การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 197 คิจิน 4 ตา

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 197 คิจิน 4 ตา

 

 

กองทัพของนากายามะได้มาตั้งค่ายอยู่ที่เนินเขาเล็กๆ ทางตะวันออกของป้อมปราการตระกูลมิตสึรุกิ

 

ระยะห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกลนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาโจมตีทางนี้ ดูเหมือนจะจับตามองการเคลื่อนไหวของทางนี้มากกว่า

 

 

 

ถึงแบบนั้นจะให้ประมาทพวกคิจินเลยก็คงไม่ดีนัก

 

 

 

ธงของพวกเขาโบกสะบัดอยู่เหนือค่ายเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับทหาร การเคลื่อนไหวของพวกทหารภายในก็รวดเร็วแลดูมีประสิทธิภาพ

 

 

จากที่เห็นจำนวนมีไม่น่าถึงพันคนก็เรียกว่าเป็นกองทัพขนาดเล็กได้แหละ หากเทียบกับจักรวรรดิแอด แอสเทร่า ไม่สิถึงเทียบกับคานาเรียก็ยังเล็กไปด้วยซ้ำ หรือจะบอกว่าเป็นกองกำลังที่เมืองอิชกะระดมพลมายังได้เลย

 

 

ทว่ามันก็เป็นการบอกได้อีกมุมหนึ่งว่าพลังของคิจินพวกนี้แข็งแกร่งพอ

 

 

 

แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่ทหารพวกนี้อาจจะเป็นเพียงทัพหน้า กองกำลังที่ใหญ่กว่านี้อีกสิบเท่าอาจจะตามาสมทบทีหลังก็ได้ ทว่าสภาพรกร้างภายในคิไคแห่งนี้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็รู้ว่าชีวิตคงไม่ได้ง่าย ยากที่จะจินตนาการได้จริงๆ ว่าพวกคิจินจะสามารถจัดทัพเป็นหมื่น

 

 

ดังนั้นผมจึงมองว่าพวกที่อยู่บนเนินเขานั่นน่าจะเป็นกองกำลังหลักของพวกคิจินแน่ๆ ก็แปลว่าน่าจะมีนายพลหรือผู้บัญชาการคนสำคัญของพวกคิจินอยู่ด้วย

ผมยืนดูพวกคิจินอยู่บนกำแพงป้อมก่อนพยักหน้าให้กับความคิดของตนว่าเป็นไปตามคาด

 

 

จากนั้นผมก็หันไปมองเออซูร่าที่กำลังตรวจสอบพวกคิจินอยู่ข้างๆ ผมเหมือนกัน

 

 

――เป้าหมายคือการจับผู้บัญชาการที่นำทหารมาโจมตีประตูปีศาจแล้วเข้าเจรจากับอาซึมะ

 

 

นั่นคือแผนที่ผมบอกกับไคลอาและเออซูร่า ถึงจะแอบคิดว่าจะโดนเออซูร่าท้วงก็เถอะ

 

 

ก็นะคิดแบบปกติแล้ว มันเป็นการประเมินพลังของศัตรูต่ำไปชัดๆ แต่ช่วยไม่ได้นี่นา การที่ผมเอาชนะโอเค็นกับเทพปีศาจได้มันก็ต้องคิดแผนประมาณนี้แหละ

 

 

แถมผมไม่ได้ประเมินพลังพวกคิจินต่ำไปหรอกนะ อย่างชายหนุ่มที่ชื่อคาการินั่น ถึงจะเคยพูดคุยกันแค่สองสามคำ แต่พลังที่แผ่ออกมาจากตัวเขาโอเค็นเรียกว่าเทียบไม่ติดเลย ไม่สิเทพปีศาจที่ผมจัดการไปก็เทียบไม่ได้ ดังนั้นผมไม่มีทางดูถูกพวกคิจินหรอก

 

 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเหตุผลที่ผมยังคงเลือกแผนนี้ก็เป็นเพราะพลังของผมเพิ่มขึ้นมากแล้ว ตั้งแต่ที่จัดการเบฮีมอธไป หากเป็นตอนนี้ผมน่าจะสู้กับคาการิได้สู้สีเลย

 

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือตัวไคลอา

ถึงต่อหน้าผมเธอจะทำตัวสงบเสงี่ยม แต่ภายในจิตใจของเธอคนร้อนรุ่มอยากจะเจอน้องชายตัวเองจนแทบบ้าแน่ ดังนั้นเพื่อจะช่วยเธอวิธีการนี้จึงเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุดแถมยังแสดงให้เห็นเธอเห็นด้วยว่าผมพยายามเต็มที่แล้ว แม้สุดท้ายจะได้กลับมาเพียงแค่ศพของหมอนั่นก็เถอะ

 

ถึงจะดูแย่ไปบ้างที่ต้องไปจับตัวผู้บัญชาการของอีกฝ่ายเพื่อเจรจากับกษัตริย์แต่ก็เอาเถอะ

 

ทว่าหากผมเอาเหตุผลทั้งหมดที่คิดไปบอกกับเออซูร่า ผมว่าเธอก็คงไม่น่าจะพอใจเท่าไหร่อยู่ดี

 

ดังนั้น ถ้าเธอต่อต้านแผนการของผม ผมก็ว่าจะไปแสดงฝีมือด้วยการเอาชนะมอนสเตอร์ที่เก่งพอๆ กับเผ่าพันธุ์ในตำนานข้างในคิไคนี้ให้เห็นสักหน่อยว่าผมไม่ได้แค่คุย ยังไงมันก็เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่ผมเข้ามาอยู่แล้วนี่

 

แต่ไม่รู้ทำไมพอเออซูร่าได้ฟังข้อเสนอจากทางผม ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยอมรับข้อเสนอของผมด้วยท่าทางที่สงบนิ่งและไม่ค้านอะไรออกมาเป็นพิเศษ ทั้งที่ตัวเธอก็ต้องเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตรายจากแผนของผมด้วย หรือเธอไม่สนกันนะ

 

 

เธอยอมทำตามที่ผมพูดอย่างง่ายดายจนผมสงสัยซะเองก็เลยถามเธอไป เออซูร่าเลยตอบกลับมาขณะเอามือสางผมสีน้ำผึ้งของเธอไปด้วย

 

 

 

 

「แน่นอนว่าผมอยากจะบ่นเหมือนกัน ไม่ว่านายจะแข็งแกร่งขนาดไหน ผมก็อยากจะให้ใช้วิธีที่มันรอบคอบกว่านี้สักหน่อย แต่ว่าผมก็รู้ดีว่านายกำลังรีบเพราะเรื่องไคลอากับคลิม」

 

 

 

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมไม่อยากจะเสียเวลามาบ่นอะไรอีก

 

เธอพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

 

พอเห็นรอยยิ้มของเธอแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเพื่อนร่วมรุ่นของผมคนนี้ประเมินผมสูงไปหน่อยหรือเปล่านะ

 

 

ผมก็ทำได้เพียงเกาแก้มตัวเองเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดต่อเจตนาแอบแฝงบางอย่าง

 

 

ก็จริงอยู่ว่าผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยพี่น้องเบิร์ช แต่ความปรารถนาลึกๆ จริงๆ ของผมยังไงก็คือการเติมเต็มอนิม่าของตัวเอง มันก็เลยแอบรู้สึกผิดนิดหน่อย ให้หายสิ

 

 

จากนั้นเออซูร่าก็พูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

 

 

「นอกจากนี้ ในฐานะนักรบธงแห่งผืนป่าแล้ว ผมก็อยากจะต่อสู้กับพวกคิจินด้วย ยังไงพวกมันก็คือศัตรูของพ่อผม ไม่มีเหตุผลต้องหยุดโซระเลยสักนิด」

 

 

 

 

เป็นน้ำเสียงที่ดูเบาบางแต่ก็หนักแน่นจนสั่นสะท้านเข้าไปในใบหูผม

 

 

สายตาของเออซูร่าที่จ้องมองไปยังพวกคิจินจากระยะไกลนั้นช่างดูเฉียบคมราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อพวกมันจริงๆ

 

 

ทั้งน้ำเสียงและการแสดงออกของเธอชวนให้นึกถึงเรื่องในอดีต

 

 

 

ก็จากที่เธอพูดนั่นแหละ ก่อนที่ผมจะถูกเนรเทศออกจากเกาะไป เออซูร่าเคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังขณะพวกเราฝึกซ้อนกัน ส่วนเนื้อหาก็――

 

 

 

「คิจิน 4 ตานั่นสินะ ศัตรูของพ่อเธอ」

 

 

 

เมื่อเธอได้ยินแบบนั้น เธอก็จ้องมองมายังใบหน้าของผมด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ

 

 

 

「โซระ นายจำเรื่องของผมได้ด้วยเหรอ นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะ」

 

 

 

「ไม่หรอก ฉันก็มานึกขึ้นได้ตอนเห็นสีหน้าของเธอนี่แหละ โทษทีละกัน」

 

 

「ไม่เป็นไรหรอก การที่นายจำเรื่องที่คนอื่นคิดว่าไร้สาระได้อย่างถูกต้อง แค่นั้นก็ขอบคุณมากแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครยอมเชื่อผมจริงๆ สักที นั่นสิเนอะแค่คิจินเฉยๆ ปรากฏตัวที่ชูโตะมันก็แปลกแล้ว แต่นี่คิจิน 4 ตาใครมันจะไปเชื่อกัน」

 

 

 

เออซูร่าส่ายหัวไปมาอย่างเหงาๆ ท่าทางของเธอในตอนนี้ช่างเหมือนกับในอดีตทุกประการ แม้รูปร่างหน้าตาของเธอจะเปลี่ยนไปมากแล้ว

 

 

 

 

――พ่อของเออซูร่า ผู้ดำรงตำแหน่งชิโกะ ได้ถูกฆ่าตายที่คฤหาสน์ของตัวเองในเมืองชูโตะ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน

 

แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนักในเรื่องความรุนแรงที่ก่อ แต่เขาก็นับว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งในหมู่ธงแห่งผืนป่า ไม่งั้นเขาคงดำรงตำแหน่งที่ทำหน้าที่จัดการกับเหล่าอาชญากรที่เป็นนักรบแห่งผืนป่าด้วยกันได้หรอก

 

 

สภาพศพของเขาที่เหมือนถูกจัดการอยู่ฝ่ายเดียวนั้นสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ในตระกูลมิตสึรุกิเป็นอย่างมาก

 

 

สถานที่ตายคือในเมืองชูโตะ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนคนก็ต้องคิดว่าคนร้ายคือนักรบแห่งผืนป่า

 

ถึงแม้ตอนจบจะไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้และคดียังไม่คลี่คลาย แต่ภาพบรรยากาศความวุ่นวายในคราวนั้นผมจำได้ดี

 

 

คิจิน 4 ตาที่เธอพูดถึงก็คือลักษณะของสิ่งที่ฆ่าพ่อของเธอ

 

 

ในช่วงกลางดึก เออซูร่าได้ถูกปลุกขึ้นมาเพราะเสียงที่ดูน่าสงสัย ก่อนจะเดินไปที่สวนของคฤหาสน์แล้วพบว่าพ่อของเธอกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ โดยมีคนร้ายถือดาบที่เปื้อนเลือดอยู่ข้างๆ

 

 

 

แต่ก็อย่างที่เธอได้บอกไป เรื่องที่เธอเล่าไม่ได้ถูกพวกผู้ใหญ่เอามาใส่ใจเลยสักนิด เพราะในเวลานั้นการป้องกันภายในประตูปีศาจยังไม่ได้ถูกทะลวงมาเหมือนเรื่องคราวก่อน ไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้บุกรุกจากภายนอกด้วย จึงไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่เธอพูดและบอกว่ามันคือภาพลวงตาที่เด็กสาวผู้สูญเสียพ่อไปสร้างขึ้น

 

 

แต่เออซูร่าไม่เคยคิดสงสัยหรือลืมในสิ่งที่ตนเห็นคืนนั้นได้เลย เพื่อที่จะล้างแค้นให้กับพ่อของเธอสักวันหนึ่ง เธอจึงอุทิศตัวเองให้กับดาบและพยายามหาข้อมูลของคิจิน 4 ตามาโดยตลอด

 

เหมือนที่ผมเคยเล่าไป เออซูร่ากับผมเคยฝึกฝนดาบด้วยกันมาระยะหนึ่ง ส่วนผลของการฝึกของสองฝ่ายที่ฝีมือห่างกันราวฟ้ากับเหวก็คงไม่ได้อะไรนัก แต่ส่วนสำคัญที่เธอยังยอมรับคำขอของผม ก็เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับคนที่ฆ่าพ่อของเธอ

 

 

ในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลมิตสึรุกิ เธอมองว่าผมอาจจะมีข้อมูลที่คนอื่นไม่รู้ และถึงผมจะยังไม่รู้อะไรเลยแต่ในอนาคตถ้าผมได้เป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ ผมก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึงได้ จากมุมของเออซูร่าแล้วก็น่าจะเหมือนการลงทุนกับตัวผมในอนาคตแหละนะ

 

 

 

ถึงแม้มันจะเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวของเธอก็เถอะ เพราะสภาพผมก็เป็นอย่างที่เห็น

 

 

เออซูร่าได้เปลี่ยนสีหน้าของตัวเองเสียใหม่และส่ายหัวไปมาราวกับจะขจัดบางสิ่งออกจากร่างไป

 

 

 

 

「อ้า โทษทีนะโทษที เรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน ว่าแต่จะเอายังไงต่อล่ะโซระ บอกไปตรงๆ ตอนนี้เลยไหม? 」

 

 

 

「อ้า เวลาไม่คอยใครด้วย ไคลอาเธอพร้อมไหม? 」

 

 

 

เมื่อผมเรียกไคลอาที่ยืนอยู่เงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้ เธอก็พยักหน้าให้คำตอบกับผมโดยไม่พูดจาใดๆ

 

เมื่อเห็นแบบนั้นเออซูร่าก็พูดต่อ

 

 

 

 

 

「ถ้างั้น ผมว่าเราเปิดใช้อาภรณ์วิญญาณกันตั้งแต่ตรงนี้เลยดีกว่า คงไม่ต้องพูดแล้วมั้งว่าการกระโจนเข้าไปกลางค่ายศัตรูมันจะหนักหนาแค่ไหน」

 

 

 

 

เออซูร่ายิ้มออกมาอย่างซุกซน

 

 

จากนั้นเธอก็หยุดหัวเราะแล้ว เปิดใช้งานอนิม่าของตนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

 

「――จงสะพรั่ง ไรกะ」

 

 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ดาบเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ

 

 

รูปร่างของมันที่ออกมาช่างแปลกประหลาด มันคล้ายกับตัวดาบที่มีเพียงคมคาบเท่านั้น

 

 

และงดงามอย่างน่าสะพรึง

 

 

ดาบสีแดงชวนให้นึงถึงอาภรณ์วิญญาณของคลิมอย่างคุริคาระ แต่ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความรุนแรงของเปลวเพลิงอันร้อนแรงจากอาภรณ์วิญญาณของเธอเลย กลับกันมันดูเยือกเย็นจนน่าขนลุกด้วยซ้ำ

 

 

บ้างก็ว่ามันคือสีของเลือด บ้างก็ว่ามันคึอดอกไม้สีแดงที่แต่งเติมท้องทุ่งและภูเขาในฤดูใบไม้ร่วง

 

ก่อนหน้านี้เออซูร่าก็เคยบอกเอาไว้ว่าอนิม่าของเธอคำอวตารแห่งดอกฮิกันบานะ ว่ากันว่ามันคืออนิม่าที่เหมาะสมกับตระกูลอุตการ์ซ่าที่ต้องมือเปื้อนเลือดเสมอเสียยิ่งกว่าอะไร

 

 

ฮิกันบานะมันคือดอกที่จะบานสะพรั่งในช่วงวันศารทวิษุวัต ดอกไม้สีแดงที่เป็นประกายแวววาวสวยงาม สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น แต่สีแดงสดนั้นก็แฝงไปด้วยความลึกลับมากเสียที่ยิ่งความงดงามที่มันแสดงออกมา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มีบางตำนานเล่าว่าดอกไม้นี้มักจะเบ่งบานหลังดูดเลือดจากคนตาย

 

 

 

แถมส่วนมากมันก็มักจะโตอยู่ในสุสานด้วย เลยทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งลางร้าย

 

 

ตระกูลอุตการ์ซ่าที่รับตำแหน่งชิโกะมาหลายชั่วอายุคน และทำให้นักรบแห่งผืนป่ามากมายต้องหลั่งเลือด พ่อของเธอก็ถูกฆ่าตาย ผู้คนบางส่วนก็รังเกียจเธอเพราะสิ่งที่พ่อของเธอทำ จึงยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าคนพวกนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อรู้ว่าอาภรณ์วิญญาณของเธอคือฮิกันบานะ ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับการหลั่งเลือดและความตาย

 

 

เมื่อก่อนผมเลยอยากจะพูดอะไรกับเออซูร่าเพื่อให้เธอเห็นถึงคุณค่าของตัวเองมากกว่านี้และเปลี่ยนมุมมองต่อฮิกันบานะ

 

 

 

ผมพยายามดึงความทรงจำที่มีอยู่ในอดีต

 

 

ฮิกันบานะนั้นมีพิษอยู่ในตัวของมัน นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่มันเป็นดอกแห่งลางร้าย แต่ในขณะเดียวกันพิษพวกนั้นก็สามารถไล่หนูและพวกตัวตุ่นออกไปได้ด้วย เหตุผลที่ผู้คนมักจะเห็นฮิกันบานะอยู่ในสุสานก็เพราะมนุษย์ตั้งใจปลูกมันไว้เพื่อปกป้องคนตายจากพวกสัตว์ดังกล่าว

 

 

แต่ดันจำไม่ได้ว่าเป็นแม่ เซซิล โกซุ หรืออายากะกันแน่ที่เป็นคนบอกเรื่องนี้กับผม

 

ไม่สำคัญว่าจะเป็นใครแต่ฮิกันบานะก็คือผู้ดูแลสุสานที่ปกป้องความสงบของผู้ตาย มันไม่ใช่แค่ดอกไม้แห่งลางร้าย――ผมจำได้ว่าตอนนั้นพยายามอย่างหนักเลยเพื่อให้กำลังใจเธอ

 

 

พอมานึกเอาตอนนี้ การเปรียบเทียบอนิม่ากับผู้ดูแลสุสานนี่มันไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด ทางเธอก็ไม่ได้เป็นฝ่ายขอกำลังใจอะไรจากผมด้วยสิ ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเออซูร่าตอบสนองยังไงกับคำพูดของผมในอดีต

 

 

อย่างไรก็ตาม ตัวผมในตอนนั้นเห็นว่าเธอกำลังหดหู่เลยคิดว่าตัวเองต้องพยายามช่วยเธอสักทาง แน่นอนว่าที่พูดไปตอนนั้นไม่ได้มีเจตนาแปลกๆ แอบแฝงเลย สำหรับเออซูร่าแล้ว เธอคือผู้หญิงที่นิสัยดี น่าชื่นชม ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจหรือเป็นลางร้ายอะไร

 

 

 

ความประทับใจที่มีต่อเธอจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

 

 

 

「สวยไม่เปลี่ยนเลยนะ」

 

 

มันไม่ใช่คำพูดอวยเกินจริงแต่อย่างใด เพราะผมคิดแบบนั้นจริงๆ

 

 

 

เออซูร่าก็ยิ้มให้กับผม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูงดงามเสียจนทำผมประหลาดใจ ช่างต่างจากรอยยิ้มที่ผมเคยเห็นเมื่อก่อน

 

 

 

「ฟุฟุ ขอบใจจ้า แต่ถึงตาของนายแล้วหรือเปล่าที่ต้องเอาอาภรณ์วิญญาณสังหารเทพปีศาจในข่าวลือนั่นออกมาให้เห็น หรือนายจะรอให้ผมนอนเป็นผักในค่ายของศัตรูไปก่อนแล้วค่อยงัดออกมากันล่ะ? 」

 

 

「ก็ไม่หรอกน่า จะเอาออกมาเดี๋ยวนี้แหละ แถมถ้าใช้ตั้งแต่ตรงนี้เลย น่าจะล่อศัตรูออกมาได้เยอะด้วย」

 

 

ขณะที่พูดผมก็ยื่นมือขวาออกไปตรงหน้า

 

 

 

หากผู้บัญชาการของอีกฝ่ายคือคาการิ ผมว่าหมอนั่นคงจะกระโดดออกค่ายมาด้วยความยินดีเลยแน่ๆ เพราะคราวก่อนที่เจอกันก็เป็นฝ่ายพูดเองด้วยนี่นะว่าอยากจะสู้กับผม

 

 

ระหว่างที่คิดแบบนั้น ผมก็เปิดการใช้งานอาภรณ์วิญญาณ

 

 

 

――จงกลืนกิน โซลอีทเตอร์

 

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

 

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน