ตอนที่ 216 พบเจอกันอีกครั้ง (บทต้น)
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งกำลังวิ่งผ่านผืนดินอันแห้งแล้ง ขนสีแดงของมันปลิวไสวไปตามสายลม
ปลายทางนั้นคือทางตะวันตก เขาไดโกะ กิเลนที่มีชื่อว่าเอ็นคูมะกำลังวิ่งไปโดนไม่แสดงอาการอ่อนล้าใดๆ ออกมาให้เห็นเลย แม้รถม้าจะบรรจุคนถึง 5 คนก็ตาม
ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากไซโตะก็มี ผม ไคลอา เออซูร่า โดกะ กับอีกหนึ่งผู้ติดตาม
「นี่ก็นานมากแล้วที่ข้าได้นั่งรถม้าศึกเช่นนี้ ชวนให้นึกถึงสมัยเป็นสารถีวิ่งผ่านแนวรบของท่านกษัตริย์ผู้ล่วงลับจริงๆ 」
คนที่พูดถึงเรื่องในอดีตออกมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคิจินตนหนึ่งที่มีเขางอกออกมาจากหน้าผากของเขา
ใบหน้านั้นชวนให้นึกถึงนักวิชาการมากกว่านักรบ ท่าทางดูบอบบางผมแห้ง ทว่าสัดส่วนทั้งหมดนั้นแท้จริงเกิดจากการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ผมของเขาถูกย้อมด้วยสีขาวโพลนไปแล้ว ลักษณะโดยรวมก็ชวนให้นึกถึงนกกระเรียน
เขาพูดต่อในขณะที่หัวเราะออกมา
「ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าทักษะการต่อสู้ของนายน้อยจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ ข้าคงไม่เหลืออะไรจะสอนท่านแล้วจริงๆ 」
「ข้ายังขาดๆ เกินๆ อยู่อีกมาก หากเทียบกับท่านที่เดินผืนน้ำได้เหมือนพื้นราบ――จะว่าไปทำไมท่านถึงเอาแต่พูดเหมือนตาแก่กันเล่า」
「โฮ่ๆ ขออภัยด้วยๆ พอนึกถึงตอนที่ได้เปลี่ยนผ้าอ้อมฝ่าบาทกับท่านโดกะแล้วมันก็อดจะนึกว่าพวกท่านเป็นเด็กน้อยไม่ได้จริงๆ ช่วยอดทนกับตาลุงคนนี้หน่อยนะ」
คิจินที่กำลังพูดอยู่นี้มีนามว่าโซไซ
อย่างไรก็ตามดูจากท่าทางของพวกเราที่คุยไปหัวเราะไปแล้ว ท่าทางทั้งสองคนสนิทกันไม่น้อย
โดกะก็ทำได้เพียงเกาแก้มด้วยความเขินอายและไม่พูดอะไรต่อ ถึงจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าคิจิน แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านคนที่เคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ตนได้
เอาเป็นว่าโซไซคนนี้แหละที่เป็นคนติดตามคนที่ 5
เขาคือหนึ่งในแพทย์หลวงชั้นยอดที่ประจำอยู่ภายในวัง
โดยในอดีตเขานั้นเป็นข้ารับใช้ของกษัตริย์นากายามะคนก่อน ถือได้ว่าเป็นข้าราชบริพารอาวุโสที่คอยสนับสนุนนากายามะหลังล่มสลายไปพร้อมกันกับพวกอาซึมะและโดกะ
จากที่โดกะบอกเขามีความสามารถพอจะเป็นจอมพลหรือเสนาบดีได้ด้วยซ้ำ แต่บัดนี้พอ 4 พี่น้องนากายามะได้เติบใหญ่กันหมดแล้ว พวกเขาแต่ละคนก็มีความโดดเด่นกันมากพอจนทำให้โซไซมองแล้วว่าตนไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีก ก่อนจะถอยออกมาจากแนวหน้าทั้งเรื่องการเมืองและการทหาร
แต่เดิมเขาก็รับหน้าที่เป็นแพทย์สนามด้วย ดังนั้นสิ่งที่เขาทำตอนนี้ก็ถือว่าเป็นการรับใช้นากายามะอย่างหนึ่ง
คาการิได้ส่งสารมายังไซโตะเพื่อขอแพทย์มือดีจากอาซึมะไปช่วยเหลือเขา โดกะก็เลยพาโซไซมากับพวกผมด้วยซะเลย
ระหว่างที่ผมฟังบทสนทนาของพวกคิจิน ผมก็หันความสนใจไปทางไคลอาที่นั่งข้างๆ ผม
สายตาของเธอจ้องมองไปทางทิศตะวันตก โดยไม่ได้สนใจสายตาของผมเลยสักนิด ท่าทางเธอจะกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของคลิมจริงๆ
ตอนแรกผมก็คิดจะพูดอะไรให้เธอคลายกังวลเสียหน่อย แต่ท่าทางของเธอมันบอกชัดแล้วว่าพูดอะไรไปก็คงเสียเวลาเปล่า
ส่วนเออซูร่าที่ปิดปากเงียบไปก็คงจะคิดแบบเดียวกันกับผม
ดังนั้นพวกผมก็เลยได้แต่จ้องมองไปทางทิศตะวันตกอย่างเงียบๆ ทว่าพอเวลาผ่านไปสักพักความเงียบก็ถูกทำลายลงเพราะกลุ่มฝุ่นควันที่ลอยฟุ้งมาจากไกลๆ
ผมจึงพยายามเพ่งสายตามองดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วก็พบกับเงาจำนวนมากด้านหลังฝุ่นควันนั้น
ท่าทางจะเป็นมอนสเตอร์ 2 ชนิด โดยอย่างแรกคือมอนสเตอร์ที่เดินตามพื้นกับอีกประเภทที่บินอยู่บนท้องฟ้าซึ่งกำลังส่งเสียงร้องดังหนวกหูออกมา
เสียงของพวกมันช่างคุ้นเคยจนผมพูดกับตัวเอง
「แมงมุมดินเหรอ」
มันคือชื่อของมอนสเตอร์ที่ผมเคยต่อสู้ในพิธีทดสอบ ด้วยเสียงกรีดร้องที่ดูมีเอกลักษณ์ของมันผมจำไม่ผิดแน่
แมงมุมดินนั้นมีระดับความโหดหินประมาณราชาแมลงวันกับบาซิลิสก์ หากว่าตัวแบบนี้ไปโผล่แถวเมืองอิชกะได้เกิดเรื่องวุ่นวายแน่ ทว่าสำหรับตัวผมตอนนี้มันคือคู่ต่อสู้ที่เอาชนะได้ไม่ยากนัก แน่นอนว่าสำหรับพวกไคลอา เออซูร่า โดกะก็เหมือนกัน
จากที่ดูพวกแมงมุมดินมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 ตัว ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย ก็จริงว่าบนรถม้าเราก็มีกันอยู่ 5 คน แต่มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องออกไปพร้อมกันทั้งหมด แค่คนเดียวก็เหลือๆ
ทว่าหากจะให้บอกถึงความแปลกตรงหน้าก็คงจะเป็นเรื่องที่พวกมันกำลังหนีอะไรบางอย่างมา
แมงมุมดินพวกนั้นได้พ่ายแพ้และกำลังหนีมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายกับผึ้งผสมมด โดยปีกของมันเป็นคริสทัล
พอเห็นแบบนี้แล้ว คิจินผมสีขาวก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้น
「หื้ม นั่นมันเก็นโฮไม่ใช่เหรอ จากที่ข้ารู้พวกมันไม่น่าจะอาศัยอยู่แถวนี้นี่ น่าแปลกจริงๆ พวกมันมาทำอะไรแถวนี้กันนะ」
พอโซไซพูดแบบนั้นโดกะก็ขมวดคิ้ว
「ดูจากที่พวกมันไล่ตามแมงมุมดินมา เป้าหมายก็น่าจะเป็นเก็บพวกนั้นกลับไปกินที่รัง เห็นทีต้องส่งทหารมาจัดการแล้วสิ ปล่อยไว้ก็ไม่ใช่เรื่องดีด้วย」
「ก็เป็นเหมือนที่ท่านว่า หากไม่มีคำขอที่ท่านคาการิขอมา ข้าก็คงจะอยู่จัดการให้ไปแล้วแท้ๆ 」
「ถึงคาการิจะไม่ได้ขอ แต่ข้าก็ไม่ยอมให้ท่านออกไปสู้แน่นอน ให้ข้าไปยังจะดีเสียกว่า」
พอโดกะพูดจบ เขาก็พ่นลมหายใจออกมาจากจมูก
「ใจจริงข้าก็อยากจะกำจัดพวกมันให้เสร็จๆ ไปเลย….ทว่าจะมาจัดการพวกมันตอนนี้ก็คงยุ่งยาก โดยเฉพาะเก็นโฮที่มักจะทิ้งกลิ่นของตัวเองเอาไว้ก่อนตาย หากไปยุ่งอะไรกับมันเข้าเดี๋ยวได้เจอพวกของมันตามมาอีกเป็นชุดใหญ่แน่ จะให้พาพวกมันไปเจอกับกลุ่มคนบาดเจ็บก็ไม่ใช่เรื่องอีก」
「ก็นั่นสิน้า ถึงจะไม่รู้ว่าท่านคาการิคิดอะไรอยู่ถึงอยากช่วยคนเฝ้าประตู ฝ่าบาทเองก็ด้วยแต่ในเมื่อข้าเป็นหมอยังไงก็ต้องไปแหละนะ เอาเป็นว่าก็เลี่ยงการต่อสู้ก่อนละกัน」
บางทีบทสนทนาของพวกเขาคงอยากจะให้พวกผมได้ยินด้วย ให้ตายสิส่วนตัวผมก็อยากจะออกไปสู้อยู่หรอก แต่จะให้ไปหาวิญญาณกินระหว่างเดินทางไปหาคลิมก็ไม่ได้ซะด้วย ความสำคัญของสถานการณ์มันต่างกัน ดังนั้นผมก็เลยไม่บ่นอะไรกับโดกะ
แมงมุมดินกับเก็นโฮก็ยุ่งอยู่กับชีวิตของตัวเองโดยไม่ได้สนใจพวกผมเลย รถม้าของโดกะจึงผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
ทางผมก็ทำได้แค่มองอาหารลับสายตาไปโดยมีภาพมอนสเตอร์ที่คล้ายกับผึ้งนั่นมันใช้เหล็กในมีพิษแทงเข้าไปที่ร่างของแมงมุมดิน
หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ พวกเราเดินทางมาถึงเขาไดโกะ คือถ้าพูดให้ชัดก็ถูกพวกมอนสเตอร์เข้าโจมตีแหละ แต่ความเร็วของพวกมันตามกิเลนไม่ทัน ดังนั้นก็ถือว่าปลอดภัย
ดูเหมือนกบฏคาซานจะมีทหารอยู่หลายร้อยนายซึ่งตั้งค่ายอยู่บนเขาไดโกะ พอเห็นรถม้าของพวกผมก็เหมือนจะตกใจกันหนิดหน่อย ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีอะไร
จากนั้นพวกเขาก็น่าจะเอาเรื่องนี้ไปรายงาน พอพวกผมไปถึงภายในค่ายเด็กชายที่แสนคุ้นหน้าคุ้นตาก็ยืนรออยู่แล้ว
「โอ้ว พี่โดกะ! ถึงจะคิดไว้อยู่แล้วว่าโซไซจะมา แต่พี่โดกะก็มากับเขาด้วยเหรอ แล้วอย่างงี้ใครจะคุมแถวประตูล่ะเนี่ย จะว่าไปคนพวกนั้น――」
สายตาของเด็กนั่นค่อยๆ จ้องมองมาทางพวกผม โดยเริ่มจากเออซูร่า ไคลอา ก่อนจะมาหยุดที่ผม
จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยความประหลาดใจปนเสียงหัวเราะ
「น่าตกใจชะมัด พี่โดกะที่เกลียดมนุษย์ยิ่งกว่าอะไรดีกลับพามนุษย์มาด้วยกันเนี่ยนะ แถมยังเป็นโซระอีก ไม่ว่าจะมองยังไงพวกพี่ก็น่าจะสู้กันเอาเป็นเอาตายแน่ๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? 」
「อะแฮ่ม เอาเป็นว่ามันจะเกิดอะไรหลายๆ อย่างขึ้นนั่นแหละ เนื่องจากเวลามีไม่ค่อยมาก ข้าจะอธิบายสั้นๆ ละกัน คนเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเขตของนากายามะแล้วด้วยความเมตตาจากเฮีย ส่วนจุดประสงค์ของพวกเขาก็คือมาตามหาคน แล้วสารที่เจ้าส่งมาก็ดันเหมือนจะเป็นคนที่พวกเขาตามหาพอดี」
「หาคนสินะ….แบบนี้นี่เอง」
สายตาของคาการิจ้องมองไปทางไคลอาอีกครั้ง ก่อนจะเพ่งไปยังดวงตากับสีผมของเธอ
จากนั้นคาการิพยักหน้าราวกับเริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว
「ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงจะมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วสิ เอาล่ะเดี๋ยวข้าค่อยถามอะไรเพิ่มทีหลังแล้วกัน มาสิเดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปหาพวกพ้องเอง」
คาการิหันหลังกลับไปก่อนจะเริ่มเดิน ระหว่างนั้นก็กวักมือเรียกพวกผมราวกับบอกให้ตามเขาไปด้วย
พวกผมก็เลยเดินตามไปอย่างว่าง่าย ว่าแล้วคาการิก็เริ่มพูดขณะเดินไปด้วย
「เอาเป็นว่าข้าบอกสถานะของเขาให้ฟังก่อนละกัน หมอนั่นแขนขวาถูกฟันทิ้งไปแล้ว ไอพิษของคิไคแห่งนี้ก็เริ่มกลืนกินไปมากพอสมควร สภาพบอกเลยว่าขอให้ทำใจก่อนเจอ」
「คลิม!!」
ทันทีที่ไคลอาก้าวเข้าไปในห้อง เธอก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาและวิ่งเข้าไปหาคลิมที่นอนอยู่บนพื้นฟาง
นอกจากคลิมแล้วก็มีคิจินอีก2ตนที่ดูเหมือนจะเป็นพี่น้องกัน
สองพี่น้องดูเหมืนอจะตกใจมากที่จู่ๆ ไคลอาก็วิ่งเข้ามา จึงแสดงท่าทางระมัดระวัง ทว่าคาการิก็ห้ามพวกเขาเอาไว้ด้วยการตะโกนชื่อของพวกเขา พี่สาวมีชื่อว่ารัน ส่วนน้องชายชื่อยามาโตะ
「คลิม….โถ คลิม!」
เสียงของไคลอาเรียกชื่อน้องชายของตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความยินดี ทว่าขณะเดียวกันมันก็ปนไปด้วยความโศกเศร้าด้วย
เรื่องที่เธอดีใจก็คงจะเป็นเรื่องที่คลิมยังมีชีวิตอยู่
ส่วนเรื่องที่เธอรู้สึกโศกเศร้าก็คือคลิมกำลังพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป สภาพของเขาตอนนี้มันพร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ
「……นี่มัน」
เออซูร่าที่เห็นสภาพของคลิมก็ถึงกับขมวดคิ้วแล้วพูดออกมา ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกันนักหรอก
คลิมในตอนนี้คงจะเสียเลือดไปมาก ใบหน้าของเขาถึงได้ซีดเบอร์นั้น แขนขวาของเขาก็หายไปเพราะถูกใครไม่รู้ฟันเข้า บริเวณรอบแผลก็กลายเป็นหนองและส่งกลิ่นเหม็นออกมา
เนื่องจากอาการบาดเจ็บใบหน้าของเขาจึงซูบผอมลงไปมา แขนขาก็ดูไม่มีเรี่ยวแรง ลมหายใจที่ออกมาจากปากก็ดูแผ่วเบาแถมยังเหมือนจะมีเลือดออกมาด้วย ในสภาพนี้ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็นับว่าเก่งแล้ว
「โฮ่ ไม่เป็นไรๆ น่าจะยังไหว! ท่านคาการิ ข้ารบกวนช่วยไปเตรียมน้ำร้อนกับผ้าขาวมาให้ที!」
คนที่พูดออกมาก็คือหมอโซไซที่เดินไปดูอาการคลิมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มรักษาคลิม ระหว่างนั้นก็มีทั้งไคลอาและรันพยายามมาเป็นลูกมือช่วยเขาดูแลคลิม
ส่วนทางผมก็ทำแค่เฝ้าดู 3 คนนั้นเงียบๆ
เท่าที่ดู แค่ 3 คนดูแลก็น่าจะเพียงพอแล้ว แถมผมก็ไม่ค่อยสนด้วยว่าคลิมมันจะอยู่หรือตาย อารมณ์แบบอยู่ก็ได้ตายก็ดี
แต่ถ้านึกถึงความรู้สึกของไคลอาแล้ว ยังไงให้มันรอดก็ดีกว่าเป็นไหนๆ ทว่ามันก็ไม่ได้หมายถึงผมต้องทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยชีวิตเสียหน่อย ดังนั้นผมไม่ลดตัวไปดูแลหมอนั่นหรอก
สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงมอบโพชั่นที่ทำมาจากเลือดของผมให้ไคลอาแล้วให้เธอเอาไปช่วยคลิมแค่นั้นพอ
ดังนั้นก็อย่าคาดหวังอะไรจากผมไปมากกว่านี้ละกัน
――สรุปแล้วคลิมก็รอดจากปากเหวมาได้สำเร็จ
ก็คงจะบอกไม่ได้หรอกนะว่าหายดีแล้ว แต่อย่างน้อยอาการของเขาก็สงบลงไม่ต้องไปอยู่ในสภาพตายวันตายพรุ่งอีกแล้ว
ถึงแม้โพชั่นที่ผมเตรียมมามันจะได้ผลกับหมอนั่นก็จริง แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องยกให้กับฝีมือการรักษาของโซไซ หากไม่มีเขาแล้วผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอกว่าคลิมจะรอด
เหตุผลที่คลิมอยู่ในสภาพนี้นอกจากเรื่องที่เขาถูกตัดแขนออกไปแล้วนั้นยังเกิดมาจากไอพิษของคิไคที่คอยกัดกินร่างของเขาอยู่ เนื่องจากเขาหมดสติไปจึงไม่สามารถสร้างบาเรียคิขึ้นมาได้ พอเป็นแบบนี้ร่างกายก็ยิ่งอ่อนแอเร็วขึ้นไปอีก
ถึงจะเคยบอกไปแล้วหลายที แต่โพชั่นที่ผสมกับเลือดของมังกรนั้นมันรุนแรงมาก จนทำให้เกิดผลเสียต่อผู้ใช้ด้วย แน่นอนว่าโพชั่นที่ผมเอามาด้วยนั้นได้มิโรสลาฟช่วยปรับปรุงให้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังสร้างภาระให้กับร่างกายของคลิมที่อ่อนแออยู่ดี
ความเป็นไปได้ที่เขาจะตายเพราะดื่มโพชั่นเขาไปก็ไม่ใช่ศูนย์
เอาเป็นว่าตอนนี้ต้องพยายามทำให้ร่างกายของคลิมกลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมรับโพชั่นในปริมาณที่มากกว่านี้จะดีกว่า
แน่นอนว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทักษะการแพทย์หรอก ถึงจะมีวิธีที่ผมทำได้อย่างการถ่ายวิญญาณ (ดูดปาก) ซึ่งเคยใช้มันช่วยชีวิตคลอเดียจากคำสาปก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ผมไม่คิดจะใช้มันกับคลิมหรอกนะเออ ดังนั้นการมีอยู่ของโซไซจึงกล่าวได้ว่ามีผลมากจริงๆ
โพชั่นและยาที่เขาเตรียมมานั้นทำมาจากสมุนไพรภายในคิไคแห่งนี้ รวมไปถึงเปลือกของสัตว์หรือมอนสเตอร์บางชนิดด้วย แถมการรักษาทั้งหมดนั้นไม่ได้มีการใช้พลังเวทอะไรเลยสักนิด เขาทำทุกอย่างด้วยทักษะทางการแพทย์อย่างแท้จริง
เขาทำการเผาธูปที่มีความสามารถในการกำจัดไอพิษบริเวณโดยรอบ โดยมันเป็นหนึ่งในทักษะลับที่เขาคิดค้นขึ้นมา
เอาเป็นว่าตอนนี้คลิมก็ผ่านจุดที่น่าเป็นห่วงไปได้แล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้เขาฟื้นตัวแล้วพากลับเกาะ ทีนี้ความปรารถนาของไคลอาก็จะเป็นจริงเสียที
ทีนี้เรื่องก็จะจบลงอย่างมีความสุข
――ทว่าก็ยังมีเรื่องที่ผมคาใจไม่หาย
คือผมรู้ถึงสาเหตุที่คลิมเข้ามาในคิไค แต่ผมนึกไม่ออกเลยว่าทำไมหมอนี่ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้
คลิมวางแผนร่วมมือกับกลุ่มที่เป็นศัตรูของนากายามะ เพื่อโค่นกษัตริย์แห่งนากายามะเหรอ แต่ถ้าเป็นงั้นทำไมคลิมถึงรู้ได้ล่ะว่าคาซานกับนากายามะเป็นศัตรูกัน หรือจะบอกว่าหมอนี่มันเดินทางไปมาอย่างไร้จุดหมายจนบังเอิญมาเจอพวกเขาเข้างั้นเหรอ
นอกจากนี้ผมก็ยังสงสัยต่ออีกว่าทำไมฝั่งนากายามะถึงยอมเข้ามาช่วยเหลือคลิม แถมสองพี่น้องอย่างรันกับยามาโตะก็ดูเหมือนจะผูกพันธ์กับคลิมมากเลยทีเดียว หากเป็นคลิมที่ผมรู้จักจริงผมก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าหมอนี่มาอยู่ตรงนี้ได้ไง
เพื่อที่จะเข้าถึงข้อมูลเพิ่ม ผมคงต้องไปถามเอากับ2พี่น้องไม่ก็คาการิที่รู้เรื่องดีกว่าผม ก็ไม่รู้หรอกนะว่าคลิมหรือนักบุญดาบคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่จากที่จักรพรรดิเคยบอกกับผมเรื่องสงครามแค้น 300 ปีนั่น จะปล่อยผ่านเรื่องตอนนี้ไปก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
สุดท้ายพวกผมก็เป็นมนุษย์ ถึงตอนนี้จะเดินไปไหนมาไหนในเขตนากายามะได้เพราะอาซึมะ พอเราพบตัวคลิมแล้วทางทีดีก็ควรจะกลับเลยทันที
อย่างน้อยนั่นก็คงเป็นสิ่งที่โดกะต้องการด้วย ผมแน่ใจว่าหมอนี่คงจะบอกให้พวกผมรีบกลับไปเร็วๆ แน่ หรือไม่ก็อาจจะต้องได้ลงไม้ลงมือกันอีกในฐานะที่ผมรู้เรื่องของฝ่ายคิจินมากเกินไป
ส่วนตัวผมก็กังวลพอสมควรนะว่าจะรับมือกับเขายังไงดี ทว่าไม่รู้เป็นเพราะโชคหรืออะไรความกังวลนั้นก็เลยอยู่กับผมได้ไม่นาน
◆◆
「――คาการิ เจ้าแน่ใจเหรอ? 」
ภายในห้องหนึ่งของค่าย โดกะกับคาการิได้นั่งพูดคุยกัน โดยเนื้อหาที่คุยกันนั้นโดกะแสดงความเป็นกังวลออกมาอย่างชัดเจน
คาการิก็พยักหน้าออกมาราวกับมั่นใจในคำตอบของตน
「อ้า ถึงข้าจะชอบล้อเล่น แต่เรื่องนี้ข้าขำไม่ออกหรอกพี่โดกะ คนที่อยู่เบื้องหลังของกบฏคาซานก็คือลัทธิแห่งแสง พวกเขาคือคนที่สนับสนุนทุนและอาหารให้กับพวกคาซาน โดยหลักฐานก็คือเจ้าชินโตที่มันยอมรับเรื่องนั้นต่อหน้ารันกับคนอื่นๆ น่ะ」
「หื้ม…คาการิ แต่ข้าก็ยังรู้สึกสงสัยว่านั่นอาจจะเป็นอุบายของคาซานที่คิดจะให้นากายามะตัดสัมพันธ์กับลัทธิก็เป็นได้นะ ถึงพวกเขาจะยังเด็กแต่พวกเขาก็คือสายเลือดแห่งราชวงศ์คาซาน ทักษะในการล่อลวงระดับนั้นเราก็ต้องคิดเผื่อเอาไว้ด้วยนะ」
「ถึงทั้งสองจะเป็นคนของราชวงศ์ก็จริงแต่ข้ามองว่าพวกเขาไม่ได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสมนักหรอก ในมุมมองของข้าพวกเขาดูเป็นคนธรรมดามากกว่าราชวงศ์เสียอีก ตอนนี้คาซานก็ล่มสลายไปแล้วพวกกบฏก็ยอมจำนนกันหมด ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะหลงเหลือจิตวิญญาณในการดิ้นรนอะไรอีกอย่างการสร้างความแตกแยกระหว่างนากายามะกับลัทธิหรอก」
โดกะก็พยักหน้ารับคำพูดของคาการิ ส่วนตัวเขาก็ไม่คิดหรอกว่าสองพี่นองจะวางแผนได้ถึงขนาดนั้น
ทว่าโดกะก็อดหัวเสียไม่ได้
「พอคิไคกลายเป็นหนึ่งเดียว คิจินอย่างพวกเราก็แข็งแกร่งขึ้น นั่นคงทำให้อิทธิพลของลัทธิลดลง พวกมันก็เลยพยายามจะสร้างจุดถ่วงดุลระหว่างนากายามะกับคาซานสินะ」
「ข้าก็เดาว่าคงเป็นแบบนั้น ถึงจะไม่รู้ว่าลัทธิทำด้วยเจตจำนงของลัทธิเลยหรือเป็นแค่คนบางกลุ่มในลัทธิก็เถอะ」
「ไอ้เจ้าพวกแมลงสกปรก! พวกมันจะต้องชดใช้ที่มาปั่นหัวพวกข้า」
หลังจากคาการิสบถออกมาโดกะก็ลุกขึ้นยืน
「อย่ารีบร้อนดีกว่า! หากพวกมันรู้เรื่องนี้เขา พวกมันคงเล็งเป้าไปที่ฮาคุโร่ที่กำลังอยู่ในศูนย์กลางของลัทธิตอนนี้แน่ รวมไปถึงเฮียที่อยู่ไซโตะด้วย!」
「อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอก ข้าว่าพี่อาซมึมะน่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว」
「หา――อ้อ เจ้าใช้อักษรลับในรายงานนั่นด้วยใช่ไหม? 」
อักษรลับคือสิ่งที่โดกะพูดถึง มันเป็นสิ่งที่คาการิส่งไปให้กับอาซึมะได้อ่านเพื่อรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยอักษรลับพวกนั้นจะมีเพียงแค่คนของราชวงศ์นากายามะเท่านั้นที่อ่านออก หรือก็คือมีแค่ 4 พี่น้อง ถึงคนอื่นจะได้ข้อความนี้ไปพวกเขาก็ไม่มีทางจะเกาะมันออก
คาการิพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่อูรุยซึ่งหนีไปก่อนหน้านี้จะลอบโจมตีผู้ส่งสาร เขาก็เลยเลือกใช้อักษรลับและส่งลูกน้องไปหลายเส้นทางเพื่อให้ข้อความไปถึงพี่ชายตน
「ความจริงที่ว่าเขาส่งพี่โดกะมาด้วยก็หมายความว่าพี่อาซึมะคงมีแผนอะไรในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วแน่ๆ ส่วนพี่ฮาคุโร่ ข้าคิดว่าเขาคงยังไม่รู้เรื่องการทรยศของพวกลัทธิหรอกจึงไม่น่ากังวลนัก――」
จากนั้นคาการิก็เริ่มพูดต่อ
「แถมไม่ว่าอีกฝ่านจะเป็นใคร แต่ข้าก็ไม่คิดหรอกว่าพี่ฮาคุโร่จะพลาดท่าเข้ายังไงพี่ฮาคุโร่ก็เป็นคนแรกเลยนะที่สงสัยในตัวลัทธิว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับพวกคนเฝ้าประตูหรือกบฏคนซาน 」
「หื้ม เรื่องนั้นมันก็จริง」
โดกะพยักหน้ารับก่อนจะนึกถึงเรื่องที่คุยกันก่อนแยกย้ายจากไซโตะ
ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะลืมเรื่องที่คุยกันไปแล้วหรอก แต่การที่โดกะไม่สามารถนึกถึงเรื่องที่ฮาคุโร่เคยพูดไว้ได้นั้นอาจจะเป็นเพราะความเชื้อใจอันน้อยนิดที่ยังคงเหลือในลัทธิ
แน่นอนว่าโดกะนั้นเกลียดมนุษย์และไม่เชื่อในลัทธิแห่งแสงเลย เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่ลัทธิแอบเคลื่อนไหวลับๆ อย่างน่าสงสัยอยู่หลายครั้ง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นผู้รอดชีวิตที่อยู่อาศัยภายในคิไคที่แสนโหดร้ายนี้มากับเหล่าคิจินถึง 300 ปีเลยนะ
ถึงปากจะพูดอีกอย่างแต่ใจกลับอีกอย่าง พอคาการิเห็นท่าทางของพี่ชายเขาเป็นแบบนั้น เขาก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองต้องเคลื่อนไหวอย่างไรต่อดี
อันที่จริงการมาถึงของโดกะนั้นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับคาการิพอสมควร เพราะเขามองว่าโดกะน่าจะประจำการอยู่ที่ประตูแท้ๆ
การที่โดกะมาตรงนี้ได้ โดยที่อาซึมะไม่บอกอะไรเขาเลยจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกอีกเช่นกัน
บางทีอาซึมะอาจจะต้องการใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อพวกลัทธิ ดังนั้นหากโดกะรู้เรื่องพวกนี้เขาคงไม่ยอมออกจากไซโตะแน่ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้อาซึมะส่งโดกะมาที่นี่โดยไม่บอกอะไรเลย
หากโดกะรู้เรื่องนี้เข้า เขาคงรีบกลับไปยังไซโตะทันทีนี้ แล้วสุดท้ายแผนของอาซึมะก็อาจจะพังได้ นั่นคือสิ่งที่คาการิคิด
ทว่ามันก็ยังมีเรื่องที่คาการิกังวล เนื่องจากเขาเคยเผชิญหน้ากับอูรุยมาก่อน ในจดหมายเขาก็ได้แจ้งให้ทราบถึงความน่ากลัวของนานะชิกิไปแล้วดังนั้นอาซึมะก็ไม่น่าจะพลาดในการต่อสู้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าโดกะหรือคาการิ
นอกจากนี้ภายในวังก็ยังมีเหล่าผู้ศรัทธาของลัทธิอยู่เต็มไปหมด เรื่องอย่างการลอบสังหารก็ตัดออกไปไม่ได้ด้วย――ระหว่างที่คาการิกำลังคิดอยู่นั้นเอง
แกร้งๆๆ!! เสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นทั่วค่าย
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code