พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 79 ต้มซุปปลา
ในวินาทีถัดมา ชายชุดดำที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ล้มลงกับพื้นทีละคนๆ เลือดออกจากตา หู จมูก ปาก ลิ้นของพวกเขา
และจ้านเป่ยเซียวก็หมดสติไปเพราะลมหายใจผิดปกติ
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกไปเพื่อจับชีพจรของเขา ชีพจรของเขาเกือบจะไม่มี เมื่อครู่นี้เขาใช้พลังไปมาก ถ้าคนในชุดดำมีมากกว่านี้ เขาคงเสียชีวิตไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวเหลือบมองไปยังผู้คนรอบๆ ที่กำลังก่อกวนสนามรบด้วยความโกลาหล นางอุ้มจ้านเป่ยเซียวขึ้นมาแล้วกระโดดขึ้นสองสามครั้ง และจากไปอย่างเงียบๆ ภายใต้ความมืดมิด
สระน้ำพุร้อนที่อยู่ในส่วนลึกของการก่อตัวของหินภูเขาไฟมีอุณหภูมิสูงกว่าน้ำพุร้อนทั่วไปมากกว่าสิบกว่าองศา ถ้าคนธรรมดาตกลงไป จะบาดเจ็บไม่น้อย
ชายหนุ่มนั่งหลับตาอยู่ในสระน้ำพุร้อนทั้งอย่างนั้น ผมยาวสีดำปล่อยอยู่ข้างหลัง และเม็ดน้ำที่เกิดจากไอน้ำที่ควบแน่นอยู่บนผิวหนังที่เปลือยเปล่าของเขาค่อยๆ คดเคี้ยวและตกลงไปในสระน้ำพุร้อน ถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นว่าบนร่างของชายหนุ่มนั้นถูกแทงด้วยเข็มเงิน
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเเป็นคนดีทั้ง ๆ ที่ปากร้าย ข้าคงไม่ช่วยท่านแน่ การได้พบข้าถือเป็นพรในแปดชั่วอายุคนของท่านที่สร้างขึ้นมา”
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวพึมพำกับตัวเองเสร็จแล้ว นางก็ออกจากสระน้ำพุร้อน
เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ หุบเขาเล็กๆ แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยสมุนไพร นางเด็ดมาไม่น้อยและเริ่มต้มยาในหม้อดิน
เมื่อจ้านเป่ยเซียวฟื้นขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองนอนราบอยู่บนหินเรียบ ไม่ไกลนัก เฟิ่งชิงหัวกำลังต้มยา
ใบหน้าขาวถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำสองสามหย่อมเพราะควัน จู่ ๆ จ่านเป่ยเซียวก็รู้สึกว่าหญิงสาวหน้าตาตาธรรมดาคนนี้ดูเพลินตาเป็นพิเศษ มุมปากของเขาเม้มเล็กน้อย และเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาโดยไร้เสียง
เมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้ามา จ้านเป่ยเซียวก็หลับตาโดยอัตโนมัติอย่างไร้เหตุผล
ตาไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ประสาทสัมผัสของการได้ยินและการสัมผัสจะไวมาก
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีมือเย็นของหญิงสาวมาแตะที่ข้อมือของเขา และอีกข้างหนึ่งแตะที่หน้าผากของเขาอย่างลวกๆ จ้านเป่ยเซียวได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นแรงราวกับเสียงกลอง เขาไม่สามารถซ่อนมันไว้ได้
“หรือว่ายาของข้าไม่ถูกต้อง? ตามหลักแล้วควรจะตื่นได้แล้วนี่นา” หญิงสาวพูดกับตัวเอง
เขารู้สึกว่าหญิงสาวจากไปข้างเขา ในใจรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผล และจิตใต้สำนึกต้องการที่จะยื่นมือออกไปดึงนาง
ในไม่ช้า เฟิ่งชิงหัวก็เข้ามาใกล้ แต่คราวนี้นางนั่งลงข้างจ้านเป่ยเซียวโดยตรง
จ้านเป่ยเซียวลังเลว่าเขาควรจะตื่นหรือไม่ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ อ่อนนุ่มที่ริมฝีปาก ก่อนที่สมองของเขาจะตอบสนอง จ้านเป่ยเซียวรีบลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
เข้าสู่สายตาคือดวงตาคู่โตสดใสจ้องมองเขาอยู่ จ้านเป่ยเซียวอึ้ง และเมื่อเขากลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นยาจีนแรงในปากของเขา
ความรู้สึกนุ่มนวลถอยกลับอย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิงหัวมองชายหนุ่มที่ตื่นขึ้นทันที ตื่นตระหนกโดยสัญชาตญาณ และถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว
“เอ่อ เจ้าสลบอยู่ กัดฟันแน่นมาก ข้าจึงได้แต่ใช้วิธีนี้เท่านั้น อย่าคิดมาก ในเมื่อท่านฟื้นแล้ว ดื่มเองเถอะ”
นี่คือการอธิบายสิ่งที่นางกระทำเมื่อครู่นี้
จ้านเป่ยเซียวได้ยินอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่พอใจ เขาขมวดคิ้วและมองเฟิ่งชิงหัวอย่างเย็นชา
ดูเหมือนจะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วเหตุใดเจ้าถึงดูเหมือนทำผิดกันเล่า
“เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่” เขาถามในขณะที่หยิบชามยาจากมือของเฟิ่งชิงหัวและดื่มเข้าไปด้วยคำเดียว
ปฏิกิริยาแรกคือยานี้ไม่หวานนี่เอง
“ข้าบอกแล้วว่าอย่าใช้กำลังภายใน ท่านเกือบตายแล้ว โชคดีที่ข้าพาท่านมาที่นี่อย่างมีไหวพริบ ท่านหมดสติมาเจ็ดวันแล้ว หากท่านยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก ข้าจะสงสัยว่าเป็นปัญหาทักษะทางการแพทย์ของข้า” เฟิ่งชิงหัวมุ่ยหน้า
“กลัวข้าตายขนาดนี้เลยหรือ?” จ้านเป่ยเซียวจ้องนางด้วยดวงตาที่ลุกไหม้
เฟิ่งชิงหัวหลีกเลี่ยงการจ้องมองของเขาและพูดว่า “อย่างน้อยข้าก็ใช้ชื่อของพระชายาเจ็ดอยู่ ถ้าท่านตาย ข้าก็จะกลายเป็นม่ายน่ะสิ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ข้อตกลงนี้ไม่คุ้มค่า”
มุมริมฝีปากของจ้านเป่ยเซียวโค้งขึ้นเล็กน้อย เขาอืม “สมองไม่เลว”
“เอาล่ะ พิษในร่างกายของท่านถูกระงับชั่วคราว ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จากไปได้แล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดโดยตรง
เมื่อรู้ว่ายังมีระยะทางอีกไกลจากพระนคร จ้านเป่ยเซียวจับเอวของเขาโดยสัญชาตญาณ แต่ตระหนักได้ว่าเขาสวมกางเกงขนสัตว์รัดแน่นทั่วร่างกาย
อาจเป็นเพราะอากาศในถ้ำเบาบาง เขาจึงรู้สึกแน่นหน้าอก
ผ่านไปนาน เขาก็พูดว่า “เจ้าส่งสัญญาณที่อยู่ในเสื้อของข้าออกไปก็จะมีคนมารับพวกเรา”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า ทำตามที่เขาพูด หลังจากที่นางเดินออกจากถ้ำ จ้านเป่ยเซียวรีบสวมเสื้อผ้าของเขาอย่างรวดเร็วและบริเวณที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าก็รู้สึกร้อนผ่าวมาก
หญิงสาวคนนี้ไม่สงวนท่าทีเลยจริง ๆ ต้องถอดเสื้อผ้าป้อนยาด้วยหรือ?
เมื่อเฟิ่งชิงหัวกลับมา นางถือปลาอยู่ในมือ เกล็ดของปลาถูกขูดพร้อมเอาอวัยวะภายในออก และพบเครื่องเทศง่ายๆ บางอย่างจากถ้ำและเริ่มต้มซุปปลา
เปลวไฟไม่แรง เฟิ่งชิงหัวคนซุปปลาในโถดินเผาอย่างชำนาญ หลังจากนั้นไม่นาน ซุปปลาที่มีกลิ่นหอมก็กระจายไปทั่วถ้ำ
จ้านเป่ยเซียวนั่งขัดสมาธิอยู่บนหิน ลืมตาขึ้นเป็นครั้งคราวและมองไปที่ทางเข้าถ้ำ แต่ด้วยท่าท่างหลังตรงและใบหน้าที่เย็นชาของเขา ยากที่จะมองออกว่าจริงๆแล้วเขากำลังรออยู่
หลังจากต้มซุปปลาเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ยกไปยังตรงหน้าจ้านเป่ยเซียวทันที
ชามดินเผาหนามีซุปปลาสีขาวข้น มีใบสมุนไพรที่ไม่รู้จักสองสามใบลอยอยู่
เฟิ่งชิงหัวเห็นเขาขมวดคิ้ว เลยรีบพูดว่า “ในเวลานี้ท่านก็อย่าเลือกมากเลย ท่านคิดว่าอยู่ที่จวนอ๋องของท่านหรือ ท่านยังอยากได้รสชาติที่ดีพร้อมทุกอย่าง?”
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร เริ่มชิมซุปปลาอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขากำลังลิ้มรสอาหารอันโอชะของโลกด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงหัวถือซุปปลาและมองเขาเป็นครั้งคราว จ้านเป่ยเซียวกลืนซุปปลาคำสุดท้ายก่อนจะพูดเสียงเรียบ “คาวไปหน่อย”
ครู่หนึ่ง ภาพลวงตาที่สวยงามทั้งหมดก็แตกสลายด้วยประโยคนี้
เฟิ่งชิงหัวกัดฟันและพูดว่า “ถ้าท่านคิดว่าคาวก็คายออกมาสิ ข้าต้มอยู่ตั้งนาน ท่านคิดว่ามันง่ายหรือไงเล่า?”
ไม่รู้หรือว่าทานของคนอื่นอยู่
ชีวิตเขานางเป็นผู้ช่วยไว้ด้วยซ้ำ ไม่ขอบใจก็ช่างเถอะยังกล้าที่จะจู้จี้จุกจิกเรื่องมากเช่นนี้อีก
หลังจากที่องครักษ์ของจ้านเป่ยเซียวก็รีบมาทันทีหลังจากได้รับสัญญาณ หลังจากตามหามาถึงที่นี่ พวกเขาพาทั้งสองคนลงจากภูเขา จากนั้นขึ้นรถม้ากลับไปที่จวนอ๋องเฉินโดยตรง
ทั้งสองคนยู่อบนรถม้าแล้วเพิ่งรู้ว่าหลังจากที่ทั้งสองหายตัวไปฮ่องเต้เซวียนถ่งกังวลมาก โดยคิดว่าพวกเขาถูกผู้ลอบสังหารจับตัวไป จึงสอบสวนตรวจสอบหลายครั้ง และองค์ราชทายาททรงได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องฮ่องเต้เซวียนถ่ง ช่วงนี้เป็นที่โปรดปรานมาก
จ้านเป่ยเซียวยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อเขาได้ยิน
เฟิ่งชิงหัวรู้ว่าเขากำลังหัวเราะเยาะอะไร และรู้สึกว่าจ้านถิงเฟิงค่อนข้างไร้สาระ ไม่ฉลาดเท่าที่ข่าวลือกล่าว
ในอีกด้านหนึ่งเขาลอบสังหารจ้านเป่ยเซียว และในทางกลับกัน เขาใช้ชีวิตปกป้องฮ่องเต้ คิดว่าคนอื่นๆโง่เขลาหรือไงกัน
อย่างไรก็ตามฮ่องเต้เซวียนถ่งดูเหมือนจะชอบเช่นนี้จริง ๆ เดิมทีเพราะเรื่องของนางสนมซุนผินมีความเหินห่างกับฮองเฮาอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้ เขามักจะพักผ่อนอยู่ที่ฮองเฮา ดูเหมือนว่ากลับมาดีเหมือนเดินแล้ว