหว่างนี้ผมกับวิสทีเรียจะขี่คราว โซราสไปทางตะวันตก ส่วนที่ผมนำเธอมาด้วยก็เป็นเพราะการต่อสู้ในคืนนี้อาจจะจำเป็นต้องใช้อนิม่า ซึ่งก็น่าจะเป็นบทเรียนให้เธอได้ดี

 

 

แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้าน พวกผมจึงเริ่มเคลื่อนไหวกันทันที

 

 

 

◆◆◆

 

「…………นี่มัน」

 

 

วิสทีเรียอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นทิวทัศน์ด้านล่างจากข้างบนไวเวิร์นคราม

 

 

ฝูงของมอนสเตอร์กำลังโถมไปตามผืนทะเลทราย

 

 

แม้จะเป็นวิสทีเรียที่สังหารเหล่ามอนสเตอร์มาจำนวนมากในฐานะหัวหน้าผู้พิทักษ์ ก็ยังเดาไม่ออกเลยว่าพวกมันมีกี่ตัว

 

 

มิอากาศของทะเลทรายนั้นรุนแรงและยากลำบากแม้แต่กับมอนสเตอร์ในทะเลทราย แล้วพวกมันมาจากไหนกัน ก่อนหน้านี้พวกมันต้องอยู่กินและอาศัยกันอยู่ตรงไหนถึงรอดมาจนถึงตอนนี้ได้

 

 

ทางโซระเริ่มเปิดปากพูดขึ้น

 

 

 

 

「ดูเหมือนจะเยอะกว่าที่คิดอีกนะ มันโผล่มาจากไหนกันเนี่ย」

 

 

「จำนวนของพวกมันช่างน่าขนลุกจริงๆ ด้วยความเร็วของพวกมันแล้ว อีกไม่นานคงจะตามกลุ่มคนอพยพทันแน่」

 

 

วิสทีเรียจำกลุ่มอพยพที่เธอเห็นก่อนหน้านี้ได้ คนในนั้นมีไม่ถึง 100 คน ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่หนีออกมาแล้วด้วย

 

 

ก็จริงว่าอาจจะมีกลุ่มหลังจากนั้นอีก แต่พอมองมอนสเตอร์ข้างล่างก็คงพอเดาสภาพกลุ่มหลังจากนั้นออก

 

 

 

 

「….แล้วโซระ คุณจะทำยังไงต่อเหรอ? 」

 

 

 

「ของมันก็แน่อยู่แล้ว ต้องสู้น่ะสิฉันเลยมาที่นี่ไง」

 

 

 

เขาตอบวิสทีเรียออกมาโดยไม่ลังเล ทว่าเมื่อพิจารณาจากจำนวนของศัตรู วิสทีเรียมองว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการมันได้ทั้งหมด ดังนั้นการใช้ความเร็วจากไวเวิร์นครามในการหยุดยื้อพวกมันเอาไว้น่าจะเป็นแผนที่ดีที่สุด

 

 

พอคิดได้แบบนั้น วิสทีเรียก็เริ่มทำการเตรียมเรียกสปิริตระดับสูง

 

อย่างไรก็ตาม โซระกลับพูดเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงกับไวเวิร์นครามที่น่าจะเป็นตัวหลักของแผนคราวนี้

 

 

 

「คราว โซราส ทิ้งฉันลงตรงฝูงนั่นได้เลย」

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้น วิสทีเรียก็เสียสมาธิในการเตรียมการทันที

 

 

ส่วนทางไวเวิร์นครามก็เหมือนจะตอบสนองด้วยท่าทีที่คุ้นเคยกับคำสั่งดังกล่าว และหันมาตอบกลับเจ้านายตน

 

ร่างกายของเธอสั่นอย่างรุนแรง ก่อนจะเข้าไปเกาะโซระที่อยู่ตรงหน้าเธอและเปิดปากขึ้น

 

 

「เอาจริงเหรอ? 」

 

 

 

「หือ เอาจริง? 」

 

 

 

「…ฉันเอาจะเข้าใจผิดไป แต่คุณไม่ได้คิดจะวางแผนลงไปสู้กับพวกมันคนเดียวใช่ไหม? 」

 

 

 

「อ้อ เธอเข้าใจถูกแล้ว」

 

 

 

 

เขาตอบเธอกลับมาอย่างตรงไปตรงมา

 

นั่นทำให้วิสทีเรียพูดอะไรไม่ออก เธอรู้ว่าโซระนั้นแข็งแกร่ง แต่เธอก็ยังคิดว่าการตัดสินใจของโซระมันประมาทเกินไป

 

 

 

 

จำนวนคือภัยคุกคามที่หนักหนาที่สุดในสนามรบ แม้จะเป็นผู้กล้าที่สามารถเอาชนะเทพปีศาจปาซูซุลงได้ แต่คงไม่มีทางที่เขาจะรับมือกับมอนสเตอร์จำนวนมากขนาดนี้ไหว

 

 

กลับกันทางโซระได้แสดงรอยยิ้มออกมาโดยไม่ได้สนใจความหวาดหวั่นของวิสทีเรียเลย

 

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท