ตอนที่ 195 4 พี่น้องนากายามะ 4
เมื่อได้ยินความกังวลของฮาคุโร่ โดกะก็นั่งกอดอกแล้วพูดออกมา
「คาซานกับพวกคนเฝ้าประตูร่วมมือกันเนี่ยนะ ข้าก็อยากจะพูดอยู่หรอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สุนัขที่จนตรอกจะทำอะไรบ้างใครเล่าจะรู้ ทว่าหากเรื่องนั้นเป็นความจริงคาซานคงจะเกลียดนากายามะเข้าไส้ทีเดียว」
「ว่าแต่ พี่ฮาคุโร่ แล้วพวกคนเฝ้าประตูติดต่อกับคาซานได้อย่างไรกัน ข้าก็ไม่คิดด้วยสิว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องสถานการณ์ของทางเราขนาดนั้นด้วย」
ฮาคุโร่ตอบคำถามคาการิอย่างใจเย็น
「มันก็ต้องมีหนอนที่คุ้นเคยกับคิไคน่ะสิ คาการิข้ามองว่าพวกนั้นน่าจะเป็นตัวกลางระหว่างคาซานกับคนเฝ้าประตู」
「――พี่ฮาคุโร่สงสัยพวกลัทธิแห่งแสงงั้นเหรอ? 」
ดวงตาของคาการิเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ตัวคาการิเองก็รู้สึกแปลกๆ กับการกระทำและคำพูดของโอเค็นในคราวก่อนเหมือนกัน เขามองว่าพวกลัทธิแห่งแสงทำตัวแปลกๆ
อย่างไรก็ตามความเกลียดชังในตัวมนุษย์ของโอเค็นนั้นก็เป็นของจริง จากที่เขาเห็นโอเค็นก็ไม่ได้แกล้งเล่นละครต่อสู้กับพวกคนเฝ้าประตูหรือพยายามติดต่อสื่อสารด้วย ไม่งั้นเขาคงไม่ฆ่าอีกฝ่ายเป็นกองหรอก
พอคาการิชี้ตรงจุดนี้ ฮาคุโร่ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
「นั่นมันก็ใช่อยู่ แต่ก็เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือคาการิ ที่บอกว่าโอเค็นพูดอะไรต่างๆ มากมายก่อนสิ้นลมไป การเอาเรื่องพวกนั้นไปบอกกับพวกมนุษย์ จะวางใจว่าไม่เกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้หรอก」
「อื้อ หมอนั่นก็พูดจริงนั่นแหละ แต่มันก็เป็นหลังจากที่โดนโซระอัดจนน่วมแล้วนะ สติจะอยู่ครบหรือเปล่าข้าก็ไม่แน่ใจ」
「ถึงจะเสียสติสักแค่ไหน แต่คำพูดและการกระทำน่ะมันต้องมีรากฐานข้อมูลบางส่วนมาประกอบด้วยอยู่ดี ถึงจะยังฟันธงอะไรไม่ได้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโอเค็นได้ข้อมูลสำคัญมาจากลัทธิแห่งแสงแน่」
หากเป็นไปอย่างที่คิดก็หมายความว่าพวกลัทธิแห่งแสงมีวิธีการสื่อสารกับพวกที่อยู่นอกประตู ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นวิธีไหน แต่การที่โอเค็นสามารถเคลื่อนไหวภายนอกประตูราวกับรู้เรื่องราวภายนอกเป็นอย่างดี ย่อมมีลัทธิแห่งแสงหนุนหลังแน่ๆ
นั่นจึงทำให้ฮาคุโร่สงสัยว่าลัทธิแห่งแสงกับคนเฝ้าประตูอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
ว่าแล้วคาการิก็บ่น
「พี่ฮาคุโร่เองก็เป็นถึงระดับสูงของลัทธินี่ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยล่ะ? 」
แม้ฮาคุโร่จะรู้ถึงตัวตนของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิที่สามารถลอบผ่านประตูไปได้ แต่ความลับดำมืดภายในเขายังไม่อาจเข้าถึง
ฮาคุโร่ก็ทำได้เพียงยักไหล่ตอบแบบช่วยไม่ได้
「ก็จริงอยู่ว่าข้าเป็นถึงบิชอป แต่อำนาจและกิจกรรมภายในลัทธิก็อยู่แค่ในนากายามะ หากเป็นส่วนหลักของลัทธิแล้วอำนาจของข้าเข้าไม่ถึงหรอก อาจจะบอกว่าเป็นแค่ในนามยังได้ด้วยซ้ำ」
ถึงตอนนี้ฮาคุโร่จะถูกมองว่าเป็นยอดนักรบคนหนึ่ง แต่ในอดีตเขานั้นมีร่างกายที่อ่อนแอ แม้จะอายุได้ 13 ปีแล้วตนก็ยังไม่สามารถยืนหยัดในสนามรบได้เฉกเช่นอาซึมะและโดกะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกทำอาหารซึ่งเสมือนเป็นการหาทางสนับสนุนพี่น้องของตน ในฐานะที่ตนไปต่อสู้ด้วยไม่ไหว
แล้วมันก็ยังเป็นเหตุผลที่เขาเข้าร่วมกับลัทธิแห่งแสง หากเขาได้ตำแหน่งระดับสูงในลัทธิมา อิทธิพลของนากายามะก็จะแผ่ขยายมากขึ้น ส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้สนใจคำสอนของลัทธิด้วยซ้ำ
สำหรับเขาแล้ว ข้อมูลที่คาการินำกลับมาด้วยคราวก่อนไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้เลย
อันที่จริงเขาก็รู้สึกแต่แรกแล้วว่าลัทธิแห่งแสงเป็นองค์กรทางศาสนาที่เคลื่อนไหวด้วยเจตนาแอบแฝง เขาเลยบอกให้คาการิพยายามจับตามองการเคลื่อนไหวของโอเค็นให้ดีๆ
นั่นจึงทำให้รู้ว่าเงามืดของลัทธิแห่งแสงนั้นมันใหญ่เสียยิ่งกว่าที่ตนคิดเอาไว้มาก บางทีเขาอาจจะต้องหาทางจัดการกับพวกลัทธิก่อนจะเข้าต่อสู้กับพวกคนเฝ้าประตูก็ได้
ขณะที่ฮาคุโร่กำลังคิดเรื่องพวกนี้ภายในใจ อาซึมะที่นั่งฟังเหล่าน้องๆ พูดจนถึงตอนนี้ ก็เริ่มเปิดปากบ้าง
「มีผู้คนจำนวนมากที่เป็นสาวกของลัทธิ ไม่ว่าจะทหารหรือพลเรือน หากเจ้าต้องการจะดำดิ่งลงไป เจ้าก็ต้องระวังให้มากนะฮาคุโร่」
「ข้าเองก็เห็นด้วยกับเฮียนะ」
「ส่วนตัวข้าก็อยากจะให้พวกเจ้ามุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้กับพวกมนุษย์อยู่หรอก ทว่าหลายๆ อย่างมันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เลย จะว่าไปคาการิ」
พอพี่ชายของเขาเรียกชื่อคาการิ เขาก็ตอบกลับด้วยความสงสัย
「มีอะไรหรือเปล่าพี่อาซึมะ? 」
「เมื่อกี้เจ้าพูดถึงมนุษย์ที่ชื่อโซระด้วยนี่ จำได้ว่าเขาสวมสร้อยข้อมือของคิจิน ดังนั้นเจ้ามองว่าเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคาซานหรือลัทธิแห่งแสงไหม? 」
มนุษย์ที่ใช้เทคนิคของพวกผู้ทรยศแสนโสมม ขณะเดียวกันก็มีสร้อยข้อมือของคิจิน ทำการสังหารโอเค็นและเทพปีศาจที่อิซากิอัญเชิญมา แม้จะไม่ใช่ร่างสมบูรณ์ก็ตาม จากรายงานที่คาการิรวบรวมมา บุคคลอันตรายที่นากายามะจำเป็นต้องระวังมีด้วยกัน 5 คน และในหมู่พวกเขาโซระคือตัวตนที่ลึกลับที่สุด
การที่เขาฆ่าโอเค็นซึ่งเป็นสาวกของลัทธิแห่งแสง แถมยังฆ่าอิซากิหนึ่งในผู้บัญชาการของคาซานอีก แม้จะไม่คิดว่าเขาเชื่อมโยงกับเรื่องนี้โดยตรง แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นการจะสงสัยในหลายๆ จุดก็เป็นเรื่องที่ควรกระทำ
เขาจึงอยากได้ความคิดเห็นของคาการิด้วย เผื่อจะได้มุมมองใหม่ๆ ที่ตนมองข้ามไป
คาการิก็ตอบคำถามของพี่ชายเขาอย่างสบายๆ
「ข้ามองว่าเขาไม่เกี่ยวข้องนะ ก็จริงอยู่ว่าการฆ่าโอเค็นกับอิซากิไปจะมีส่วนช่วยตัดประเด็น แต่สัญชาตญาณของข้าบอกว่าเขาไม่ใช่คนที่จะยอมมาทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้แน่ๆ」
「หื้ม เช่นนั้น เจ้าคิดว่าเราสามารถดึงเขามาร่วมฝ่ายเราได้ไหมล่ะ? 」
ไม่เพียงแค่คาการิที่ตกใจกับคำพูดนั้น เหล่าพี่น้องทั้ง 3 คนของเขาต่างก็ตกใจเมื่ออาซึมะพูดประโยคนี้ออกมา
ทั้ง 3 ได้หันหน้าไปสบตากัน จากนั้นไม่นาน โดกะก็เปิดปากถามพี่ชายของตนเพื่อคลายข้อสงสัย
「เฮีย ที่พูดมานั่นนะเอาจริงเหรอ?ไม่ว่าโซระจะแข็งแกร่งขนาดไหนแต่เขาก็เป็นมนุษย์นะ หากเฮียทำแบบนั้นเดี๋ยวคนของทางเราอาจจะไม่พอใจเอาได้นะ พวกลัทธิแห่งแสงอาจจะออกมาโวยวายด้วย」
「โดกะ ข้าก็เข้าใจที่เจ้าต้องการจะบอกหรอกนะ แต่หากมีวิธีที่นากายามะจะสามารถได้ข้อมูลจากนอกประตูมาได้ ข้าก็อยากจะได้มันมา นอกจากนี้ก็อยากจะรู้สถานการณ์ของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่อยู่นอกประตูด้วย อะไรที่มันสามารถใช้ได้เราก็ต้องเอามาใช้ให้หมดสิ」
「เรื่องนั้นมันก็ดีอยู่หรอกเฮีย แต่ว่า….」
เมื่อมองไปยังโดกะที่ลังเลจะพูดอะไรออกมา อาซึมะก็ยิ้มให้ราวกับอยากจะปัดเป่าความกังวลของอีกฝ่าย
「ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ได้คิดจะสงบศึกกับมนุษย์โดยทันที โดกะ ฮาคุโร่ คาการิก็ด้วย พวกเขาจะต้องยึดประตูมาให้ได้ นั่นคือสิ่งที่พวกเรา นากายามะตั้งใจมาโดยตลอดและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง」
3 พี่น้องก็พยักหน้าให้กับคำพูดของอาซึมะ
อาซึมะก็มองใบหน้าของเหล่าน้องๆ ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะผ่อนน้ำเสียงลงเล็กน้อย
「แต่การยึดประตูได้มันไม่ใช่จุดสิ้นสุด มันคือจุดเริ่มต้นของพวกเรา ตลอดกว่า 300 ปีที่ผ่านมา คิจินต้องถูกจองจำอยู่ในคิไค ขณะเดียวกันพวกมนุษย์ก็เจริญรุ่งเรืองในโลกภายนอกที่อุดมสมบูรณ์ จำนวนของพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตรงจุดนี้ข้าก็ไม่ได้คิดจะล้างบางพวกมันจนหมดหรอก เพราะสิ่งที่ข้าต้องการจริงๆ คือความรุ่งเรืองของนากายามะ หาใช่การล่าสังหารมนุษย์จนสิ้น」
เหล่าน้องชายของเขาก็พยักหน้าให้กับคำพูดนั้น ทว่าความเร็วในการพยักหน้าก็แตกต่างกันออกไป แสดงให้เห็นว่าพวกเขาก็มีความคิดภายในใจที่ต่างกัน
จากนั้นอาซึมะก็พูดต่อ
「แน่นอนว่า พวกมนุษย์ที่จองจำเราภายในประตูไว้จะต้องสูญสิ้นจนหมด แต่การต่อสู้จะต้องจบเพียงแค่นั้น ข้าไม่อยากจะสร้างห่วงโซ่แห่งความแค้นไปมากกว่านี้ ยังไงสุดท้ายพวกเราก็ต้องติดต่อกับมนุษย์ที่ไหนสักแห่งอยู่แล้ว การเผชิญหน้ากันนับจากนี้คงเป็นสงครามคำพูดแทนด้วย ดังนั้นการหาคนหรือเครื่องมือมาเตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่」
「…และบทบาทนั้นพี่อาซึมะก็จะใช้มันกับโซระสินะ? 」
「ก็คงงั้น ไม่สิคาดหวังพอสมควรเลย ในขณะที่เขาสามารถใช้ทักษะของพวกคนเฝ้าประตูได้ เขาก็ยังมีมิตรภาพที่ดีกับคิจินอีก ข้าว่าหาคนแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ」
น้ำเสียงของพี่ชายช่างแสนอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความลึกซึ้ง เหล่าน้องๆ ที่ได้ยินต่างก็ต้องเงียบฟัง
แม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีความรู้สึกต่อมนุษย์ที่แตกต่างกันออกไป แต่นั่นมันก็ไม่ได้มากไปกว่าความเคารพในตัวของพี่ชายพวกเขา นากายามะจะเดินตามคำพูดของอาซึมะ และสิ่งนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พี่น้องทั้ง 3 ได้สลักสิ่งนี้เอาไว้ในใจทุกคน
จากนั้นบทสนทนาของ 4 พี่น้องก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
สรุปก็คือคาการิจะเดินทางไปที่ไดโกตามที่คุยกันตอนแรก ส่วนโดกะจะไปดูแลที่ประตู ในขณะที่อาซึมะจะปักหลักอยู่ไซโตะเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทางฮาคุโร่จะไปยังศูนย์กลางของลัทธิเพื่อรวบรวมข้อมูลต่อ
เมื่อสรุปได้ดังนี้โดกะก็ขยับร่างยักษ์ของตนและหันไปคุยกับพี่ชายของเขา
「ถ้าอย่างงั้น เฮียเดี๋ยวข้าขอกลับไปที่ค่ายก่อนแล้วกัน ถึงพวกคนเฝ้าประตูมันจะอยู่แค่ในป้อมปราการไม่เคลื่อนไหวอะไร แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นตลอด ดังนั้นคงต้องขอตัว」
「นั่นสินะ ข้าขอโทษด้วยแล้วกันที่เรียกเจ้ากลับมา ฝากดูแลทางประตูด้วยล่ะ」
「ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง」
หลังจากโค้งคำนับพี่ชายตน โดกะก็หันไปยังน้องชายทั้ง 2 ของเขา
「ฮาคุโร่ คาการิ พวกเจ้าทั้งสองก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วย ขอให้ทำหน้าที่ให้สำเร็จล่ะ」
「ไม่ต้องเป็นห่วงพี่รอง」
「เดี๋ยวข้าจะไปจัดการเก็บกวาดพวกที่อยู่ในเขาไดโกให้เร็วเลย หลังจากนั้นจะตามไปสมทบพี่โดกะเอง」
โดกะพยักหน้ารับน้องชายทั้งสองของเขาและออกจากห้องของอาซึมะไป
และนี่ก็คือบทบาทหน้าที่ของ 4 พี่น้องในศึกคราวนี้
——–
Note 1 : จบฝั่งคิจิน ไปฝั่งโซระได้
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code