พลิกชะตาหมอยา – บทที่ 66 งดงามจนอยากจะกลืนกิน

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 66 งดงามจนอยากจะกลืนกิน

“เจ้ามองอะไร !” จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเย็นชา

เดิมทีเขาเป็นผู้มีวรยุทธ์ จึงมีประสาทสัมผัสที่ว่องไว ยิ่งไปกว่านั้น สายตานี้ก็ไม่ปิดบังอำพรางเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเฟิ่งชิงหัวรู้ว่าท่าทาง “ลับ ๆ ล่อ ๆ” ของตนเองถูกสังเกตเห็นเข้าแล้ว ก็หันไปเชิดคางใส่จ้านเป่ยเซียว พร้อมยิ้มด้วยท่าทางกรุ้มกริ่มเป็นพิเศษ : “ท่านอ๋อง เดิมทีข้าคิดว่าคนโบราณมักชอบพูดจาเกินจริง แต่ตอนนี้ข้าเพิ่งพบว่า คำพูดของคนโบราณก็มีเหตุผลไม่น้อย”

“คำพูดอะไร”

เฟิ่งชิงหัวหัวเราะคิกคัก : “งดงามจนอยากจะกลืนกิน”

มือที่ถือตะเกียบอยู่นั้น สูญเสียการควบคุมจนตะเกียบหล่นลงกับพื้น ส่วนตัวเขานิ่งอึ้งไปสามวินาทีเต็ม ๆ

เฟิ่งชิงหัวนำตะเกียบคู่ใหม่ที่วางอยู่ด้านข้าง มายื่นให้กับจ้านเป่ยเซียวด้วยความใส่ใจ : “ทำไมถึงไม่ระวังอย่างนี้นะ รู้ว่าหิวจนหมดแรงแล้ว รีบเสวยเถอะเพคะ”

ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็ยกมือขึ้นเท้าคาง และมองพิจารณาจ้านเป่ยเซียว

ที่แท้ก็เป็นผู้ชายที่ทั้งหล่อและมีเสน่ห์จริง ๆ ด้วย แม้กระทั่งบนคางที่เรียวแหลมจะปรากฏสีเขียวจาง ๆ เฟิ่งชิงหัวก็ยังคงรู้สึกว่าช่างหล่อเหลาจริง ๆ

เมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาอันเร่าร้อนเช่นนี้ จ้านเป่ยเซียวก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้ววางตะเกียบลงกับโต๊ะ : “ไม่กินแล้ว !”

เฟิ่งชิงหัวเหลือบมองถ้วยข้าวบนโต๊ะ ที่ยังคงมีข้าวเหลืออยู่อีกครึ่งถ้วยของชายหนุ่ม จากนั้นก็หันมองชายหนุ่มที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป แล้วมุ่ยปาก : “เสียของจริง ๆ”

ในเมื่อไม่มีชายหนุ่มรูปงามแล้ว อาหารอันโอชะจึงกลับมาครองอันดับหนึ่งอีกครั้ง เฟิ่งชิงหัวจึงเริ่มเก็บกวาดทุกอย่างต่อ

หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ เมื่อคิดถึงแผนการในช่วงค่ำ จึงเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากจวน ก่อนจะออกไป ยังแวะไปตรงประตูห้องของจ้านเป่ยเซียว และออกแรงเคาะประตูดังก๊อก ๆ ๆ สามครั้ง จนถึงขั้นที่ประตูทั้งบานสั่นไหว ทว่า คนที่อยู่ด้านในกลับยังคงไม่สนใจนาง

“ข้าออกไปข้างนอกแล้วนะ คืนนี้อย่าลืมเปิดประตูทิ้งไว้ให้ข้าด้วยล่ะ” ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็เตรียมจะเดินจากไป ยังไม่ทันจะหันหลัง หน้าต่างที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถูกผลักออกโดยคนที่อยู่ด้านใน : “จะไปไหน ?”

เฟิ่งชิงหัวหันตัว จากนั้นจึงเลิกคิ้วแล้วพูดว่า : “ที่แท้ท่านก็อยู่นี่”

“ข้าจะไปจับคนรักของซุนผิน” เฟิ่งชิงหัวมีท่าทีกระตือรือร้น

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะมา ? เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ส่งคนมาลอบสังหาร ?”

“เรื่องนี้นะหรือ ย่อมมีแผนการที่ดีอยู่ในใจ” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างภาคภูมิใจ

“ไปเถอะ” ขณะที่พูด จ้านเป่ยเซียวก็ไถรถเข็นออกมา

เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว : “ท่านจะไปหรือ ? ข้าวางแผนจะซุ่มโจมตี หากพาท่านไปด้วยดูท่าจะยุ่งยากเกินไปหน่อยนะ ?”

ทันทีที่พูดจบ เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกว่าบริเวณรอบเอวแน่นขึ้น และร่างกายก็ตกลงไปสู่อ้อมกอดอันแข็งแกร่ง และออกจากจวนไปหลายลี้ในชั่วพริบตา

“ท่าน ไม่ใช่ว่าท่าน……”

“ใครกำหนดกันว่าคนที่ขาพิการห้ามใช้วิชาตัวเบา ?” จ้านเป่ยเซียวจ้องมองนางด้วยความรำคาญ

เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างเก้อเขิน : “เช่นนั้นในเมื่อท่านยังใช้วิชาตัวเบาได้ แล้วทำไมท่านยังนั่งอยู่ในรถเข็นทั้งวันอีก ?”

ทำให้นางรู้สึกว่าเขาดูง่ายที่จะรังแก

จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร ไม่นานนัก ก็ห้องลงตรงด้านนอกเรือนจำกรมคลัง แล้วหมอบอยู่บนหลังคากระเบื้องเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่มาในวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ลูกสมุน ?” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

เฟิ่งชิงหัวกะพริบตาปริบ ๆ : “อยากรู้หรือ ? เงี่ยหูมาสิ” ขณะที่พูดก็หันไปกวักนิ้วชี้เรียกจ้านเป่ยเซียว

จ้านเป่ยเซียวเขยิบเข้าไปใกล้ มีเสียงหายใจอันแผ่วเบาของหญิงสาวดังเข้าหู แฝงไปด้วยลมหายใจอันร้อนผ่าวเล็กน้อย และได้ยินนางพูดอย่างเจ้าเล่ห์ : “ไม่บอกท่านหรอก”

จ้านเป่ยเซียวมีสีหน้าหมองหม่นลงทันที และใช้ฝ่ามือผลักเฟิ่งชิงหัวลงไป

เฟิ่งชิงหัวจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่านอ๋องผู้สูงส่งไม่อาจล้อเล่นด้วยได้ จึงกลิ้งตกลงมาพร้อมด้วยเศษกระเบื้องอีกสองสามชิ้น

“ใครน่ะ !” ผู้คุมที่เฝ้าอยู่ตรงประตูใหญ่ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันทันที

“ข้าเอง” เฟิ่งชิงหัวจัดการรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองสักครู่ มือหนึ่งข้างไพล่เอาไว้ด้านหลัง แล้วพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน

“พระชายาเจ็ด ? ถวายบังคมพระชายา ไม่ทราบว่าพระชายาทรงเสด็จมาดึกดื่นเช่นนี้ มีธุระอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” ผู้คุมผู้นั้นคารวะพลางพูดขึ้น

เฟิ่งชิงหัวหันไปจ้องตาเขม็งใส่จ้านเป่ยเซียวที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก จู่ ๆ นางก็เห็นกลีบดอกไม้สีแดงร่วงลงมาตรงหน้า

เฟิ่งชิงหัวกวาดสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างค่อย ๆ ลอยลงมาท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสนิท

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เฟิ่งชิงหัวก็หน้าถอดสีทันที : “ถอยเร็วเข้า !”

ทว่า ในวินาทีถัดมา กลีบดอกไม้สีแดงเหล่านั้นก็กลายเป็นเปลวไฟอยู่บนท้องฟ้า และเข้ามาเผาผลาญร่างกายของผู้คุมผู้นั้นอย่างรวดเร็ว

เฟิ่งชิงหัวโบกแขนเสื้อ ทำให้เกิดลมพายุแรง พัดกลีบดอกไม้สีแดงเหล่านั้นไปตกลงอีกด้านหนึ่ง

ทว่า อันตรายไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นในดวงตาคือสีแดงสด หากไม่รู้มาก่อนว่า เมื่อกลีบดอกไม้เหล่านี้สัมผัสกับร่างกายของมนุษย์ จะทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ ฉากนี้ก็นับว่าเป็นฉากที่โรแมนติกไม่น้อย

คิดไม่ถึงเลยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังฉากนี้จะอำมหิตเช่นนี้ เพียงแค่กลีบดอกไม้นี้หล่นลงบนร่างกายของมนุษย์ ก็สามารถแผดเผามนุษย์ให้กลายเป็นมัมมี่ได้ ด้วยการสัมผัสเพียงเบา ๆ

กลีบดอกไม้สีแดงสด กระจายอยู่ทั่วหลังคาเรือนจำ มีหลายคนที่จบชีวิตลงแล้ว และเปลวไฟก็ยิ่งลุกโชนขึ้นเรื่อย ๆ

หรือว่าคนผู้นั้นคิดจะใช้คนทั้งกรมคลังเป็นเครื่องสังเวย ?

“มัวยืนนิ่งอะไรอยู่ รีบอพยพฝูงชนเร็วเข้า” มีเสียงของชายหนุ่มดังเข้ามาในหู เฟิ่งชิงหัวหันหน้าไปดู พบเห็นชายหนุ่มยืนอยู่กลางอากาศ ยกมือทั้งสองข้างขึ้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิชาตัวเบาเพื่อดึงดูดให้กลีบดอกไม้เหล่านั้นทั้งหมด พุ่งตรงเข้าหาตนเอง

กลีบดอกไม้เหล่านั้นค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นลูกบอลขนาดใหญ่ที่หมุนวนอยู่ในมือของเขา ทว่า ยังมีกลีบดอกไม้อีกจำนวนมากที่กำลังร่วงลงสู่ด้านล่าง

เสี่ยวเอ๋อร์ผู้นี้มีฐานะสูงส่งแค่ไหนกันแน่ จึงสามารถทำให้คนเหล่านี้ก่อความวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ได้

ชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวดำลอยอยู่กลางอากาศ กลีบดอกไม้สีแดงสดที่ลุกไหม้อยู่รอบข้าง กำลังเผาไหม้ตัวเองอยู่รอบตัวเขา

ประกายไฟที่ส่องสว่างและดับมอดลง ส่องแสงไปยังใบหน้าของชายหนุ่ม ใบหน้าเพียงครึ่งเดียวก็ดูทรงเสน่ห์ สีหน้ายิ่งดูงดงามไร้ที่ติ

จู่ ๆ ก็เปลี่ยนจากดาวแห่งความชั่วร้ายที่เห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลา กลายเป็นเทพสงครามที่เห็นโลกทั้งใบเป็นความรับผิดชอบของตนเอง การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้เฟิ่งชิงหัวรู้สึกไม่คุ้นชินไปชั่วขณะ

หลังจากตกตะลึงไปครู่เดียว เฟิ่งชิงหัวก็เริ่มอพยพฝูงชนออกไปทีละคน ๆ อย่างรวดเร็ว และให้ทุกคนเข้าไปหลบอยู่ในห้อง ห้ามสัมผัสเข้ากับกลีบดอกไม้เหล่านั้นโดยเด็ดขาด หลังจากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องที่คุมขังเสี่ยวเอ๋อร์

ที่คนเหล่านั้นจงใจวางแผนทำสิ่งนี้ เกรงว่าจะทำไปเพื่อปล้นคุก ตอนนี้จึงกลัวว่าจะแอบฉวยโอกาสลักลอบเข้าไปแล้ว

เฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะเดินเข้าไปถึง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดคลุมยืนอยู่ตรงประตูห้องขัง ส่วนเสี่ยวเอ๋อร์ที่เดิมทีควรถูกขังอยู่ในคุก ก็ถูกเฟิ่งชิงหัวสลับตัวไว้แต่แรกแล้ว ตอนนี้คนที่อยู่ด้านใน เป็นเพียงแค่นักโทษประหารคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านมาหาคนถึงในกรมคลัง แต่กลับไม่รู้จักทักทายล่วงหน้า ดูไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชายเลยนะ ?”

“ส่งตัวนางออกมา” เสียงห้าว รูปร่างสูงใหญ่ เป๋นผู้ชาย

“อยากได้คน ก็ได้ แต่ให้ข้าดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าเสียก่อน !” ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็เงยหน้าขึ้นเพื่อจะดึงชุดคลุมของชายหนุ่มออก แต่ชายหนุ่มรีบปลีกตัวหลีกในทันที จากนั้นจึงชักกระบี่ยาวที่อยู่ในมือออกมา แล้วฟันออกไป

เฟิ่งชิงหัวปรบมือชื่นชม : “กระบี่นี้ไม่เลวเลย และยาพิษที่อาบอยู่บนกระบี่เล่มนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน ดูเหมือนจะเป็นพวกเดียวกัน ? เช่นนั้นก็ยิ่งปล่อยเจ้าไปไม่ได้แล้ว”

ทันทีที่พูดจบ เฟิ่งชิงหัวก็ดึงด้ายสีเงินใสที่อยู่ตรงข้อมือออกมาหนึ่งเส้น จากนั้นกวัดแกว่งไปมาอยู่บนมือ และเริ่มต่อสู้กับชายหนุ่ม

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา

Status: Ongoing
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว เกี่ยวกับความรักของตัวเอกชายและหญิงที่มีอุปสรรคมากมาย หลังจากเกิดเหตุการณ์มากมาย ในที่สุดความรักของพวกเขาก็ชนะทุกสิ่ง… หมอหญิงข้ามภพไปยังราชวงศ์เทียนหลิง บิดาไม่อยู่ มารดาไม่รู้ที่เป็นไป เพียงต้องแต่งงานแทนกับท่านอ๋องเจ็ดผู้พิการเสียโฉมณราชวงศ์นั้นเพื่อทดแทนบุญคุณ

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท