ตอนที่ 224 ความจริงและข้อสงสัย
พอฉันตามไคลอากับคนอื่นๆ กลับไปที่ห้องพักก็เห็นว่าคลินกำลังนั่งตัวตรงดื่มน้ำอยู่
ด้วยแขนขวาของเขาที่อยู่ในสภาพเคยขาดไปแล้ว เขาจึงใช้มือซ้ายในการดื่มน้ำซึ่งก็มีรันนั่งอยู่ข้างๆ เพื่อคอยช่วยไม่ใช่น้ำหกออกจากชามที่ดื่ม
คลิมก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วเหมือนไม่ค่อยพอใจที่ศัตรูของเขาอย่างคิจินมาช่วย หรืออาจจะแค่เขินก็ได้มั้ง แต่เอาเป็นว่าสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรรัน
กลับกันทางรันเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจการแสดงสีหน้าของคลิมเลยสักนิด นอกจากนี้เธอยังดีใจด้วยซ้ำที่คลิมฟื้นตัวได้ คิจินสาวคนนี้ก็รับภาระหนักในการดูแลหมอนี่จริงๆ นั่นแหละ คงดีใจที่ผลลัพธ์แห่งความทุ่มเทมันออกดอกแล้ว
บางทีคลิมเองก็น่าจะสัมผัสถึงสิ่งนี้ได้ ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรโหดร้ายกับรันเลย แต่ท่าทางอึดอัดมันก็ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว ทันทีที่คลิมสังเกตเห็นพวกผม เขาก็ทำหน้าเหมือนโล่งใจ
ให้ตายสิ ไม่รู้จะพูดอะไรเลยแฮะ เพราะครั้งล่าสุดที่ผมเจอกับคลิมคือในป่าทีทิส แถมยังส่งท้ายกันด้วยการหักแขนแล้วจับพี่สาวหมอนี่เป็นตัวประกัน
ถึงตอนกลับไปเกาะคราวแรกจะเห็นอยู่แวบหนึ่ง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกผมได้พูดคุยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ดีไม่ดีหากคลิมฟื้นตัวเสร็จเมื่อไหร่อาจจะพุ่งมาจัดการผมเลยก็ได้
――ส่วนที่เขาไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจอะไรออกมาพอเห็นผม ก็คงจะเป็นเพราะไคลอาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังแน่
ระหว่างที่ผมกำลังคิด คลิมก็ยื่นชามไม้ไปยังรันแล้วให้เธอถือไว้แทนก่อนจะเปิดปากพูด
「……….ดูเหมือนนายจะช่วยฉันไว้เยอะเลยนี่….เลยอยากจะพูดขอบคุณสักหน่อย」
「เอ๋? 」
ผมเผลอส่งเสียงเหวอๆ ออกมา ใครจะไปคิดกันฟะว่าคำพูดแรกที่ออกจากปากหมอนี่คือขอบคุณ
ขณะที่ผมกำลังทำหน้าสงสัย ทางคลิมที่เห็นสีหน้าของผมก็เดะลิ้นออกมา
「อะไร….อยู่ดีๆ ก็แสดงใบหน้างี่เง่าออกมาให้เห็น จะล้อกันหรือไง? 」
「อ้อ เปล่าโทษทีๆ แค่แปลกใจน่ะที่อยู่ดีๆ นายมาขอบคุณฉัน」
ผมพูดออกไปตามตรง
พอคลิมได้ยินแบบนั้นก็เดะลิ้นออกมาอีกรอบ
「…ก็มีหลายเรื่องที่อยากจะคุยกับนายแหละ….แต่ก่อนอื่นจากที่พี่ของฉันบอก นายคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้…อย่างน้อยฉันก็ต้องขอบคุณอยู่แล้ว แน่นอนว่าหนี้ส่วนของฉันก็เหมือนกัน จะชดใช้แน่….」
หลังพูดจบคลิมก็มีอาการไอด้วยความเจ็บปวดออกมา
รันที่เห็นจึงรีบยื่นชามไม้ในมือไปทางคลิม โดยตั้งใจจะน้ำให้คลิมดื่ม ตอนแรกคลิมก็เหมือนจะพยายามสลัดมันออก แต่เมื่อเห็นท่าทางของรันที่เป็นกังวลต่ออาการของเขาจริงๆ เขาก็เลยดื่มน้ำที่เหลืออย่างว่าง่าย
ระหว่างที่ผมดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนอย่างเงียบๆ คลิมก็หันมาจ้องมองผมด้วยสายตาราวกับกินเลือดเนื้อ
「……มีอะไรอีก? 」
「ก็นะ ไม่มีหรอก ทำไมเหรอ? 」
「……หึ」
ดูเหมือนหมอนี่อยากจะพูดอะไรกับผมต่อแฮะ แต่สุดท้ายก็เลือกพ่นลมหายใจออกจมูกแล้วปล่อยผ่าน
บางทีอาจจตระหนักได้แล้วมั้งว่าพลังของตัวเองตอนนี้มันต่างกันแค่ไหน สภาพร่างกายก็ใช่ว่าจะเต็มร้อยด้วย ก็เลยนั่งพักหายใจสักครู่ก่อนพูดต่อ
「…ฉันได้ยินสถานการณ์ตอนนี้มาจากพี่แล้วนะ….เดี๋ยวฉันจะบอกเรื่องที่ทางฉันรู้บ้างละกัน……」
หลังจากเกริ่นนิดหน่อย คลิมก็พูดถึงเหตุการณ์ภายในคิไค
เนื่องจากคลิมไม่อยู่ในสภาพพร้อมคุยกันนานๆ เขาก็เลยพยายามสรุปเรื่องที่เกิดขึ้น เอาเป็นว่าผมก็พอเข้าใจอะไรมากขึ้นตามที่หมอนี่บอก
รวมๆ ก็คือมีทั้งเรื่องที่ผมรู้มาก่อนและไม่เคยรู้ปนๆ กัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่ลัทธิแห่งแสงมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลมิตสึรุกิจริงๆ
แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเกี่ยวกับตัวตนของตระกูลโฮโซ ทำเอาแปลกใจเลยแฮะที่รู้ว่านักดาบหน้ากากคิจินนั่นคือผู้นำตระกูล เทคนิคดาบที่น่ากลัวนั่นและดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับนักบุญดาบอีก ก็ว่าอยู่ตอนที่ผมสู้กับเขาอยู่ดีๆ เขาก็โพล่งคำว่า ชิกิบุ ออกมา บางทีเขาอาจจะเห็นเค้าโครงพ่อของผมบนใบหน้าผมก็ได้
ระหว่างที่ผมกำลังสรุปข้อมูลอยู่ภายในหัว ร่างกายของคลิมก็เหมือนจะไม่ไหวแล้ว
แค่การอธิบายมาจนถึงตรงนี้เขาก็ใช้แรงไปมากพอสมควร ร่องรอยความเหนื่อยล้ามองเห็นได้ชัดบนใบหน้าเลย
รันกับไคลอาก็เลยส่งคลิมเข้านอน ส่วนผมกับเออซูร่าก็เลือกเดินออกมาจากที่พัก ยังไงก็ได้ยินเรื่องที่อยากรู้ส่วนใหญ่แล้ว
ส่วนตัวผมก็ไม่ได้กังวลเรื่องอาการของคลิมนักหรอก ไม่ว่าจะออกมาหน้าในสุดท้ายหมอนี่ก็ฟื้นสติกลับมาได้แล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลา
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นแล้วก็เป็นไคลอาที่เดินออกมาหาพวกผม
「เธอไม่ต้องอยู่เฝ้าคลิมเหรอ? 」
「คุณรันก็อยู่ที่นั่น ดังนั้นคิดว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ」
ไคลอาพูดออกมาโดยไม่คิดอะไรมาก บางทีการที่รันดูแลคลิมมาตั้งแต่ก่อนพวกผมจะเดินทางมาถึงคงสร้างความสบายใจให้กับไคลอาได้บ้าง แต่สุดท้ายนั่นก็เป็นคิจินนะ
หากไคลอายังเป็นเธอคนเดิมที่ทำตามกฏของตระกูลมิตสึรุกิเหมือนตอนที่เข้าโจมตีซูซูเมะทันทีที่เห็น คงไม่มีทางจะยอมฝากน้องชายตัวเองไว้กับคิจินแน่ ดังนั้นความคิดของเธอคงเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ระหว่างที่ผมกับไคลอากำลังพูดคุยกัน เออซูร่าที่อยู่ข้างๆ ผมก็ยังยืนเงียบเหมือนเดิม เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ที่ฟังเรื่องจากคลิมแล้ว บางทีเธอคงจะคิดอะไรบางอย่างในหัวอยู่
แต่ความน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากความเงียบงันนั้น มันก็ทำให้ทั้งผมและไคลอาไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอดี ก็เลยเลือกปล่อยไปทั้งแบบนั้น
ส่วนเรื่องที่เธอกำลังคิดอยู่ก็คงเป็นเรื่องของลัทธิแห่งแสง
ศัตรูของพ่อเธออย่างอูรุย เขาคือผู้นำตระกูลโฮโซและเป็นคนของลัทธิแถมเบื้องหลังแล้วลัทธิก็ยังมีความเกี่ยวของกับตระกูลมิตสึรุกิอีก
ทว่าถึงจะบอกว่าเกี่ยวข้องกันแต่พวกผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันลึกซึ้งขนาดไหน ทางคลิมเองก็เหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจด้วย
แต่อย่างน้อยๆ ก็รู้แล้วว่าทั้งสองฝ่ายติดต่อกันบ่อยครั้ง
หากลัทธิที่อยู่ร่วมกับพวกคิจินในคิไคติดต่อกับทางตระกูลมิตสึรุกิก็แปลว่าตระกูลต้องมีข้อมูลของคิไคมากกว่าที่ผมคิด
อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรู้ จากที่คลิมบอกเหมือนความลับนี้จะถูกส่งผ่านแค่ผู้นำตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น ก็หมายความว่ามีเพียงชิกิบุ พ่อของผมเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
――ทีนี้แหละคือปัญหา
ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งสองฝ่ายถึงได้เชื่อมโยงกัน แล้วทำไมจึงเกิดความสัมพันธ์ที่ส่งผ่านกันมาแค่ผู้นำตระกูลรุ่นสู่รุ่น
แต่การกระทำของผู้นำตระกูลมิตสึรุกิที่ยึดถือในการสังหารสิ่งชั่วร้ายแล้ว การที่ซ่อนสัมพันธ์กับพวกคนในคิไคแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศต่อเหล่าธงแห่งผืนป่าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
การกระทำนี้ไม่ต่างอะไรกับอาชญากรรมร้ายแรงที่สมควรได้รับการลงโทษ
ถึงเขาจะเป็นผู้นำตระกูล แต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของธงแห่งผืนป่า หากมีการค้นพบถึงอาชญากรรมที่เหล่าธงแห่งผืนป่ากระทำ ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายปราบปรามที่ต้องเข้ามาจัดการ
ใช่แล้วมันคือหน้าที่ที่พ่อผู้ล่วงลับของเออซูร่าเคยถือครองเอาไว้
แถมอย่างที่รู้กันว่าพ่อของเธอเป็นคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา รุนแรง และจริงจังสุดๆ จนทำให้คนรอบข้างรังเกียจจากวิธีการของเขา หลายๆ อย่างมันชักจะลงล็อกแล้วสิ….
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code