176.1 ช่วงคั่น พี่น้องตระกูลเบิร์ช
ผ่านไปนานแค่ไหนกันแล้วนะ ที่เธอถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินนี้
ภายใต้สติอันโรยรินของไคลอา เบิร์ช เธอได้นึกถึงเรื่องนี้
เนื่องจากเป็นคุกใต้ดิน จึงไม่มีแสงแดดส่องมาถึง การรับรู้วันเวลาก็ผิดเพี้ยน แม้แต่อาหารก็มักจะมาไม่เป็นเวลา
ร่างกายที่ส่งเสียงร้องด้วยความหิวโหยตลอดเวลา จนชวนให้กังวลว่าตัวเองจะมาตายอยู่ตรงนี้ไหม ความอัดอั้นที่อยู่ภายในใจของเธอมันมากเสียจนอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ
ตั้งแต่ที่เธอจำความได้หลังถูกรับมาเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลเบิร์ช ก่อนที่ไคลอาจะกลายมาเป็นนักรบแห่งผืนป่า เธอและคลิมน้องชายของเธอก็มักจะได้รับคำสั่งจากกิลมอร์ให้มาทำความสะอาดที่นี่บ่อยๆ
บางทีมันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในคำเตือนของเขาว่าพวกเธอควรรู้ไว้ว่าหากทำให้อีกฝ่ายผิดหวังจะเกิดอะไรขึ้น ความหวาดกลัวที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เธอได้รับรู้มันได้เป็นอย่างดี
เธอเคยเจอทั้งเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอได้ตายลงทั้งที่ตายังเปิดกว้าง ไคลอาถึงกับต้องกลั้นเสียงกรีดร้องเมื่อเห็นสภาพของเขาแห้งตายเหมือนไม้ที่เฉา เขาคนนั้นก็เป็นหนึ่งในลูกบุญธรรมของตระกูลที่หายตัวไปได้สักพักหนึ่ง
และอีกหลายครั้งที่เธอต้องมาเป็นพยานในการประหารซึ่งผู้นำตระกูลเป็นคนลงมือ
อาภรณ์วิญญาณของกิลมอร์นั้นคือแมลงเทพศักดิ์สิทธิ์ แมลงล่าสังหารปีศาจที่มี 8 ขา โดยมีขากรรไกรของมันแข็งเหมือนเหล็กกล้า
โดยกิลมอร์สามารถปรับเปลี่ยนขนาดของมันให้ใหญ่โตเท่าคฤหาสน์หรือเล็กเท่าเล็บมือได้ตามสะดวก
ในเมื่อมันสามารถสังหารได้แม้กระทั่งมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง นับประสาอะไรกับร่างกายของมนุษย์ นอกจากนี้ด้วยรสนิยมของกิลมอร์แล้วเข้ามักจะใช้มันในการชอนไชจากข้างในร่างเพื่อประหารเหล่านักโทษแทน
หรือก็คือเขาใช้แมลงกัดกินร่างของนักโทษจากข้างใน
ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็น่าขนลุก ความน่ากลัวของกิลมอร์มันฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจของไคลอา แม้จะกลายเป็นนักรบแห่งผืนป่าแล้ว ความกลัวนั้นก็ยังไม่หายไปเลย――และยิ่งได้เห็นพวกแมลงกำลังชอนไชร่างพวกคนในตระกูลความกลัวของเธอก็ยิ่งมากขึ้น
หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ ไคลอาคงจะจับมือที่โซระยื่นมาให้เธอในตอนนั้นไปแล้ว พอคิดได้เช่นนั้น ไคลอาก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ก็น่าแปลกที่เธอหวังเรื่องที่ไม่มีทางเป็นจริงได้
จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา
ช่างเป็นโลกที่คับแคบสำหรับไคลอา เธอใช้ชีวิตอยู่ภายในเกาะทำตามกิจวัตประจำวันของตระกูลเบิร์ช แม้จะรู้สึกอึดอัดสักแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดจะหนี ถึงจะได้ออกไปทำภารกิจนอกเกาะความรู้สึกนั้นก็ไม่หายไป
ไม่สิ สำหรับตัวเธอในตอนนี้ความคิดที่จะหนีมันถูกความเกรงกลัวจากกิลมอร์พ่อบุญธรรมของเธอข่มทับเอาไว้ นอกจากนี้เธอก็ยังรู้สึกว่าเขามีบุญคุณกับเธออยู่ด้วย แถมเธอยังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธงแห่งผืนป่า ความรู้สึกพวกนี้ไม่ใช่ของปลอม
――ทว่าเธอก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าส่วนหนึ่งภายในใจของเธอเกลียดชังเขาเป็นอย่างมาก
ในแง่ของเรื่องที่พวกเธอพ่ายแพ้ให้กับโซระ ไคลอาและคลิมมีโทษเท่ากัน ทว่าเหตุผลที่กิลมอร์โยนเธอเข้าคุกมาเพียงคนเดียวอาจจะเป็นเพราะเขาสังเกตถึงความเปลี่ยนไปของเธอ
สำหรับกิลมอร์แล้ว 「การศึกษา」ที่เขาได้ลงแรงไปหลายปีมันหายไปเพียงชั่วข้ามคืน เขาก็คงจะมองว่าแล้วปล่อยไว้แบบนี้จะไม่เป็นผลดี เธออาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของคลิมและพวกข้ารับใช้คนอื่นๆ ไปด้วย ดังนั้นสำหรับกิลมอร์ ไคลอาก็เหมือนโรคร้ายภายในตระกูล
หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เธอคงได้ถูกเขาฆ่าจริงๆ แน่
ถึงรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้… แม้เธอจะเป็นถึงไคลอา เบิร์ชหนึ่งในรุ่นทองคำผู้ได้รับสิทธิ์พิเศษภายในเกาะมากมาย แต่เธอก็ไม่อาจจะลืมความสบายใจที่ได้รับจากโลกภายนอกได้เลย
เวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ
หูของไคลอาได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา มีใครบางคนกำลังเดินลงมาที่คุกใต้ดิน ย่างก้าวดูแข็งแกร่งและมั่นคง ซึ่งไม่ตรงกับคนที่มักจะเอาอาหารและน้ำมาให้เธออยู่เสมอ
พอเธอคิดว่านั่นน่าจะเป็นกิลมอร์ ร่างกายของเธอก็สั่นไปทั้งตัว
ทว่าชายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเธอนั้นหาใช่พ่อบุญธรรมของเธอ
「――สภาพดูไม่จืดเลยนะ」
น่าแปลกแต่ชายคนนี้ก็ใช้คำพูดเดียวกันกับที่โซระใช้เพื่ออธิบายสภาพของเธอ เขาคือหนึ่งในนักรบธงแห่งผืนป่าผู้มีเส้นผมยาวสีดำและผิวที่ขาวซีด
ดวงตาของไคลอาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย เพราะเธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอได้เลย
「….คุณชายทำไมถึง? 」
คุณชาย เป็นคำที่สื่อถึงว่าที่ผู้สืบทอดตระกูล หรือก็คือชายตรงหน้าของเธอคือไดรอาท เบิร์ช ว่าที่ผู้นำตระกูลเบิร์ชคนถัดไป อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 1
สำหรับไคลอาแล้ว เขาก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเธอและคลิม ทว่าพวกเธอก็ไม่เคยเรียกเขาว่าพี่เลยสักครั้ง
ตำแหน่งภายในตระกูล ไดรอาทเป็นรองเพียงแค่กิลมอร์ แม้จะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของเขาก็จะถูกนับเป็นเพียงหนึ่งในข้ารับใช้เท่านั้น ดังนั้นคงไม่ต้องบอกว่าทัศนคติที่เขามองต่อพวกลูกบุญธรรมจะขนาดไหน
ไดรอาทเองก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกรักอะไรกับพี่น้องของเขาเลยสักนิด แม้จะเดินสวนกันในคฤหาสน์หรือตามท้องถนน เขาก็จะทำเพียงแค่เดินผ่านไปเฉยๆ โดยปล่อยให้พวกคนในตระกูลก้มหัวแสดงความเคารพเขาทั้งอย่างนั้น
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเมินเธอไปเสียเลย เพราะตอนนี้เขาก็พยักหน้าให้กับเธอนิดหน่อย
「ท่านต้องการสิ่งใดกันคะ? 」
ตรงจุดนี้ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกกระวนกระวายมากกว่าตอนที่เธอเผชิญหน้ากับกิลมอร์เสียอีก
จากนั้นไดรอาทก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
「คลิมตายแล้ว」
「……………………คะ? 」
「เมื่อไม่นานมานี้ พวกคิจินมันได้ถูกราชาที่ชื่อว่าอาซึมะรวมเข้ากันเป็นปึกแผ่น ซึ่งต่างจากในอดีตที่พวกเราปล่อยให้มันฆ่ากันเอง เพื่อการนั้นคลิมจึงถูกส่งเข้าไปในประตูปีศาจเพื่อจัดการกับพวกนั้นทว่าหลังจากเข้าไปสักพักเขาก็ขาดการติดต่อ อีกทั้งแมลงที่กิลมอร์ฝังอยู่ในร่างของเขาก็หายไปด้วย จึงสันนิษฐานว่าเขาน่าจะตายไปแล้ว」
เสียงของไดรอาทดูไม่ได้รู้สึกกังวลกับความสูญเสียของพี่น้องตัวเองเลย ความรู้สึกก็เหมือนกับแค่เขามีงานที่ต้องมาบอกข่าวเฉยๆ
หากตัดสินใจแล้วว่าตาย ก็จะไม่มีทีมค้นหาถูกส่งไป
จากนั้นเสียงของไคลอาก็ดังขึ้น
「ด-ได้โปรดรอก่อนค่ะ คุณชาย! แค่นั้นฉันว่าเรายังตัดสินไม่ได้นะคะว่าคลิมตายแล้ว!」
「แม้จะยืนยันไม่ได้ว่าตายแล้วจริงไหม แต่เรื่องที่แมลงเทพศักดิ์สิทธิ์มันได้หายไป ก็เป็นสัญญาณว่าบาดแผลที่เขาได้รับมันหนักพอจะทำให้แมลงในร่างตายไปด้วย ถึงจะส่งคนไปตอนนี้ก็สายไปแล้ว」
「แต่ว่า!」
「ฉันไม่สามารถส่งพวกนักรบแห่งผืนป่าไปช่วยเหลือเจ้าโง่ที่ต้องการล้างตราบาปของตัวเองซึ่งกระทำพลาดไปในตอนที่ออกนอกเกาะหรอก นี่ก็เป็นการตัดสินใจของกิลมอร์ด้วย ท่านผู้นำก็คิดเช่นเดียวกัน」
ไม่ได้ฟังคำพูดของไดรอาทที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เธอก็เข้าใจแล้วว่าถึงจะพูดไปก็ไม่มีความหมาย
ในขณะที่มองไปยังร่างของไคลอาซึ่งอยู่ในสภาพตกตะลึงกับข่าว ไดรอาทก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย
「ฉันหมดธุระแล้ว ส่วนเธอก็ใช้เวลาที่เหลือในการไว้อาลัยดวงวิญญาณของเขาเผื่อฉันด้วยละกัน」
พอพูดจบไดรอาทก็หันหลังกลับไป
เสียงฝีเท้าของเขาค่อยๆ ไกลออกไปจากร่างของไคลอาที่อยู่ภายในคุกใต้ดิน
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code