ตอนที่ 182 ขอร้อง
หลังจากหนีมาจากเกาะอสูรยักษ์ได้สำเร็จ ไคลอาก็รีบมุ่งตรงไปยังทิศตะวันตก
เธอไม่มีกำลังเพียงพอจะช่วยเหลือคลิมได้ แถมจะไปขอให้เพื่อนหรือคนรู้จักบนเกาะช่วยก็ไม่ไหว ในสถานการณ์เช่นนี้ โซระเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่เธอสามารถนึกถึง
ก่อนหน้านี้เธอได้เดินผ่านถนนแห่งกฎเกณฑ์พร้อมกับคลิมและโกซุ แต่ในขณะนี้เธอคงไม่สามารถใช้เส้นทางถนนได้เหมือนเคย
หลังจากพยายามหนีออกมาจากคฤหาสน์ได้สำเร็จ เธอก็เจอกับยามเฝ้าแน่นอนว่าเธอสามารถเอาชนะพวกเขามาได้โดยทำให้บาดเจ็บนิดหน่อย ทว่าในตอนท้ายกลัยต้องเผชิญหน้า 1 ใน 2 สุดยอดผู้คุ้มกันที่กำลังเฝ้าประตูปีศาจอยู่ การกระทำของเธอคือความผิดอย่างไม่ต้องสงสัย แถมเธอยังฝ่าฝืนข้อห้ามร้ายแรงอย่างการหลบหนีออกจากเกาะอีกด้วย
หากทางนั้นจะส่งคนไล่ตามมาก็ไม่แปลก ดังนั้นไคลอาจึงเลี่ยงใช้เส้นทางหลักแล้วเปลี่ยนมาเป็นลัดเลาะตามภูเขาทุ่งนาแทน เธอพยายามวิ่งต่อไปราวกับสัตว์ป่าที่ผ่านแมกไม้
นอกจากนี้เธอยังต้องพยายามลักลอบผ่านพรมแดนจากจักรวรรดิไปยังคานาเรียอีก เมื่อไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่เหมาะสม การที่เธอจะถูกจับในเมืองอิชกะก็คงไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้
แต่ถึงเธอจะรู้ทั้งหมดนั้นดี เธอก็ไม่ได้หยุดวิ่ง กิน หรือนอนเลยสักวินาทีเดียว จนในที่สุดเธอก็มาถึงหน้าคฤหาสน์แห่งหนึ่ง วินาทีสุดท้ายก่อนจะหมดสติไปเธอได้ทำการกดกริ่งตรงหน้าคฤหาสน์นั้น――จากนั้นพอเธอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว
เสื้อผ้าที่สกปรกได้ถูกเปลี่ยน เศษดินโคลนที่เปื้อนใบหน้า แขน ขา ได้ถูดเช็ดออกไปจนหมด
「ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ตั้งแต่ตอนนั้น」
เป็นโซระที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขาได้มองมายังร่างของเธอที่นอนอยู่บนเตียงและพูดออกมา
จากนั้นไคลอาก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยเสียงที่สั่นเทา
「…คุ…ณ..โซระ」
เสียของเธอช่างแหบแห้งราวกับหญิงชรา โซระที่ได้ยินก็เผลอขมวดคิ้ว
จากนั้นเขาก็หยิบเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเทลงแก้วอย่างเงียบๆ ก่อนจะยื่นมาให้กับเธอ
ไคลอาก็รีบรับไว้ด้วยความร้อนรน ร่างของเธอตอนนี้กระหายน้ำเป็นอย่างมาก เธอได้ทำการดื่มน้ำในแก้วนั้นจนหมดในอึกเดียว
เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่ง ก่อนจะก้มหัวให้กับโซระ
「ขอบคุณมากค่ะ คุณโซระ」
「ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? อ่ะ ไม่ต้องรีบพูดนะ สภาพของเธอคงยังไม่พร้อมนัก」
「ค-ค่ะเรื่องนั้น……!」
จากนั้นไคลอาก็เริ่มเล่าความเป็นมาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอ
โดยระหว่างที่ไคลอากำลังเล่าเรื่องให้โซระฟัง เธอก็พยายามเค้นความคิดเป็นอย่างมากว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถยืมกำลังของโซระได้
คนเดียวที่จะช่วยคลิมได้ก็คือโซระ――ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเขาก็คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด สามารถท้าทายเหล่านักรบแห่งผืนป่าที่ปกป้องประตูปีศาจมาช้านาน เทพปีศาจหรือคิจินที่อยู่หลังประตูนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย นั่นคือสิ่งที่ไคลอามั่นใจ
อย่างไรก็ตามนั่นมันก็แค่เรื่องที่เธอคาดหวังเอาไว้――เพราะหากคิดในมุมกลับ ทำไมโซระจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเธอหรือน้องชายของเธอกัน เธอหาเหตุผลดีๆ ให้เรื่องนี้ไม่ได้เลย
นอกจากนี้ไคลอากับน้องของเธอก็เคยเป็นศัตรูกับโซระและได้ต่อสู้กันเมื่อไม่นานมานี้เอง
เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะลืมจุดยืนของตัวเอง สิ่งนี้ยังคงสลักเอาไว้ในใจของเธอ แต่เหตุผลที่กว่าเธอจะนึกถึงมันได้ก็ตอนมาถึงอิชกะแล้วเป็นเพราะเธอพยายามจะหลีกหนีจากเหล่าผู้ไล่ล่าที่คาดว่าทางเกาะจะส่งมา
――อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดมันก็แค่ข้อแก้ตัว
ไคลอารู้สึกกลัวเป็นอย่างมากเพราะมันไม่มีเหตุผลให้โซระต้องช่วยเธอเลย เธอไม่มีสิ่งตอบแทนที่มากพอจะทำให้เขาเคลื่อนไหว เธอกลัวว่าเมื่อมาถึงเมืองอิชกะแล้วจะต้องได้พบกับความผิดหวัง
แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเผชิญหน้ากับเขา ความตึงเครียดได้มาถึงขีดสุด ร่างของไคลอาที่วิ่งมาจนถึงขีดจำกัดได้กรีดร้องออกมา
ทว่าหากเธอยอมล้มตัวลงเสียแต่ตอนนี้ เธอมั่นใจว่าเธอคงจะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกแน่
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอยังกัดฟันมาจนถึงตรงนี้
แล้วทำไมพอเธอมาอยู่ตรงหน้าของโซระเธอถึงคิดคำพูดไว้ขอร้องดีๆ ไม่ออกกันนะ
หากเป็นก่อนหน้านี้เธอก็อาจจะเสนอตัวเองเป็นค่าตอบแทนสำหรับเขาได้ แต่ตอนนี้ไคลอาได้ก่ออาชญากรรมเอาไว้มากมาย ปลายทางของเธอนั้นคือความตายอย่างแน่นอน ตัวเธอจึงไม่ได้มีค่าอะไรเสียนอกจากเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับโซระ
หากเธอจะถูกขับไล่ออกจากที่นี่เสียตอนนี้ก็คงไม่แปลก ไม่สิหากเป็นตัวไคลอาเองก็คงจะทำแบบนั้น นี่มันคือการลากโซระเข้ามาในเขตอันตรายด้วยเท่านั้นยังไม่พอคนรอบข้างของเขาอาจจะเดือดร้อนอีก
――แต่ถึงเธอจะรู้ เธอก็ยังพยายามจะเกาะฟางเส้นสุดท้ายนี้ไว้ด้วยความสิ้นหวัง
ไม่นานหลังจากไคลอาเล่าเรื่องราวทุกอย่างจบเธอก็เงยหน้าขึ้นมองโซระที่กำลังยืนฟังเรื่องราวอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะความเหนื่อยล้าหรือน้ำตาของเธอมันจึงทำให้เธอเห็นใบหน้าของโซระได้ไม่ชัด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่
เขากำลังเยาะเย้ยในชะตากรรมของเธออยู่หรือเปล่านะ หรือเขากำลังแสดงสีหน้าเมินเฉยเหมือนกับไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ หรือเขาจะตกตะลึงที่ตัวเธอแบกหน้ามาขอความช่วยเหลือที่แสนเห็นแก่ตัวกับเขา
ไคลอากำมือเอาไว้แน่นและพยายามประคองสติจ้องไปที่โซระ โดยคิดแค่เพียงอย่างเดียว
แค่ครั้งเดียว――ขอแค่สักครั้ง โซระได้โปรดช่วยเธอด้วย
หากสุดท้ายเขาปฏิเสธเธอก็คงทำได้แค่เดินออกจากที่นี่ไปเงียบๆ ไม่สิบางทีการเสนอหัวของตัวเองให้กับเขาก็เป็นเรื่องดี การฆ่าอาชญากรรมที่หนีออกจากเกาะมาก็เป็นความชอบที่ใหญ่พอควร มันน่าจะช่วยทดแทนเรื่องที่เธอมาสร้างความวุ่นวายให้เขาได้
ระหว่างที่คิดเรื่องพวกนี้ ไคลอาก็พยายามพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
「….คุณโซระ…ถึงมันจะน่าละอายใจ แต่ได้โปรด ได้โปรดเถอะค่ะ…ฉันกับคลิม….ได้โปรดช่วยพวกฉันด้วย จะได้หรือเปล่าคะ…? 」
มันเป็นเสียงที่สั่นปนเสียงสะอื้น เธอพูดไปสะดุดไปเหมือนกับเด็กน้อยที่ร้องไห้ หลังเธอพูดจบเธอก็ไม่มีแรงเหลือพอจะจ้องมองใบหน้าของโซระอีกต่อไป เธอทั้งรู้สึกสมเพชและละอายใจในตัวเองเหลือเกิน
เมื่อเธอก้มหน้าลงไปอีกครั้ง น้ำตาที่ไหลรินของเธอก็สร้างคราบเอาไว้บนผ้าปูที่นอนซึ่งถูกทำความสะอาดมาเป็นอย่างดี ตัวปัญหาอย่างเธอไม่รู้ต้องทำเช่นไรดีแล้ว สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้มีเพียงเอามือทั้งสองข้างมาปิดใบหน้าของตนไว้
「อ้า ได้สิ」
คำพูดดังกล่าวทำให้ร่างของไคลอาสั่นสะท้าน
ไม่มีน้ำเสียงแห่งการเยาะเย้ย รังเกียจ เมตตา หรือเห็นอกเห็นใจ มันเป็นเพียงคำพูดที่แผ่วเบาเสียจนเธอคิดว่าตัวเองฟังผิดไปไหม น้ำเสียงคำตอบที่เขาให้มามันเหมือนกับเธอชวนเขาไปซื้อของแล้วเขาก็แค่ตอบตกลง
ไคลอาได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งราวกับไม่แน่ใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยมากกว่าความดีใจ ดวงตาสีแดงเข้มซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่า เธอสงสัยว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเพียงสิ่งที่สมองเธอสร้างขึ้นมาหรือเปล่า
「…คุณโซระ…จริงเหรอคะ? 」
「หือ? ฉันก็บอกว่าได้แล้วนี่ เธออยากจะให้ฉันไปช่วยคลิมไม่ใช่หรือไง? 」
「ช-ใช่แล้วค่ะ!」
「อ้า ฉันก็ไม่ขัดอะไร จะให้ยืมมือเอง」
หลังจากพูดจบ โซระก็ได้ยืนมือมาที่หน้าของไคลอา ด้วยความตกใจไคลอาจึงได้เผลอหลับตาอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะมีบางสิ่งมาสัมผัสกับหน้าผากของเธอ
ถึงจะตกใจ แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บ มันไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเธอด้วยปลายนิ้ว
「อะ」
โดยปกติแล้ว ด้วยแรงเพียงแค่นี้คงทำอะไรเธอไม่ได้ แต่สภาพร่างกายของไคลอาในตอนนี้กลับไม่สามารถต้านทานแรงนี้ได้เลย
ร่างกายท่อนบนของเธอที่ฝืนลุกขึ้นได้ถูกโซระใช้นิ้วผลักของไปอีกครั้ง หัวของเธอได้ร่วงหล่นลงสู่หมอน
จากนั้นโซระก็พูดกับไคลอาที่กำลังทำตาปริบๆ
「เดี๋ยวฉันจะไปหาอะไรมาให้กิน เธอนอนพักรอไปละกัน」
หลังจากพูดจบโซระก็หันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้สนใจคำตอบของไคลอา
ไคลอาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง――เธอคิดว่าอย่างน้อยก็อยากจะพูดขอบคุณเขาสักคำ แต่ก่อนที่เธอจะทำได้สำเร็จสติของเธอก็ดับวูบลงไปเสียแล้ว คำพูดของเขามันช่างเติมเต็มหัวใจที่สิ้นหวังของเธอได้อย่างแท้จริง ความตึงเครียดที่มีมาจนถึงตอนนี้ได้สลายไปจนหมดสิ้น
จิตสำนึกของเธอได้ถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดมิด ราวกับหน้าต่างที่ถูกม่านบดบังแสงไว้
◆◆◆
「หื้ม ก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนคิดแผน แต่น่ารังเกียจชะมัด」
ผมพ่นคำก่นด่าออกมาด้วยความขยะแขยงเมื่อนึกถึงเรื่องที่ไคลอาเล่าก่อนหน้านี้
ผมไม่คิดหรอกนะว่าสิ่งที่เธอเล่ามาจะเป็นเรื่องโกหก เมื่อได้มองไปยังใบหน้าของไคลอาเธอทำท่าเหมือนตัวเองกำลังจะตายจริงๆ เรื่องที่คลิมหายตัวไปในประตูปีศาจนั่นไม่ผิดแน่
ทว่าการที่ไคลอาจะหนีมาจากเกาะและเดินทางมาถึงเมืองอิชกะโดยไม่เกิดการปะทะขึ้นเลยสักครั้งนี่ยังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอก
――จะต้องมีคนใช้เธอเป็นเครื่องมือในการล่อผมไปยังเกาะแน่ อันนี้ผมมั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไร
ระหว่างที่เดินไปตามทางเดิน ผมก็นึกถึงใบหน้าของไคลอา ดวงตาที่ไร้แวว แก้มที่ตอบ เส้นผมที่รุงรัง ผิวที่ซีดเสียจนคิดว่าไม่เหลือเลือดอยู่ภายใน หากชีลไม่ได้เจอเธอเข้าเมื่อคืนก่อน เธอคงได้ตายอยู่ตรงหน้าประตูแน่
ดังนั้นผมจึงได้ข้อสรุปว่าไคลอาไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเรื่องนี้ ว่าแต่ทำไมพวกเขาถึงต้องใช้ไคลอาเป็นเหยื่อล่อด้วยล่ะ
「จะบอกว่าความรู้สึกของฉันเปลี่ยนไประหว่างจับเธอเป็นตัวประกันเหรอ」
ผมเดาะลิ้นออกมา พอมาลองคิดดูขนาดอายากะยังเอาเรื่องเธอมาบอกกับผมเลย พวกคนที่เหลืออาจจะคิดแบบเดียวกันก็ได้
การที่ผมรับคำขอร้องจากไคลอา ในการช่วยคลิม ก็หมายความว่าผมจำเป็นต้องเข้าไปที่ประตูปีศาจ
แล้วผมควรเลือกทางไหนดีล่ะ ก้มหัวให้ตระกูลมิตสึรุกิแล้วขอเข้าไปหรือจะฝ่าไปดื้อๆ เลย หากเลือกแบบแรกมันก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมจำนนต่อตระกูล แต่ถ้าแบบหลังมันก็หมายถึงการเป็นอาชญากร จะทางไหนก็ยุ่งยากชะมัด
ให้ตายสิ ไอ้คนที่วางแผนเอาไว้คงเล็งจุดนี้ไว้อยู่
หากเลือกที่นี้พวกมันคงมองว่าสามารถกำจัดพวกขวางหูขวางตาได้สบายๆ
――จากนั้นกิลมอร์ก็โผล่ขึ้นมาในหัว หมอนั่นอาจจะเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ก็ได้ แต่มันก็ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าคนอย่างหมอนั่นจะสามารถคำนวณปัจจัยที่ไม่แน่นอย่างอารมณ์ของมนุษย์ได้ ดังนั้นแผนนี้จึงน่าจะมีมากกว่า 1 คนที่อยู่เบื้องหลัง
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นหัวโจกของเรื่อง การเอาความรู้สึกของพี่สาวที่มีต่อน้องชายมาทำร้ายผมนี่ คิดแล้วน่าหงุดหงิดชิบ
เอาเถอะ สุดท้ายมันก็เป็นโอกาสของผมด้วย ควรจะขอบคุณมันสักหน่อยสิน้า
ถ้าถามว่าโอกาสอะไร ของมันแน่อยู่แล้ว โอกาสในการเข้าไปในประตูปีศาจไง
จากที่คลิมมันเคยบอก――ภายในนั้นมีพวกมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนที่ตึงมือพอๆ กับพวกเผ่าพันธุ์ในตำนาน
ได้ยินแค่นี้ก็น้ำลายสอแล้ว ทว่าการจะเข้าไปในนั้นได้ก็ต้องผ่านปัญหาที่ว่าไปก่อนหน้า ตั้งแต่เรื่องพิษของไฮดราที่พยายามสะสางไป ผมก็ไม่มีโอกาสได้หาแหล่งอาหารดีๆ อีกเลย
ทว่าอยู่ดี ความปรารถนาของผมก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อทางตระกูลมิตสึรุกิยื่นปัญหานี้มาให้กับผม
ในมือศัตรูยื่นของดีมาให้ขนาดนี้ก็ต้องตอบรับให้เต็มที่
โชคดีที่ว่าตอนนี้ผมมีไพ่ ที่พอจะทำให้ไม่ต้องไปแบกหน้าขอร้องตระกูลมิตสึรุกิ แถมไม่ต้องไปกลายเป็นอาชญากรรมอะไรอีกด้วย หากให้สิ่งนั้นผมน่าจะพอผ่านประตูปีศาจไปได้และจัดการกับโทษที่ไคลอาต้องรับได้ด้วย
สำหรับเรื่องคลิม เอาไว้เข้าไปได้ค่อยคิดละกัน ว่ากันตามตรงผมไม่สนหรอกว่าหมอนั่นจะเป็นหรือตาย――แต่หากเป็นหมอนั่นที่เป็นประเภทรักพี่สาวของตัวเองสุดๆ ต่อให้ต้องฝืนกลืนน้ำโคลนแทนน้ำก็คงพยายามมีชีวิตรอดจนถึงที่สุดแหละ
จากนั้นผมก็หัวเราะออกมาและเริ่มวางแผนการในอนาคตภายในหัว
——–
Note 1 : ไพ่ที่ว่าก็คงเป็นเจ้าหญิง พรี่โซระน่าจะใช้เส้นสายของจักรวรรดิเข้าไปแทน ติดหนี้ราชวงศ์ก็ดีกว่าก้มหัวให้ตระกูลละว้า
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code