ตอนที่ 214 งู
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่พวกผมมาถึงไซโตะ พวกผมก็ได้เดินทางไปดูรอบๆ เมืองโดยมีคนนำทาง ทว่าพวกผมก็ได้ถูกจัดเตรียมบอกข้อมูลเบื้องต้นก่อนออกเดินทางไว้แล้ว
โดยเรื่องที่ได้รู้หลักๆ ก็คงจะเป็นเรื่องของลัทธิแห่งแสง
พวกที่อยู่ในคิไคแห่งนี้เกือบทั้งหมดคือผู้ศรัทธาของลัทธิแห่งแสง ดังนั้นขณะที่พวกผมอยู่ในเขตของนากายามะก็ต้องแสร้งเป็นผู้ศรัทธาด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าตัวตนของพวกผมถูกทางราชวงศ์ของนากายามะรับรองแล้ว แต่อย่างน้อยก็จำเป็นต้องรู้เรื่องของลัทธิติดตัวไว้บ้าง
「ถ้าฮาคุโร่อยู่ที่นี่ ข้าคงยกหน้าที่――ไม่สิข้าคงทิ้งหน้าที่นี้ให้เขาไปแล้ว」
ชายที่บ่นออกมาอย่างไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่คนนำทางตรงหน้าของพวกผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นโดกะ น้องชายของอาซึมะโดยฮาคุโร่ที่ว่าก็เป็นน้องชายของเขาอีกทีแถมยังเป็นคนใหญ่คนโตของลัทธิซะด้วย เดิมทีหน้าที่ในการจัดแจงเกี่ยวกับลัทธิจึงควรเป็นหน้าที่เขา
ทว่าตอนนี้ฮาคุโร่ไม่ได้อยู่ที่ไซโตะ ส่วนเหตุผลนั้นผมก็ไม่รู้หรอกเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมบอก แต่เอาเป็นว่าการได้รู้เรื่องของลัทธิแห่งแสงเพิ่มก็เป็นประโยชน์กับผมเหมือนกัน
จากนั้นผมก็ทวนความรู้เกี่ยวกับลัทธิที่เคยได้ยินมาจนถึงตอนนี้ มันคือองค์กรที่เป็นต้นกำเนิดของวิหารเทพแห่งกฎหมาย
องค์กรที่ทรยศต่อมนุษยชาติในสงครามเมื่อ 300 ปีก่อนและเข้าร่วมกับพวกคิจิน เรื่องของลัทธิแห่งแสงที่เคยได้ยินมาก็ทั้งจาก โอเค็นตอนสู้กันบนเกาะ ลาสคาริสที่เจอในเบลก้า จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ
หากอ้างอิงจากที่จักรพรรดิบอกเกี่ยวกับลัทธิแห่งแสงเขาก็พูดประมาณว่า
『แล้วเหตุใดเผ่าพันธุ์ในตำนานที่กำเนิดมาจากรังมังกรถึงแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อมนุษย์กัน? คำตอบที่ว่าโลกใบนี้มองเห็นว่ามนุษย์คือศัตรูก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเกินจริง――มันมีพวกที่กล่าวอ้างเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน เผ่าพันธุ์ในตำนานคือผู้ส่งสารจากพระเจ้า』
ลัทธิแห่งแสงบูชาโลกในฐานะเทพเจ้า และเผ่าพันธุ์ในตำนานก็คือผู้ส่งสารของพระเจ้า โดยเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาก็คือการชำระโลกนี้ให้บริสุทธิ์
หลักคำสอนบ้าอะไรกันเนี่ย แล้วถามจริงต้องเป็นคนแบบไหนถึงยอมทำตามคำสอนพวกนี้
เอาเถอะอย่างน้อยก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจดี จากนั้นผมก็มองไปยังไคลอากับเออซูร่าดูเหมือนว่าพวกเธอจะประหลาดใจเหมือนกันที่มีมนุษย์คนอื่นอยู่ในคิไคแห่งนี้ด้วย
ถึงแม้ว่าไคลอากับเออซูร่าจะเป็นนักรบระดับแนวหน้าของธงแห่งผืนป่าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ดูเหมือนทั้งสองจะไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลยสักนิด ท่าทางข้อมูลเกี่ยวกับคิไคส่วนมากถึงจะเป็นนักรบแห่งผืนป่าก็ต้องถูกปิดเป็นความลับเอาไว้
ลองย้อนกลับมานึกดูการที่จักรพรรดิบอกผมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็ถือว่าเขาเมตตาผมพอสมควรเลยนะเนี่ย ไหนจะแหวนตราจักรพรรดิที่เป็นบัตรผ่านอีก
ระหว่างที่กำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่โดกะก็ร่ายเรื่องราวของลัทธิให้พวกผมฟังต่อไปเรื่อยๆ
ว่ากันตามตรงก่อนที่ผมจะได้ฟังเรื่องราวที่โดกะเล่าจนจบ ผมเผลอสรุปไปแล้วว่าคำสอนของลัทธิคงจบประมาณว่า บูชาเผ่าพันธุ์ในตำนาน ฆ่าพวกนอกรีตทิ้ง ทว่ามันกลับไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว
คำสอนของลัทธิที่โดกะอธิบายเพิ่มเติมนั้นมีทั้งการ ห้ามฆ่าฟัน ลักขโมย ไม่โกงกิน ดูๆ ไปมันก็เหมือนกับลัทธิทางศาสนาทั่วไปซะงั้นพอลงรายละเอียดลึกๆ
จะบอกว่าเนื้อหาหลักคำสอนที่แสนสุดโต่งจนถูกขับไล่มาในคิไคมันเปลี่ยนไปในช่วง 300 ปีนี้ก็ไม่น่าจะใช่แฮะ
บางทีคำสอนหลักๆ ก็จะมุ่งเน้นให้ผู้ศรัทธาธรรมดาปฏิบัติกับคำสอนที่พวกระดับสูงของลัทธิต้องปฏิบัติอาจจะแตกต่างกัน หากเทียบกับสิ่งที่ผมเคยได้ยินมากด้วยแล้ว ผมก็มองได้แค่นั้นจริงๆ
พอมาถึงตรงนี้ผมก็มีข้อสงสัยที่อยากจะถามโดกะ
คิไคแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานด้านลบ ที่แม้แต่ผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณซึ่งมีพลังอยู่เป็นจำนวนมากยังไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ถาวร จากที่เออซูร่าบอกถึงจะเป็นพวกระดับสูงก็ยังต้องถูกบังคับให้ออกไปพักนอกประตูทุกๆ 2-3วันเลย
ดังนั้นทำไมผู้ศรัทธาในลัทธิแห่งแสงจึงสามารถอาศัยอยู่ภายในคิไคแห่งนี้ได้ หากจะบอกว่าพลังของเหล่าผู้ศรัทธาในคิไคแห่งนี้เหนือกว่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณก็ไม่น่าจะใช่ด้วย
พอผมถามไปโดกะก็ตอบว่า 「สำหรับผู้ศรัทธาในลัทธิพวกเขาจะได้เครื่องรางจากทางวิหารน่ะ」
พอได้ยินแบบนั้นผมก็พยักหน้าราวกับบอกว่าเข้าใจแล้ว
สิ่งที่เข้ามาภายในหัวของผมตอนแรกเลยก็คือบาเรียที่สันตะปาปาโนอาห์พยายามจะสร้างขึ้นเพื่อป้องกันพิษของไฮดร้า
ถึงนั่นจะเป็นบาเรียที่ใช้ป้องกันพิษ ทว่ามองในอีกมุมหนึ่งมันก็คือบาเรียที่ป้องกันสถานะผิดปกติ เนื่องจากลัทธิแห่งแสงกับวิหารเทพแห่งกฎหมายนั้นก็มีรากฐานมาจากจุดเดียวกัน จึงไม่น่าแปลกหากพวกเขาจะมีเทคนิคอะไรบางอย่างคล้ายๆ กัน ไม่สิอาจจะเป็นอันเดียวกันเลยก็ได้
ขณะที่ผมคิด โดกะก็เริ่มพูดต่อ
「ทางทิศตะวันออกของคิไคนั้น จะมีศูนย์กลางของลัทธิอยู่โดยเมืองนั้นถูกเรียกว่าฮอนเทน (เมืองศาลเจ้า) ก็เป็นชื่อที่เหมาะกับเมืองของลัทธิดีแหละนะ เอาเป็นว่าเมืองนั้นคือเมืองที่อยู่ในการปกครองของลัทธิเต็มร้อย ซึ่งหน้าที่ของเมืองนั้นว่ากันตามตรงก็คือเป็นเมืองที่ดูแล “งู” และที่คอยปกป้องไม่ให้ไอพิษแพร่กระจายไปทั่วคิไค หากไม่ใช่เพราะมัน คิไคแห่งนี้คงจะถูกกลืนกินด้วยไอพิษจนทำให้ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ไปแล้ว」
พอพูดจบโดกะก็เสริมแบบประชดว่า「ถึงนั่นจะเป็นสิ่งที่เจ้าพวกนั้นอ้างขึ้นเองเฉยๆ ก็เถอะ」
ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำนี้ก็เถอะ เพราะเมื่อวานจากที่คุยๆ กันไปมาอาซึมะก็เหมือนจะพูดไว้เหมือนกันว่าคิไคแห่งนี้เต็มไปด้วยไอพิษและมีงูเป็นสาเหตุของเรื่องนั้นอยู่
ในตอนนั้นผมจัดลำดับเรื่องของคลิมให้สำคัญที่สุดจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่พอรวมข้อมูลจากที่อาซึมะกับโดกะบอกแล้ว พวกคิจินเชื่อว่างูคือที่มาของไอพิษที่คอยปกคลุมทั่วคิไค
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ามันต่างจากที่ตระกูลมิตสึรุกิบอก พวกเขาเชื่อว่าไอพิษและพลังงานชั่วร้ายทั้งหมดในคิไคนั้นเป็นฝีมือของเทพปีศาจ
ตอนแรกผมก็แอบคิดว่าหรืองูนั่นจะเป็เทพปีศาจ แต่ก็ต้องถูกปัดตกไป เพราะอาซึมะบอกว่า แม้จะเป็นคิจินที่ได้รับพรจากเทพปีศาจพวกเขาก็ไม่สามารถทนพิษของงูไหว นั่นเอง
ดังนั้นเทพปีศาจกับงูนั่นจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่ๆ หรืออยากน้อยนั่นก็คือสิ่งที่พวกอาซึมะเชื่อ พวกเขามองว่ามีบางสิ่งที่ไม่ใช่เทพปีศาจกำลังคอยสาปแช่งดินแดนนี้อยู่
ถ้างั้นสิ่งที่แต่ละฝ่ายบอกก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่คิดผิด
คำถามคือเป็นตระกูลมิตสึรุกิหรือคิจินล่ะที่คิดผิด ในตอนนี้ผมก็หาคำตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าให้ว่ากันตามตรงผมค่อนข้างจะเชื่อฝั่งคิจินมากกว่านะ ก็ไม่ใช่ว่าผมมีหลักฐานอะไรมากกว่าหรอก แต่ผมแค่ไม่มีเหตุผลให้ต้องไปเชื่อสิ่งที่ตระกูลพูดเลยสักนิด
เอาเป็นว่าหากมองว่าสิ่งที่พวกคิจินพูดนั้นถูก คำถามคือ งู นั่นเป็นตัวอะไรกันแน่
มันอาจจะเกี่ยวข้องกับความจริงที่เกิดขึ้นเมือ 300 ปีก่อนด้วยก็ได้ ว่าแล้วผมก็เลยลองถามโดกะดู
ดูเหมือนว่าโดกะก็ไม่น่าจะชอบลัทธิแห่งแสงเท่าใดนัก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ตั้งของลัทธินั้นน่าจะเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในคิไค
พอฟังมาถึงตรงนี้ผมก็เกิดความสนใจในเรื่องที่โดกะเล่าขึ้นมา
งู
ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำนี้ก็เถอะ เพราะเมื่อวานจากที่คุยๆ กันไปมาอาซึมะก็เหมือนจะพูดไว้เหมือนกันว่าคิไคแห่งนี้เต็มไปด้วยไอพิษและมีงูเป็นสาเหตุของเรื่องนั้นอยู่
ในตอนนั้นผมจัดลำดับเรื่องของคลิมให้สำคัญที่สุดจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่พอรวมข้อมูลจากที่อาซึมะกับโดกะบอกแล้ว พวกคิจินเชื่อว่างูคือที่มาของไอพิษที่คอยปกคลุมทั่วคิไค
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ามันต่างจากที่ตระกูลมิตสึรุกิบอก พวกเขาเชื่อว่าไอพิษและพลังงานชั่วร้ายทั้งหมดในคิไคนั้นเป็นฝีมือของเทพปีศาจ
ตอนแรกผมก็แอบคิดว่าหรืองูนั่นจะเป็ฯเทพปีศาจ แต่ก็ต้องถูกปัดตกไป เพราะอาซึมะบอกว่า แม้จะเป็นคิจินที่ได้รับพรจากเทพปีศาจพวกเขาก็ไม่สามารถทนพิษของงูไหว นั่นเอง
ดังนั้นเทพปีศาจกับงูนั่นจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่ๆ หรืออยากน้อยนั่นก็คือสิ่งที่พวกอาซึมะเชื่อ พวกเขามองว่ามีบางสิ่งที่ไม่ใช่เทพปีศาจกำลังคอยสาปแช่งดินแดนนี้อยู่
ถ้างั้นสิ่งที่แต่ละฝ่ายบอกก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่คิดผิด
คำถามคือเป็นตระกูลมิตสึรุกิหรือคิจินล่ะที่คิดผิด ในตอนนี้ผมก็หาคำตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าให้ว่ากันตามตรงผมค่อนข้างจะเชื่อฝั่งคิจินมากกว่านะ ก็ไม่ใช่ว่าผมมีหลักฐานอะไรมากกว่าหรอก แต่ผมแค่ไม่มีเหตุผลให้ต้องไปเชื่อสิ่งที่ตระกูลพูดเลยสักนิด
เอาเป็นว่าหากมองว่าสิ่งที่พวกคิจินพูดนั้นถูก คำถามคือ งู นั่นเป็นตัวอะไรกันแน่
มันอาจจะเกี่ยวข้องกับความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนด้วยก็ได้ ว่าแล้วผมก็เลยลองถามโดกะดู
「งูเหรอ นั่นเป็นคำที่ฝั่งคิจินใช้เรียกกันสินะ」
หากถามเรื่องงูไปตามตรง ผมอาจจะเสียฟอร์มได้ก็เลยตีเนียนไปดู โดยการแอบถามแทน แต่โชคดีที่โดกะเหมือนจะไม่รู้ตัว ก็เลยตอบกลับคำถามผมมา
「ก็อย่างที่เจ้าว่า งูนั่นคือเผ่าพันธุ์ในตำนานที่บรรพบุรุษของพวกข้าเคยเสี่ยงชีวิตเข้าสู้ จนถึงตอนนี้มันก็ยังขดตัวอยู่ที่ทางตะวันออกนั่นและพยายามจะชำระล้างโลกให้บริสุทธิ์ตามที่มันต้องการอยู่ ให้ตายสิถึงข้าจะไม่ชอบมนุษย์แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณมนุษย์ ซึ่งเป็นนักบุญของลัทธิแห่งแสงจริงๆ ที่ผนึกงูนั่นไว้เมื่อ 300 ปีก่อน」
จากนั้นเขาก็พูดชื่อของนักบุญสาวคนนั้นออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ก็จริงสำหรับโดกะคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทว่าชื่อของนักบุญสาวที่ผมได้ยินนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่เสียจนผมปล่อยผ่านไปด้วยไม่ได้จริงๆ
โดยชื่อนักบุญที่โดกะบอกมานั้นก็คือ
――นักบุญสาวผู้ผนึกงูโซเฟีย
โซเฟีย อาเซอร์ไรท์
——–
Note 1 : อายากะหล่อนมีพิรุธ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code