ขณะคิดอย่างนั้นก็เจอรังนกอยู่บนหัว ผมขึ้นไปและล้วงของในรังนก…เจอกระเป๋า
ผมหยิบกระเป๋าหนังสัตว์มาดูและเปิดข้างในดู
หนังสือที่คล้ายกับไดอารี่ ไม่สิ มันคือไดอารี่… ‘diary’ ปกหนังสือเขียนเป็นภาษาอังกฤษแท้ๆ …ภาษาอังกฤษ!!!
ผมตะลึงรีบเปิดเนื้อหาดูทันที————-หรือว่าที่แห่งนี้จะไม่ใช่ต่างโลก จริงๆแล้วมันอาจจะเป็น–ก็ได้—
‘******* **** ******** ******* isekai’ —-เชี่ยเอ้ย อ่านไม่ออกโว้ย!!!!!
ผมทุบพื้นดังสนั่นทั้งน้ำตา
เรื่องนี้สองให้รู้ว่า ควรตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ เพราะมันคือภาษาสากลโลก (อีโมจิแว่นตา)
****
เลืองลางไปหมดเลย เกิดอะไรขึ้นบ้างผมไม่รู้เลย แล้วก็ไม่อยากรับรู้ด้วย ทว่าความจริงก็ยังเป็นความจริง สุดท้ายแล้วก็ต้องลืมตาตื่นอยู่ดี
ทั้งหมดก็เพื่อเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย
ผมตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล และเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี ที่ทำให้ผมไม่อยากตื่นนอนมากขนาดนี้
เมื่อลืมตาตื่นผมก็ขยับร่างกายเล็กน้อยก่อนจะสะดุดพยุงร่างตัวเองไม่ให้ล่วงหล่นสู่พื้น เนื่องจากนอนอยู่บนต้นไม้อยู่จึงขยับตัวไม่ได้มาก เมื่อตะกี้เกือบจะหล่นไปซะแล้ว
ผมขยี้ตาตัวเองแกะขี้ตาออกและก้มหน้ามองพื้นดิน——ก้อนสีฟ้าดูน่าขยะแขยงกำลังจ้องมองทางนี้
หมอนั่น ไม่สิ เจ้านั่นคือมอนสเตอร์ที่น่าจะเรียกกันแบบสามัญว่า ‘สไลม์’
สิ่งมีชีวิตสุดอ่อนแอในโลกแห่งเกม เพียงแต่…ในโลกแห่งนี้มันไม่ใช่
คิดเช่นนั้นแล้วผมก็อยากจะร้องไห้ ความทรงจำเพียงไม่กี่ชั่วโมงในที่แห่งนี้ มันช่างล้ำค่าเหลือเกิน ในรูปแบบที่เลวร้ายขนาดไม่อาจลืมได้ลง
ผมได้แต่คิดว่า ‘เป็นแค่สไลม์แท้ๆ’—————–เจ้าสไลม์จู่ๆก็กระโดดดึง
“เหวอ—-เหวอ!!!”
ผมถีบตัวหนีประหนึ่งกระต่ายน้อย ทำให้หลังไปชนต้นไม้ และกระแทกอย่างรุนแรง โชคดีที่เหมือนว่าสไลม์มันจะกระโดดไม่ถึง ผมตื่นตูมไปเอง แต่ไม่แปลกสักหน่อยที่จะกลัว
สไลม์ที่พุ่งใส่งูทีเดียวตัวขาดกับสะท้อนกายภาพได้เชียวนะ ไอ้ตัวขี้โกงแบบนี้ไม่กลัวสิแปลก ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ
ผมนั่งกอดเข่าพิงต้นไม้ รู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
ว่าแล้วจึงหยิบหนังสือภาษาอังกฤษที่ยากจะอ่านออกมา
ผมเป็นคนไทยนี่นา ภาษาอังกฤษเลยไม่เก่งเท่าไหร่ ไม่สิ ตัวผมเข้าขั้นห่วยเลยเพราะไม่ใช่สายตั้งใจเรียนมากนัก โลกเราไปถึงยุคที่ควรมีภาษากลางไว้สื่อสาร และศึกษาในหลายช่องทางแท้ๆ แต่ผมกลับไม่ตั้งใจเรียน …พอมาต่างโลกก็ต้องมาใช้ภาษาอังกฤษอีก มันเรื่องตลกอะไรกันนะ
คิดเช่นนั้นแล้วก็อยากจะร้องไห้ตรงอ้อมอกของท่านย่าเลยละครับ
หนังสือเล่มนี้ตรงปกเขียนไว้ว่า ‘ไดอารี่’ เนื้อหาข้างในก็เป็นภาษาอังกฤษแท้ๆ แต่ทำไมกันนะ …ทำไมมันมีภาษาญี่ปุ่นที่เขียนไว้ว่า ‘อิเซไก’ อยู่กัน คนเขียนนี่ก็เข้าใจคิดดีนะ …เขาชื่อว่าอะไรหว่า
ผมลองเปิดหนังสือพลิกไปพลิกมา สุดท้ายเลยเจอชื่อผู้แต่งสักที เหมือนว่าเขาจะชื่อ ‘จอน’ เป็นคนอังกฤษแท้ๆละ
สุดยอดเลยนะ ภาษาอังกฤษแท้ๆ ถึงจะอ่านไม่ค่อยออกก็เถอะ
แล้วก็น่าจะเป็นบันทึกของคนที่เคยมาต่างโลกก่อนหน้าด้วยเพราะเขียนไว้ว่า ‘อิเซไก’ เพราะอย่างนั้นน่าจะมีคำแนะนำแน่นอน
“ขอร้องละ ช่วยผมทีนะจอน”
ผมกล่าวด้วยดวงตาที่เปียกชุ่ม และแกะภาษาแบบเอาเป็นเอาตาย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยใช้ความคิดขนาดนี้มาก่อนเลย
ความทรงจำที่น่าเศร้าหลายอย่างย้อนกลับเข้ามาในหัวในช่วงที่ผมแกะภาษาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ผ่านไปได้ราว 1 ช.ม.จึงแกะหนึ่งหน้าได้สำเร็จ
หน้าแรก…ไม่มีอะไรเลย คุณจอนเขาทำเพียงแนะนำให้เท่านั้น เนื้อหาประมาณว่า
‘ผู้ใดที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้คงจะเป็นคนที่มาจากต่างโลกเหมือนกัน …ไม่สิ ที่นี่อาจไม่ใช่ต่างโลกก็ได้’
นั่นคือคำเกริ่นของคุณจอน
ต่อมา
‘สำหรับคนที่อ่านออกก็อยากจะบอกไว้ว่า …ระวังเจ้าเยลลี่สีฟ้าไว้ให้ดี’
แปลกใจมากว่าทำไมไม่เรียกว่าสไลม์กัน เรียกว่าสไลม์จะเข้าใจง่ายกว่าแท้ๆ
ลำบากผมที่ต้องมานั่งแกะภาษาอีก ไอ้ผมก็โง่อยู่แล้วแท้ๆ ให้ตายสิคุณจอนละก็
‘ในโลกแห่งนี้มันโหดร้าย ตัวฉันที่ไร้ซึ่งประสบการณ์และความรู้ใดๆ ได้แต่ร้องไห้ทุกๆคืน บ้างก็อยากตาย แต่มันผ่านไปเร็วมาก และไม่ตายสักที .. เหมือนว่าฉันจะเริ่มเชี่ยวชาญเลย พอรู้สึกตัวอย่างนั้นเลยเริ่มเขียนไออารี่เตือนความจำตัวเองกับบันทึกความสามารถของมอนสเตอร์ไว้ และบังเอิญมีไดอารี่ว่างๆเก็บไว้อีกเล่มจึงเขียนเผื่อไว้อีกอัน เผื่อให้คนที่อาจจะต้องลำบากเหมือนกัน’
คุณจอนนี่คนดีจริงๆ …
‘แล้วถ้าเกิดฉันไม่อยู่แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราหลังเขียนไดอารี่นี่จบฉันก็เลือกจะออกเดินทางหาทางกลับบ้านต่อ เป็นตายร้ายดียังไงไม่รู้หรอก แต่จะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้เด็ดขาด ถ้าอยู่ต่อเร็ววันนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องตายอยู่ดี …ไม่อยากตาย เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องหนี’
เขาว่ามาอย่างนั้น ก่อนจะลงท้ายไว้ว่า
‘ขอให้โชคดีละกันนะเพื่อนฝูง ถ้าพวกเราได้เจอกันก็คงดี หรือถ้าฉันไปไม่ถึงฝั่นฝัน แล้วเหลือแต่ศพหรือกระดูกก็ช่วยทำหลุมศพให้ทีนะ ขอบคุณมาก’
คุณจอน…ขอให้ปลอดภัยนะ
ผมรู้สึกผูกพันธุ์กับเขาเป็นพิเศษชอบกล …เพราะนั่งแกะภาษาเขาเป็นชั่วโมงกระมัง ไม่สิ น่าจะเพราะเป็นเพื่อนร่วมชะตาเหมือนกัน เอาละ
ยังไงก็เถอะคุณจอน—-คุณเขียนเกริ่นนำยาวไปแล้ว ที่ผมแกะภาษาออกมา มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ผมเช็ดเหงื่อของตัวเองก่อนจะวางหนังสือลงบนต้นไม้ พิงหลังกับต้นไม้และยกแขนขึ้นมาดู
ก้อนเหล็กสีเหลืองมันติดอยู่ตรงเส้นเลือดของผม เพราะมันเลยทำให้เส้นเลือดของผมมันดูเด่นไปด้วย ทั้งๆที่เมื่อก่อนมีแต่เนื้อแสนนุ่มนิ่มแท้ๆ พอมามีเส้นเลือดเหมือนพวกเล่นกล้ามแล้วก็ชวนรู้สึกดี แต่มันมีแค่ข้างเดียวนี่สิ มีแบบนี้ไม่มียังดีกว่า เหมือนพวกซีดสารกระตุ้นที่พบเห็นได้บ่อยๆในหนังฮีโร่เลย
เอาเป็นว่าก้อนโลหะสีเหลืองโคตรน่าหยะแหยงเลย อยากแกะออกชะมัด
ผมลองแงะๆดู แต่ก็ไม่ออกไม่รู้สึกเจ็บด้วยมันติดกับเนื้อประหนึ่งส่วนหนึ่งในร่างกาย …พอลองจิ้มดูก็ตกใจเหวอทันที
แสงสีเหลืองอ่อนส่องออกมาจากมัน
“…ดูไฮเทคกว่าแฟนตาซีแฮะ”
มันเป็นตารางที่มีรูปของต่างๆติดอยู่เป็นช่องสี่เหลี่ยม แล้วก็เหมือนจะเลื่อนได้ด้วย…แต่เลื่อนไงหว่า?
พอลองใช้นิ้วสัมผัสขึ้นๆ ลงๆตรงก้อนสีเหลืองมันก็เลื่อนตามที่ใช้นิ้วด้วย รู้สึกจักกระจี๊อ่อนๆ น่าหยะแหยงมาก
ตรงรูปที่เหมือนตารางก็เป็นสีเทาอ่อนๆ ตรงขวาบนมีแต้มเขียนประมาณว่า [20/25] แล้วก็เป็นเวลา [3:42] ที่เวลามันลดลงเรื่อยๆ
เหมือนกับระบบกาชาน่ะเหรอ?
ผมเอียงคอฉงนก่อนจะทำเมินไป
ความรู้สึกอ่อนล้าย้อนกลับใส่ตัวผมกระทันหัน จู่ๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ทั้งที่พึ่งทำกิจกรรมได้หน่อยเดียว
สงสัยจะใช้พลังสมองเยอะเกินไปละมั้ง
“นั่นสินา ตลอดมาไม่เคยใช้งานร่างกายตัวเองหนักขนาดนี้มาก่อนเลย …เหนื่อยชะมัด”
เสียงก็เริ่มไม่ค่อยจะมีแล้ว ทั้งที่ผมบ่นกับตัวเองคนเดียวได้ทั้งวันมาโดยตลอด น่าแปลกจริงที่เหนื่อยกว่าทุกทีมาก ถึงจะเหนื่อย และง่วงแต่มันก็ไม่ควรขนาดนี้นะ ให้ตายสิ
ผมมองไปข้างล่าง พบว่าสไลม์ยังคงจ้องตาเป็นวาว ถึงจะไม่มีตาก็เหอะ
“สารเลวเอ้ย”
ผมหลับลงอย่างอ่อนล้า หวังว่าตอนลืมตาตื่นมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ..?