ตอนที่ 259 สำแดงเดช
รีออส บัลเดอร์
ทันทีที่ชิกิบุพูดคำนั้น พลังคิภายในร่างของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ออร่าในการกดดันพื้นที่โดยรอบก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนสามารถสะกดให้ทุกคนหยุดนิ่งไปจนถึงอวัยวะภายใน
ทว่ามันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่โดยรอบแต่อย่างใด หากโซระคือสายลมที่พัดผ่านอย่างแผ่วเบา ชิกิบุก็คือหิมะที่โปรยปรายยามค่ำยืน หิมะที่ตกลงมาอย่างไร้เสียงใดๆ จากท้องฟ้าที่มืดมิด มันคือความเย็นยะเยือกที่สงบนิ่ง
แม้ว่าจะดูแตกต่างกันนิดหน่อย แต่ความยิ่งใหญ่ของพลังทั้งสองยังคงเดิม แรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด
ซิดนีย์ สกายชิพ ซึ่งอยู่ลำดับที่ 5 ของธงที่ 6 เองก็เป็นหนึ่งในธงแห่งผืนป่าที่เข้าร่วมโถงประชุมตามคำสั่งของชิกิบุ ที่เรียกทุกคนไม่เกินลำดับที่ 10 ของแต่ละหน่วยมาด้วย
สภาพของเขาในตอนนี้เรียกได้ว่าย่ำแย่ แค่รับพลังของโซระก่อนหน้านี้เขาไปก็แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว ทว่าพอเจอพลังของชิกิบุเข้าไปอีกอาการเลยหนักกว่าเดิม
「คึ……ก!」
ราวกับว่ามียักษ์ที่มองไม่เห็นมากดไหล่ทั้งสองของเขาเอาไว้แล้วตรึงกับพื้น ซิดนีย์ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เขาทำได้เพียงคุกเข่าอยู่กับพื้น และพยายามชื้อมือทั้งสองดันพื้นไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงราบกับพื้น
เม็ดเหงื่อปรากฏขึ้นบนหน้าผาก ร่างกายสั่นไปทั้งตัว ไม่ต่างอะไรกับกบที่ถูกงูจ้องมอง เขาไม่สามารถขยับอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
――ไม่สิ ต้องบอกว่าร่างกายของเขามันถูกผนึกไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากโซระและชิกิบุไม่ได้คิดจะยั้งมือเรื่องออร่าที่แผ่ออกมาเลย ซิดนีย์และคนอื่นๆ ก็เลยได้รับผลกระทบไปเต็มๆ
แต่ซิดนีย์ก็ไม่ได้รู้สึกละอายแต่อย่างใด หากมีจอมปีศาจหรือเทพสององค์กำลังต่อสู้กัน สิ่งที่มนุษย์จะทำได้ก็มีเพียงก้มหน้าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ปกติสำหรับธงแห่งผืนป่าที่มีจุดมุ่งหมายในการสังหารสิ่งที่เหนือกว่าโดยมีร่างเนื้อเป็นมนุษย์อยู่ ทว่าความคิดนั้นมันก็คือความรู้สึกที่แท้จริงของซิดนีย์
「….ซิด นายไหวไหม? 」
เสียงที่ดังมาจากข้างๆ ก็ไม่ใช่ใครแต่เป็น ซาอิ คุมอนซึ่งอยู่ธงที่ 6 เหมือนกัน
แม้ว่าซาอิจะไม่ได้คุกเข่า เอามือดันพื้นเหมือนซิดนีย์ แต่สภาพของเขาก็เรียกไม่ได้ว่าสมบูรณ์ เขาทำการล้มตัวคุกเข่าอยู่ข้างหนึ่ง ริมฝีปากโค้งงอทุกครั้งที่พูดออกมา เห็นได้ชัดว่ามันยากลำบากแค่ไหน
ซิดนีย์ก็พยายามตอบกลับไปขณะประคองร่างและเสียงไม่ให้สั่นไหวไปมากกว่านี้
「….ก็ยังพอไหว ซาอิล่ะ? 」
「….ก็เห็นสภาพแล้วนี่ ทว่าหากท่านผู้นำทำถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางหรอกที่ไอ้สารเลวทรยศนั่นจะทนรับไหว」
ซาอิกล่าวต่อว่าโซระที่ทรยศพวกตน
โดยปกติแล้ว ซาอิจะไม่แสดงท่าทีหรือคำพูดที่หยายคายอะไรออกมาให้เห็นได้ง่ายๆ ซิดนีย์สังเกตเห็นเหงื่อที่ไหลอาบแก้มของเขาและความคับข้องใจราวกับทนดูไม่ไหวของซาอิอย่างชัดเจน
แม้เขาจะพูดแบบนี้ออกมาแต่ความเป็นจริงแล้วมันก็เพียงเพราะเขามีความภูมิใจในการเป็นธงแห่งผืนป่าสูงมากยิ่งกว่าใคร เลยทำให้คำพูดและการกระทำของเขาที่มีต่อผู้ที่กระทำตัวไม่เหมาะสม (อย่างน้อยก็ในมุมเขา) รุนแรงขึ้นมาทันที แล้วพลังของโซระที่กดดันร่างของเขาได้ก็เป็นตัวอย่างในคราวนี้
กลับก่อน ช่วงก่อนหน้านี้ สายตาที่ซาอิมองไปยังโซระก็เปลี่ยนไปแล้วแท้ๆ นับตั้งแต่ที่โซระเอาชนะเทพปีศาจได้ ซาอิก็ไม่เคยพูดจาเหน็บแนมอะไรโซระอีกเลย หรืออย่างน้อยก็เท่าทีซิดนีย์เห็น
แล้วการกระทำของโซระในคราวนี้ก็ทำให้สายตาของซาอิเปลี่ยนไปอีกครั้ง การที่โซระเข้าไปร่วมกับพวกคิจินมันคือเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้จริงๆ
ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องน่าอับอายมากสำหรับซาอิที่ต้องมาคุกเข่าจากแรงกดดันของโซระ
ซิดนีย์ก็ไม่รู้จะต้องพูดยังไงกับซาอิที่หัวเสียดี
การกระทำของโซระคราวนี้มันยากเกินกว่าที่ซิดนีย์จะเข้าใจ แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าโซระจะทรยศต่อตระกูลแล้วไปเข้าร่วมกับพวกคิจินจริงๆ ไม่งั้นโซระคงไม่คิดจะเสี่ยงอันตรายเข้าไปในคิไคเพื่อช่วยไคลอากับคลิมหรอก
มันจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ ที่ทำให้โซระเลือกอยู่ข้างพวกคิจิน พอซิดนีย์คิดแบบนี้ คำพูดของโซระที่กล่าวในโถงประชุมก่อนหน้านี้ก็กลับมา
『ในฐานะผู้ส่งสารแห่งนากายามะผู้ปกครองคิไคและในฐานะผู้สืบเชื้อสายมาจากมิตสึรุกิ คาซึมะ ผมขอตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อ 300 ปีที่แล้ว พวกท่านคิดจริงหรือว่าตนมีความชอบธรรมที่จะรับผลงานในการสังหารเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ควรจะเป็นของเหล่าคิจิน แล้วประกาศอย่างไม่อายฟ้าดินว่าตนคือวีรบุรุษในขณะที่ผลักไสพวกเขาเข้าไปในคิไค? 』
นักบุญดาบคนแรก มิตสึรุกิ คาซึมะ ผู้ก่อตั้งตระกูลมิตสึรุกิ แน่นอนว่าซิดนีย์รู้จักชื่อนั้นเป็นอย่างดี เพราะตระกูลสกายชิพก็เป็นหนึ่งในตระกูลแรกเริ่มที่รับใช้มิตสึรุกิมายาวนาน เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ก่อตั้งและสิ่งที่เขาทำเพื่อสันติภาพของโลกมาแต่เด็ก
โซระบอกว่าคาซึมะได้ขโมยเอาความสำเร็จของพวกคิจินแล้วประกาศว่าตนคือวีรบุรุษ หากสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริงก็ไม่ต่างอะไรกับการล้มล้างประวัติศาสตร์ของตระกูลมิตสึรุกิ และสิ่งที่ตระกูลสกายชิพรู้มาโดยตลอดเลย
ถึงซิดนีย์จะมีนิสัยที่อ่อนโยนและชอบรับฟังคนรอบข้าง แต่คำพูดของโซระนั้นสำหรับตัวเขาแล้วมันแทบจะเชื่อไม่ได้เลย และไม่คุ้มค่าที่จะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเลยสักนิด ส่วนทางซาอิเองก็คงคิดแบบเดียวกัน เขาไม่มีทางสนใจคำพูดของคนทรยศแน่
ดังนั้นคำพูดของโซระน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่พวกคิจินเชื่อกัน พอโซระได้เรียนรู้เรื่องนี้ภายในคิไค เขาก็คงจะเชื่อมันและคิดกบฏต่อตระกูล
ช่างเป็นการกระทำที่ตื้นเขินและโง่เขลา ซิดนีย์อดคิดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
ทว่า
『เอาสิ ข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถใช้นามแห่งมิตสึรุกิได้อีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ หลังจากสร้างบาดแผลให้นักบุญดาบผู้นี้』
คำพูดของชิกิบุก่อนหน้ายังคงวนเวียนอยู่ภายในใจของซิดนีย์
ไม่ว่าโซระจะเก่งกาจขนาดไหน แต่ชิกิบุก็ไม่ควรจะยอมให้โซระผู้ที่ปฏิเสธต้นตระกูลของตนใช้นามของมิตสึรุกิ
จากมุมของชิกิบุแล้ว ยังไงเขาก็น่าจะสามารถเอาชนะโซระได้ เขาเลยมองว่าการจะปล่อยให้โซระใช้ชื่อมิตสึรุกิได้สักเดี๋ยวคงจะไม่เป็นไร
แต่สิ่งที่ชิกิบุพูดกับโกซุ ชิมะก่อนหน้านี้มันก็ชวนให้ซิดนีย์คิดจริงๆ ว่า ชิกิบุมองว่าตนมีโอกาสพ่ายแพ้ให้กับโซระ
หากโซระ ผู้ปฏิเสธตระกูลชนะขึ้นมา เขาก็จะกลายเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกคนใหม่ ผู้ซึ่งสามารถจัดการนักบุญดาบลงได้
เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลมิตสึรุกิได้ล่มสลายเป็นแน่ ความเป็นไปได้ที่กฎระเบียบของโลกซึ่งถูกรักษามานานจะเปลี่ยนไป กองกำลังทหารที่มีพลังมหาศาลจะถูกใช้งานไปในทางที่ผิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกกันล่ะหากเป็นโซระที่อยู่ฝ่ายคิจินได้มันไป
――พอคิดมาถึงตรงนี้ ซิดนีย์ก็รู้สึกเสียวสันหลังเป็นอย่างมาก
มันคือความกลัวว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาจนถึงตอนนี้จะพังทลายลง ทั้งที่มันไม่น่าจะกิดขึ้นได้ แต่ซิดนีย์ก็ไม่อาจละความกังวลที่ตระกูลมิตสึรุกิจะล่มสลายลงได้เลย
ซิดนีย์ไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรดีกับลางร้ายที่วนเวียนภายในใจตน ความหนาวเหน็บที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้สักที ลมหายใจของเขาสั่นและเจ็บปวดไปทั้งตัว
แล้วก็เป็นตอนนั้นเอง
「ยังไหวไหมคะ ซิดนีย์? 」
เจ้าของเสียงนั้นได้ทำการวางมือเอาไว้บนไหล่ของเขา
จากนั้นไม่นานนัก ร่างของซิดนีย์ที่เคยสั่นเทาจากแรงกดดันของสองพ่อลูก ก็ได้รับแรงกระแทกเบาๆ แล้วก็เป็นแรงกระแทกนั้นที่ทำให้เขาฟื้นมาจากฝันร้าย
อาการหนาวสั่นกลัวได้หายไป สัมผัสของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ซิดนีย์ทำการส่ายหัวไปมา ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วหันกลับไปขอบคุณคนที่ช่วยเขาไว้
「ขอบคุณนะ อายากะ ช่วยได้เยอะเลย」
「ไม่เป็นไร――ดูเหมือนทางซาอิเองก็ลำบากน่าดู ให้ฉันช่วยไหมคะ? 」
อายากะ อาเซอร์ไรท์พยักหน้าให้กับซิดนีย์ ก่อนจะหันไปหาซาอิที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหนึ่งข้างๆ ซิดนีย์
พอซาอิได้ยินแบบนั้น เขาก็พยายามลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ในสภาพที่รูปปากบิดเบี้ยวไปหมด
「ไม่เป็นไร ของแค่นี้…」
「ก็จริงอยู่ แต่อย่าฝืนตัวเองมากเกินไปเลย」
「ขอบคุณที่เป็นห่วงแล้วกัน แต่เธอควรจะไปห่วงรากุนะมากกว่าฉันไม่ดีกว่าหรือไง? 」
มิตสึรุกิ รากุนะ เพื่อนร่วมรุ่นของซาอิและเป็นคู่หมั้นของอายากะผู้ไม่รู้ว่าหายหน้าไปไหนแล้ว ซาอิพยายามจะบอกอายากะว่าเธอไม่ควรอยู่ตรงนี้และรีบไปดูอาการรากุนะจะดีกว่า แต่ทางอายากะก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดออกมา
「รากุนะไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย ทางฉันเองก็อยากจะดูการต่อสู้ของท่านผู้นำกับโซระ จะได้เอาไปเล่าให้รากุนะฟังทีหลังด้วย」
หลังจากพูดจบ อายากะก็หันไปมองสองพ่อลูกเผชิญหน้ากันต่อ ซิดนีย์กับซาอิเองก็เหมือนกัน การกระทำของพวกเขาราวกับว่าถูกดึงดูดด้วยพลังตรงหน้า
โซระกับชิกิบุไม่ได้ขับแม้แต่นิ้วเดียวตั้งแต่ที่ชิกิบุเอาอาภรณ์วิญญาณออกมา พวกเขามองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ขณะปล่อยออร่าคิออกมาอย่างรุนแรงจนทำให้พวกธงแห่งผืนป่าระดับสูงล้มตัวลงได้
พอมาถึงจุดนี้ซิดนีย์ก็ตระหนักได้ชัดเจนเลยว่า อาภรณ์วิญญาณของชิกิบุมันแปลก――ไม่สิคือการที่พลังคิของเขาเพิ่มขึ้นขนาดนี้มันต้องเป็นการเปิดใช้งานอยู่แล้ว แต่ลักษณะการแสดงออกของอาภรณ์วิญญาณเขามันแตกต่างจากคนอื่นไปเสียหน่อย
โดยปกติแล้ว อาภรณ์วิญญาณของธงแห่งผืนป่านั้นมักจะปรากฏออกมาในรูปร่างอาวุธ อย่างเช่น มุราซาเมะของซิดนีย์ ลองกินุสของซาอิ หรือคารูร่าของอายากะ
สิ่งเหล่านี้ถูกเรียนกันว่าอาภรณ์วิญญาณประเภทอาวุธ ทว่าสิ่งที่อยู่ในมือของชิกิบุตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือซาซาโนะยูกิ ดาบประจำตัวของผู้นำตระกูลมิตสึรุกิ หรือก็คืออาภรณ์วิญญาณของชิกิบุไม่ใช่ประเภทอาวุธ
ก็จริงว่านอกจากรูปแบบอาวุธแล้ว ยังมีแบบกลายร่างที่เปลี่ยนแปลงร่างกายของผู้ใช้ไปจากเดิม ทว่ารูปลักษณ์ของชิกิบุเองก็ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนไปเลยสักนิด ก็หมายความว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปจากปกติเท่าที่สายตาเขามองเห็นก็มีเพียงร่างกายของชิกิบุถูกปกคลุมด้วยแสงคล้ายกับออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างกาย
「นั่นคืออาภรณ์วิญญาณของท่านผู้นำเหรอ…? 」
ซิดนีย์พูดกับตัวเอง
แล้วก็เป็นทางอายากะที่ตอบคำถามนั้น
「บัลเดอร์ ก็ตามชื่อของอาภรณ์วิญญาณนั้น เขาเป็นเทพแห่งแสงที่เฉลียวฉลาด ผู้ตัดสินความผิดถูกอย่างชอบธรรมดา อีกทั้งเขายังได้รับความรักเป็นอย่างมากจากพระแม่แห่งผืนดิน พรที่เขาได้รับก็คือการไม่ได้รับอันตรายจากทุกสรรพสิ่ง แสงนั่นก็คือรูปลักษณ์แห่งอำนาจและความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากบัลเดอร์」
「บัลเดอร์….อนิม่าแบบนั้นมีอยู่จริงด้วยเหรอ? พลังแบบนั้น….」
「ดูเหมือนบางคนก็เรียกสิ่งนั้นว่าอาภรณ์วิญญาณประเภทสำแดง ทว่าอาภรณ์วิญญาณประเภทนี้มันมีน้อยมากกว่าแบบอาวุธกับกลายร่าง มันเลยแทบไม่เป็นที่รู้จัก」
อายากะกล่าวออกมาราวกับอธิบายถึงสิ่งที่ตนรู้ให้เพื่อนฟัง
ซิดนีย์ก็เลยจ้องมองอายากะด้วยความประหลาดใจและสับสนนิดหน่อย
「…เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกันอายากะ? 」
「หากได้เป็นถึงส่วนหนึ่งของ 1 ใน 3 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิแม้จะไม่อยากรู้ ก็คงต้องถูกบังคับให้เรียนน่ะ」
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือเปล่าแต่อายากะก็ได้ให้คำตอบที่ดูคลุมเครือกลับมาแทน
แต่มันก็จริงที่เธอเป็นสมาชิกของ 3 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ แม้จะเป็นคนแบบอายากะก็คงมีความรับผิดชอบและข้อมูลมากมายภายในหัวจนซิดนีย์ไม่สามารถจินตนาการได้ ถึงอายากะจะไม่ได้แสดงอะไรพวกนี้ออกมา แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่ได้แบกรับอะไรเอาไว้อยู่บนบ่า ซิดนีย์พอจะทำความเข้าใจได้
อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลอาเซอร์ไรท์จะรู้ไปถึงขี่นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอาภรณ์วิญญาณชิกิบุ ตำนานของอนิม่า หรือแม้แต่รูปลักษณ์ของมันเสียหน่อย นอกจากนี้อายากะก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเธอเรียนรู้มาจากอาเซอร์ไรท์
คำพูดของอายากะมีส่วนที่ทำให้ซิดนีย์รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้มีสิทธ์จะตั้งคำถามกับมัน เพราะอายากะเป็นถึงคนที่เข้ามาช่วยซิดนีย์ในตอนที่ลำบากและตอบคำถามของเขาเท่าที่เธอจะทำได้แล้ว
มันคงจะเป็นการล่วงเกินไปหน่อยหากจะถามถึงที่มาข้อมูลอีก เมื่อซิดนีย์คิดได้แบบนั้นเขาก็เลือกเก็บความสงสัยลงไปในใจของเขาแทน
แล้วก็เป็นทางซาอิที่เงียบมาถึงตอนนี้พูดขึ้น
「จะว่าไปแล้ว เธอนี่ก็ดูลึกลับไม่น้อยนะอาเซอร์ไรท์ ทั้งที่ฉันกับซิดต้องคุกเข่ากับพื้นเพราะแรงกดดันของท่านผู้นำ แต่เธอกลับเดินไปรอบๆ ได้สบายๆ ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นแล้วชักกังวลแล้วสิว่าเธอแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว」
「คารูร่าของฉันเป็นศัตรูตามธรรมชาติของพวกมังกรก็จริง ทว่าพวกเทพก็ไม่ต่างกันน่ะ อนิม่าของฉันเหมือนจะมีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่าพวกเทพให้จงได้ มันก็เลยสามารถทนต่อแรงกดดันของทั้งสองได้」
ซาอิเบิกตากว้างขึ้นขณะที่อายากะเผยความลับบางส่วนของเธอให้ฟัง
「ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย?!」
「ก็แน่สิ ฉันไม่เคยเล่านี่นา ถึงจะเป็นโซระ รากุนะ หรือคนในครอบครัวฉันก็ไม่เคยบอกเลยสักครั้ง อันที่จริงซาอิ นายเองก็มีสิ่งที่ไม่ได้บอกกับฉันหรือคนอื่นๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือไงผู้ใช้ลองกุนิส? 」
อายากะหัวเราะอย่างซุกซนและถามกลับ ซาอิก็เลยทำหน้าปั้นยากใส่แทน
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เขาไม่พูดอะไรต่อน่าจะเป็นเพราะเขาเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของอายากะไม่มากก็น้อย
ซิดนีย์ที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็เลือกจะไม่พูดอะไรและเฝ้ามองทั้งสองแทน
ความเงียบงันปกคลุมทั้งสามอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็เป็นเหล่าธงแห่งผืนป่ารอบๆ ที่ทำลายความเงียบงันนั้น เมื่อพวกเขามองตามไปก็เห็นว่า ดวงตาของธงแห่งผืนป่ากำลังจับจ้องไปทางลานประลอง
ตรงจุดนั้น มีร่างของมนุษย์ซึ่งส่องแสงออกมา กำลังแยกออกมาจากร่างของชิกิบุ
ใช่แล้ว ร่างนั้นมากถูกยแกออกมา
ร่างจำลองของมนุษย์ที่แยกออกมานั้นสูงเกือบเท่ากับชิกิบุ ใบหน้าและเสื้อผ้าของร่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงจนหมดจนไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้ แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือจะเป็นดาบที่มือของร่างนั้น
――ร่างแยก
มันคือสิ่งที่ธงแห่งผืนป่าพูดขึ้น มันคือการสร้างร่างแยกที่มีความสามารถและพลังเช่นเดียวกับตัวเองขึ้นมา
แน่นอนว่าอาภรณ์วิญญาณที่สร้างร่างแยกนั้นมีให้เห็นอยู่มากในอดีต ทว่าหลายครั้งมันก็ถูกเรียกว่าภาพลวงตาเสียมากกว่า เพราะมันเกิดจากการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงจนเกิดภาพติดตา หรือเวทมนตร์ที่สร้างภาพมายาขึ้นมาแทน ไม่ใช่การสร้างร่างแยกขึ้นมาจริงๆ
ในมุมนี้พลังของชิกิบุจึงเป็นการอธิบายถึงร่างแยกได้อย่างชัดเจนจริงๆ เหตุผลที่ทุกคนต่างยอมรับมันก็เพราะพวกเขาสามารถสัมผัสพลังที่ออกมาจากร่างแยกนั้นเป็นแบบเดียวกันกับชิกิบุ
หรือก็คือ มิตสึรุกิ ชิกิบุตอนนี้มีสองคนแล้วนั่นเอง
เหล่าผู้ที่ไม่เคยเห็นอาภรณ์วิญญาณของชิกิบุมาก่อนก็ต่างตกตะลึง
ส่วนผู้ที่รับใช้มานานก็ตกใจกับพลังที่เหนือจินตนาการของนักบุญดาบ
แล้วเขาก็เริ่มใช้เทคนิคที่ตนมี
「มายาดาบเดียวเทคนิคลับ――」
ชิกิบุเริ่มทำการใช้เทคนิคลับ ซึ่งเป็นเทคนิคดั้งเดิมของตระกูล
จากนั้นร่างแสงข้างๆ เขาก็เริ่มใช้เทคนิคลับนั้นเหมือนกัน ทว่าท่าทางและการจับดาบแตกต่างออกไปจากท่าทางของชิกิบุ นั่นก็หมายความว่าท่าที่ร่างนั้นจะใช้ต่างจากที่ชิกิบุใช้
ไม่ใช่แค่มีพลังเทียบเท่าชิกิบุ แต่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง
ในวินาทีต่อมา นักบุญดาบทั้งสองก็เริ่มโจมตีโซระ
การต่อสู้ได้ยกระดับความอันตรายขึ้นมาอีกขั้นแล้ว