การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 190 การต้อนรับของตระกูลเบิร์ช

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 190 การต้อนรับของตระกูลเบิร์ช

 

 

ก็ดูเป็นสวนที่งดงามจริงๆ

 

 

ทัศนียภาพถูกแต่งแต้มด้วยเหล่าต้นไม้สีแดงและเขียวของฤดูใบไม้ร่วง เสียงของสายน้ำที่ไหลลงสู่สระดังกระทบหู

 

 

แสงแดดที่สาดส่องสดใสราวกับคริสทัลความเย็นของสายลมที่พัดผ่าน แสงที่กระทบผิวน้ำเป็นประกายดั่งอัญมณี

 

 

กริ้ง-กริ้ง เสียงกระดิ่งที่ถูกสายลมกระทบดังเข้ามาในหูผม

 

 

ใบไม้ร่วงหล่นพัดไปตามแรงลม บางส่วนก็ปลิวเข้ามาภายในห้องที่ประตูบานเลื่อนถูกเปิดเอาไว้อยู่

 

ผมหยิบใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมายังเสื่อทาทามิขึ้นมาพลิกดู ก่อนจะหันหน้าไปสบตากับเจ้าของห้องที่ผมอยู่

 

 

ชายร่างสูงที่กำลังถือไม้ตีชา――พร้อมกับอุปกรณ์ผสมชาตรงหน้า――โดยขณะนี้เขากำลังทำการชงชาให้พวกผมอย่างเงียบๆ

 

 

ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือหัวหน้าหน่วยที่ 1 ไดรอาท เบิร์ชนั่นเอง

 

ผิวสีขาวเส้นผมที่ดำสลวย คิ้วที่ได้รูป หน้าตาที่งดงามและร่างกายที่เต็มไปด้วยออร่าของนักรบระดับสูง

 

 

 

ซึ่งก็สมกับตำแหน่งที่เขาได้รับ ก็อย่างที่รู้กันว่าพวกธงแห่งผืนป่าซึ่งปกป้องเกาะแห่งนี้อยู่มีหัวหน้าหน่วยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 คน ทว่าไดรอาทที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยที่ 1 ซึ่งขึ้นตรงกับพ่อของผม ตามกฏแล้วเขามีอำนาจที่จะเป็นผู้บัญชาการของหน่วยที่เหลือด้วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน จะบอกว่าเขาเป็นหมายเลข 2 ของตระกูลมิตสึรุกิก็ไม่ผิดนัก

 

 

แล้วตอนนี้ไคลอากับผมกำลังได้รับการต้อนรับจากคนระดับเขา

 

 

――แอบตกใจเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง

 

 

 

ว่าแล้วก็อดนึกย้อนไปก่อนหน้าไม่ได้

 

ก็ไม่ใช่ว่าผมคาดหวังอะไรแบบนี้ซะด้วยนะ เพราะทันทีที่เรือข้ามฟากมาถึง ไดรอาทก็เป็นคนเข้ามาทักกับผมก่อน

 

ครั้งก่อนนั้นคนที่เข้ามารับผมคือโกซุ แต่คราวนี้ดันเป็นไดรอาทซะงั้น แน่นอนว่าเขายังคงทำหน้าที่ในการคุมหัวเรือเพื่อป้องกันการโจมตีของพวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในทะเล

 

 

ก็จริงอยู่ว่างานดูแลเรือข้ามฟากมันเป็นงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้คนระดับสูงเลยสักนิดคราวก่อนของโกซุถือเป็นข้อยกเว้นเพราะเขาอยากเจอผมจริงๆ จะบอกว่าเพราะผมมีสถานะเป็นเหมือนทูตของจักรพรรดิก็เลยจำเป็นต้องส่งคนระดับสูงมาดูแลมันก็ไม่ติดขัดอะไรหรอก แต่มันก็แปลกเกินไปไหมที่ถึงกับต้องส่งหมายเลข 2 ของตระกูลมิตสึรุกิมาเอง

 

 

ดังนั้นหากผมสงสัยว่าเขามีเจตนาแปลกๆก็คงเป็นเรื่องธรรมดา

 

 

 

แต่ปัญหามันดันอยู่ตรงที่ผมหาสาเหตุดังกล่าวไม่ได้เลย ตอนแรกก็คิดว่ากิลมอร์ส่งลูกชายของตัวเองมาจัดการกับผมเพื่อจัดการสถานการณ์ตรงหน้า แต่ทางไดรอาทก็ไม่ได้แสดงท่าทางเป็นศัตรูหรือชักดาบออกมาเลย

 

 

 

พอผมบอกกับเขาไปว่าอยากจะเข้าไปที่ประตูปีศาจอีกฝ่ายก็พยักหน้าแล้วบอกว่า เข้าใจแล้ว เท่านั้นเอง

 

 

หลังจากมาถึงเกาะ พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของตระกูลเบิร์ชโดยมีไดรอาทนำทางไป แน่นอนว่าไม่เกิดเรื่องแปลกๆขึ้นระหว่างทางเลย

 

 

หากจะให้สงสัยเพียงสิ่งเดียวก็คงจะเป็นทำไมความนี้ถึงไม่ไปที่ตระกูลมิตสึรุกิแต่ดันมาจบที่ตระกูลเบิร์ชแทน ทว่าพอได้ถามไดรอาทอีกฝ่ายก็ตอบว่าสมาชิกหลักของตระกูลและนักบุญดาบไม่ได้อยู่ที่เมืองขณะนี้

 

 

เพราะทางเมืองจำเป็นต้องซ่อมแซมกำแพงที่ถูกทำลายจากการโจมตีของพวกคิจินในคราวก่อน การป้องกันมอนสเตอร์ที่พยายามเข้ามาในชูโตะและการเตรียมพร้อมรับมือกับพวกคิจินที่อาจจะเข้ามาอีก คนที่จำเป็นต้องทำงานมันเลยไม่พอมือนักจนอยากจะยืมมือแมวมาช่วยอีกเยอะเลย

 

 

 

――ว่ากันตามตรงผมคิดว่าที่หมอนี่เล่ามันน่าสงสัย แถมดูจะเป็นเรื่องโกหกด้วยซ้ำ เพราะคนอย่างพ่อของผมเนี่ยนะจะออกจากคฤหาสน์แล้วไปจัดการสถานการณ์ด้วยตัวเอง

 

แต่ถึงผมจะคิดแบบนั้น ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกฝ่าย ยังไงเป้าหมายของผมคราวนี้ก็คือคลิม (และพวกมอนสเตอร์ที่เก่งพอๆกับพวกเผ่าพันธุ์ในตำนาน) ที่อยู่อีกฟากของประตูปีศาจ หากเข้าไปในนั้นได้โดยไม่ต้องเจอพ่อหรือรากุนะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

 

อย่างไรก็ตามถึงผมจะได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดหรอกว่าตระกูลมิตสึรุกิจะยอมให้คนนอกเข้าไปข้างในได้ง่ายๆ แถมยังมีเรื่องของไคลอาที่หนีออกจากเกาะไปอีก ดังนั้นคงต้องเตรียมพร้อมเผื่ออีกฝ่ายเคลื่อนไหวแปลกๆด้วย

 

ทว่าระหว่างทางที่มายังคฤหาสน์ของตระกูลเบิร์ชหรือหลังจากไปถึง ผมดันสัมผัสถึงสัญญาณแปลกๆไม่ได้เลยสักนิด นอกจากนี้ก็ไม่มีคนที่ออกมาประณามการกระทำของไคลอาในฐานะอาชญากรเลย

 

ไดรอาท เองก็รับผิดชอบในการนำทางพวกผมและบริการพวกผมอย่างดี แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ท่าทีของเขาก็แสดงออกมาด้วยความสุภาพ

 

 

แถมหากเขาคิดจะจัดการผมจริงๆ แค่โจมตีเข้ามาตรงๆเลยคงง่ายกว่า

 

 

 

 

 

ตอนแรกที่เห็นเขาอยู่บนเรือข้ามฟากผมก็นึกว่าจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ท้าทายสองสุดยอดผู้คุ้มกันสักหน่อย แต่พอนึกถึงความรู้สึกของไคลอาแล้วผมคงไม่สามารถเปิดก่อนได้ แต่หากอีกฝ่ายคิดไม่ซื่อก่อนผมก็พร้อมรับมือ

 

หากเป็นตอนที่ผมกลับมายังเกาะรอบก่อนเพื่อเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่ ผมคงไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะเทียบเคียงกับพวกเขาหรือนักบุญดาบได้ แต่หลังจากที่เอาชนะเบฮีมอธมาได้ เลเวลของผมก็เพิ่มขึ้นมาเยอะเลย ดังนั้นหากเป็นตอนนี้ถึงจะเป็นสองสุดยอดผู้คุ้มกันผมว่าผมน่าจะเอาอยู่

 

 

หากไดรอาทเลือกที่จะโจมตีพวกผม ผมก็พร้อมจะรับมือกับเขาทันที สำหรับตระกูลมิตสึรุกิและเบิร์ช การหันดาบมายังคนที่มีตราของจักรพรรดิถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก แถมผมยังอาจจะใช้เป็นข้อตกลงในการลบล้างความผิดของไคลอาโดยแลกกับการไม่บอกจักรพรรดิถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

 

แต่ทั้งหมดที่ว่ามามันก็จบแค่ในความคิดของผม เพราะตอนนี้ผมอยู่ในห้องชมวิวของตระกูลเบิร์ช โดยมีไดรอาทชงชาให้ดื่มอยู่

 

ไคลอาเองก็นั่งอยู่ข้างๆผม แต่สภาพของเธอตอนนี้ตัวแข็งไปหินไปแล้ว ไม่สิจริงๆก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เจอพี่ชายของตัวเองบนเรือแล้วล่ะนะ

 

 

 

แต่ไดรอาทก็สมกับเป็นเขาดี ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจน้องสาวของตัวเองเลยสักนิด

 

เสียงของการตีชายังดำเนินต่อไป จนกระทั่งมือของไดรอาทได้หยุดลง และนำชามาให้พวกผมโดยไม่พูดอะไร

 

 

ผมเองก็รับมาอย่างสุภาพตามธรรมเนียม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาอะไร แต่หากท่าทีของทางนั้นยังสุภาพกับผมอยู่ ผมก็ควรจะแสดงกลับไปอย่างเท่าเทียม อันที่จริงผมเลยเรียนศาสตร์แห่งการชงชามาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน แอบตกใจที่ตัวเองสามารถทำตามพิธีได้อย่างลื่นไหลจนน่าแปลกใจ ทั้งที่คิดว่าจะลืมไปแล้วซะอีกนะ

 

 

กลิ่นหอมของชาโชยออกมาสัมผัสกับจมูก

 

 

ระหว่างนั้นเอง อยู่ดีๆผมก็นึกถึงอาภรณ์วิญญาณของกิลมอร์เข้า จากที่ไคลอาบอก เหมือนมันจะเป็นแมลงที่มีขากรรไกรแข็งราวกับเหล็กและมีความยืดหยุ่นที่สามารถขยายและลดขนาดได้ตามใจชอบซึ่งเหมาะกับการนำไปใส่ร่างของคนอื่น

 

 

แม้จะเป็นผมหากมันมีแมลงขนาดเล็กมากอยู่ในนี้ก็คงยากจะสังเกตเห็น――ผมจึงแอบคิดว่าจะดื่มดีไหม

 

แต่พอนึกถึงเรื่องของไคลอาบางทีคงไม่เป็นไร อาการบาดเจ็บของเธอที่ถูกแมลงกัดกินก็ได้ยารักษาจากผมฟื้นฟูร่างกายจนสมบูรณ์ จึงสรุปได้ว่าแมลงนี่มันสู้พลังผมไม่ได้แน่

 

 

เลือดของผมคือส่วนผสมของยารักษาดังนั้นหากแมลงมันเข้าไปในร่างของผมจริงมันคงอยู่ไม่ได้หรอก แน่นอนว่าถึงจะเป็นยาพิษก็คงทำอะไรผมไม่ได้เช่นกัน

 

 

หลังจากเห็นผมดื่มชาเข้าไปอย่างไม่ลังเล ไดรอาทก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

 

คราวนี้ก็เป็นตาของไคลอา ไดรอาทได้นำชาไปมอบให้กับน้องสาวของเขาที่สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ ก่อนที่เธอจะรับมันไว้แล้วค่อยๆเปิดปากดื่ม

 

 

「ตอนนี้พวกคิจินกำลังทำเรื่องแปลกๆกันอยู่ข้างในประตูปีศาจ สถานการณ์ตอนนี้เลยถือว่าอันตรายสุดๆ หากนายรู้เรื่องนี้แล้วยังต้องการที่จะเข้าไป ทางตระกูลมิตสึรุกิก็จะไม่ห้ามอะไร เชิญทำตามที่ใจอยากได้เลย」

 

 

 

ก็เรียกว่าความปรารถนาของผมมันเป็นจริงง่ายเสียจนน่าผิดหวัง

 

 

ทว่าคำพูดของเขามันยังไม่จบเพียงเท่านั้น

 

 

 

「ทว่า หากนายมีเจตนาจะทำร้ายตระกูลมิตสึรุกิหลังเข้าไปภายในประตูปีศาจแล้วทางนี้ก็คงปล่อยไปไม่ได้หรอกนะ ถึงจะเป็นอำนาจจากทางฝ่าบาทที่อนุญาตนายแล้วก็ตามก็คงช่วยนายไม่ได้หรอก」

 

 

 

ไดรอาทจ้องมาที่พวกผมด้วยสายตาที่เฉียบคม การจ้องมองของเขามันเหมือนจะทะลวงทุกสิ่งได้เลย ชวนให้นึกถึงผู้พิพากษาหรือผู้ไต่สวนมากกว่านักดาบคนหนึ่งเสียอีก

 

 

จากนั้นผมก็จ้องมองกลับไปยังเขาแล้วพูดขึ้น

 

 

 

「ก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำแบบนั้นหรอก」

 

 

 

 

อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละนะ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มอีก

 

ไดรอาทก็พยักหน้ารับกับคำพูดของผม

 

 

「จะถือว่านั่นเป็นคำพูดของคนที่ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทก็แล้วกัน ดังนั้นทางตระกูลมิตสึรุกิก็ควรจะหาคนมาช่วยดูแลพวกนายด้วย นี่ถือเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนของฝ่าบาท หวังว่านายจะเข้าใจนะ」

 

 

 

ไดรอาทบอกพวกผมว่าจะให้นักรบแห่งผืนป่าไปดูแลพวกผมด้วย แถมไม่ยอมให้ปฏิเสธเพราะมันคือมารยาทที่ทางนั้นต้องมอบให้กับคนที่มีแหวนตราจักรพรรดิ

 

ผมก็ได้แค่ยอมรับ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นคนดูแลจริงๆหรือนักฆ่า แต่ไม่ว่าจะทางไหนหากอีกฝ่ายคิดไม่ซื่อก็แค่จัดการให้สิ้นซาก

 

 

 

 

「เข้าใจแล้วครับ ขอรับไว้ด้วยความซาบซึ้งในความเมตตา」

 

 

หากไม่พูดแบบนี้เดี๋ยวเผื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนใจละบอก ไม่ให้ยอมเข้าไปข้างในจะยุ่งยากอีก

 

 

นี่ก็เพื่อไคลอา พวกผมควรจะสงบเสงี่ยมก่อนจะเจอคลิม แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าจะต้องเดินทางไปกับใคร….ดังนั้นคงต้องถามไดรอาทก่อน ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่รากุนะหรืออายากะ

 

 

แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามเขา ไดรอาทก็ยืนขึ้นและพูดออกมา

 

 

「ส่วนคนที่จะตามไปดูแลพวกนายเดี๋ยวฉันจะพามาแนะนำตัวทีหลัง จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอให้พักจนหายเหนื่อยจากการเดินทางแล้วกัน」

 

 

 

พอเขาพูดจบ ไดรอาทก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่รีรอคำตอบพวกผม

 

 

สรุปคือถึงผมถามก็คงไม่ได้คำตอบแน่จังหวะนี้ สุดท้ายเขาก็เหลือบมองมาทางพวกเราทั้งสอง ก่อนจะเดินจากไป

 

 

 

◆◆

 

 

หลังจากผ่านไปประมาณ 1 นาทีเต็ม ไคลอาที่นั่งตัวแข็งอยู่บนเสื่อทาทามิก็ทรุดลงไปกับพื้นเสื่อ

 

 

ดูเหมือนว่าความตึงเครียดที่รับมาจากพี่ชายของเธอจะหายไปแล้ว ผมจึงเข้าไปถามอาการของเธอ

 

 

 

「ยังไหวหรือเปล่า?」

 

 

 

「ค-ค่ะ ยังพอไหว….」

 

 

เธอตอบกลับมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาและพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะจ้องมองมายังผมด้วยสายตาที่จริงจัง

 

 

 

 

「นายน้อย ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับฉันเลย มันแปลกเกินไปหรือเปล่าคะ?」

 

 

 

「ฉันว่ามันก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ」

 

ตราบใดที่ความเป็นไปได้ที่ผมจะขอให้จักรพรรดิยกโทษให้กับไคลอา ทางตระกูลมิตสึรุกิก็คงไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆ เพราะการทำเช่นนั้นก็อาจจะต้องไปมีเรื่องกับจักรพรรดิ แถมจะให้พวกเขาแบกหน้าไปคัดค้านกับจักรพรรดิก็คงยุ่งยากอีก

 

 

ถึงในความเป็นจริงทางจักรพรรดิจะยังไม่รู้เรื่องของไคลอาแอบหนีออกนอกเกาะก็เถอะ ดังนั้นโดยหลักการแล้วไคลอาก็ไม่ต่างอะไรกับอาชญากรที่ไม่มีอำนาจของจักรพรรดิคุ้มหัว แต่มันก็มีแค่ผมเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ทว่าหากอีกฝ่ายเอาเรื่องนี้ไปตรวจสอบกับทางเมืองหลวง ก็คงจะได้รับความจริงมาอย่างรวดเร็วดังนั้นผมจึงต้องรีบเดินเกมโดยการหาทางเข้าไปในประตูปีศาจให้เร็วที่สุด ส่วนหนึ่งที่ผมไม่บอกให้ไคลอาปลอมตัวเข้ามา ก็เป็นเพราะอยากจะสลักความสงสัยว่าจักรพรรดิคอยช่วยไคลอาอยู่เบื้องหลังนี่แหละ

 

 

 

ผมจะอธิบายเรื่องนี้ให้ไคลอาฟังก็ได้ แต่ตอนนี้เราอยู่กันที่คฤหาสน์ของตระกูลเบิร์ช ดังนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหูตาอยู่ตรงไหนบ้าง ถึงผมจะสัมผัสพวกมันไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะเผยข้อมูลอย่างประมาท

 

 

 

ผมแอบส่งสายตาไปหาทางไคลอา แล้วทางนั้นก็เหมือนจะรู้ว่าตัวเองเผลอพูดเรื่องที่อาจจะถูกดักฟังแล้วเสียเปรียบเอาได้ ก็เลยก้มหัวขอโทษผม

 

 

 

 

 

「ขออนุญาต」

 

 

 

จากนั้นไม่นานนัก คนของตระกูลเบิร์ชก็เข้ามาแล้วนำทางพวกผมไป

 

 

ไคลอาบอกว่าปลายทางที่พวกผมจะไปนั้นคือห้องพักรับรองของแขก แน่นอนว่าเครื่องเรือนและการทำความสะอาดนั้นถูกจัดการอย่างพิถีพิถัน สวนสำหรับชมวิวก็ดูจะงดงามกว่าสวนก่อนหน้าอีก

 

 คนของตระกูลเบิร์ชก้มหัวให้กับพวกผมทีหนึ่งก่อนจะออกจากห้องไป แล้วทิ้งท้ายว่าหากต้องการสิ่งใดก็เรียกได้เสมอ พอเข้าไปข้างในพวกเครื่องดื่มกับขนมก็ถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็มีอาหารสุดหรูตามเข้ามา พอเห็นแบบนี้ก็ทำได้แค่ยิ้มขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างเอาใจใส่

 

 

 

 

ว่ากันตามตรง พอเห็นตระกูลเบิร์ชปฏิบัติแบบนี้กับผมมันแอบรู้สึกสดชื่นแปลกๆ

 

 

 

 

「แต่ทางนั้นตั้งใจจะดูแลจริงๆหรือแค่แสร้งเพื่อให้ลดการระวังตัวกันนะ」

 

 

 

หากเป็นคนปกติก็คงต้องคิดเป็นอย่างหลัง แต่มันก็คงแปลกน่าดูที่คนอย่างไดรอาทจะต้องมาทำอะไรยุ่งยากอย่างการรอให้ผมลดการระวังตัว หากทางตระกูลตั้งใจจะกำจัดผมกับไคลอาจริง พวกเขาคงคนมารุมจัดการผมไปนานแล้ว

 

 

 

แต่ถ้าจะบอกว่าตั้งใจดูแลจริงก็คงไม่ใช่เหมือนกัน เพราะพิจารณาจากเรื่องที่ผมก่อไว้และเคยพูดกับพวกเขามันไม่มีทางเลยที่ผมคิดจะสานมิตรภาพกับตระกูลมิตสึรุกิหรือเบิร์ชได้

 

――หือ? หรือว่านั่นจะเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ?

 

 

ผมเริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ที่มีใครบางคนสังเกตถึงความสัมพันธ์ของผมกับไคลอา เมื่อคราวที่เธอถูกผมจับไปเป็นตัวประกัน

 

จะว่าไปพอผมดูแลไคลอาที่หนีออกมาจากเกาะเสร็จ ผมก็รีบวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อหาทางช่วยเหลือคลิมน้องชายของเธอ

 

 

หากผมกับไคลอามีความสัมพันธ์อย่างว่าจริง สุดท้ายการสานมิตรภาพระหวางผมกับตระกูลเบิร์ชก็จะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ให้ตายสิหากเดาถูกผมว่าคืนนี้ฟูกของผมกับเธอได้ติดกันแนบชิดแน่

 

 

พอผมมองไปยังไคลอา ก็ดันเป็นจังหวะที่อีกฝ่ายจ้องมองมายังผมด้วยเหมือนกัน แล้วสายตาของพวกเราก็สอดประสาน

 

 

 

「คูณโซระ…มีอะไรหรือเปล่าคะ?」

 

 

 

「ก็ มะ――」

 

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังจะตอบว่า ไม่มีอะไร ผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเลื่อนประตูห้อง

 

 

ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไดรอาทที่มาพร้อมกับ เออซูร่า หนึ่งในสมาชิกของรุ่นทอง

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน