เนี่ยหานซิงรับภารกิจที่เฟิ่งชิงหัวให้มา จากนั้นก็นำหน้าจากไปก่อน ส่วนเฟิ่งชิงหัวยังคงเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อถึงตอนที่เดินทางกลับก็เห็นว่ามีเจ้าพนักงานสองคนวิ่งเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ “ผู้ชันสูตรเฟิ่ง ในที่สุดก็เจอตัวเสียที ท่านรีบตามพวกข้ามาเร็วเถิด ทางนั้นเกิดความโกลาหลใหญ่โตแล้ว”
“อย่างไร?”
“จะเป็นอย่างไรไปได้อีก แน่นอนว่าต้องเป็นบรรดาผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นที่ไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองใจได้ รุ่งเช้ามาก็เริ่มส่งเสียงโวยวายว่าจะลงจากเขา บอกว่าเมื่อคืนนี้เจอผี บอกว่าต่างก็เห็นวิญญาณของเซียวรัวสุ่ยจะมาเอาชีวิต บอกว่าบนเขานี้ไม่สะอาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลงจากเขาให้ได้ ตอนนี้ใกล้จะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้อยู่แล้ว” สีหน้าของเจ้าพนักงานแสดงออกว่าหมดหนทาง
“ต่างก็บอกว่าถ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ไม่มีทางกลัวผีมาเคาะประตู เหตุใดแต่ละคนต่างพากันเจอผีกันหมด?” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน
“พวกข้าก็คิดเช่นนั้น หากว่าเพียงแค่คนสองคน พวกข้ายังพอพูดได้ว่าพวกเขากินปูนร้อนท้อง แต่นี่ต่างเห็นกันทั้งหมดเลย เรื่องนี้จัดการได้ยากจริง ๆ”
“เอาล่ะ ไปดูก่อนแล้วกัน ดูว่าเป็นผีป่าสัตว์ร้ายที่ใด ถึงกล้ามาทำให้ประตูวัดที่สะอาดต้องแปดเปื้อน” เฟิ่งชิงหัวพูดไป ก็พาทั้งสองคนเดินลงไปด้วยความรวดเร็ว
แม้ว่าเวลาในตอนนี้จะสายแล้วก็ตาม แต่เพียงพริบตาทุกคนก็มารวมตัวกัน อีกทั้งพวกเขาทั้งหมดยังอัดอันอยู่ในศาลาเล็ก ๆ แห่งนี้อีก ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ
เจียงเทามองเห็นเฟิ่งชิงหัวเดินเข้ามาจากที่ไกล ๆ ก็รีบพุ่งตัวออกไปทันที พูดด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง “พวกข้าจะลงเขา ตอนนี้ เวลานี้ เดี๋ยวนี้! ”
“ด้วยเหตุใด?” เฟิ่งชิงหัวตอบเสียงราบเรียบ
“เหตุใด? เจ้าว่าเพราะเหตุใดเล่า? ที่แห่งนี้มีผีอะละวาดอย่างไรเล่า! เจ้าให้พวกข้าอยู่ที่นี่ หรือว่าให้จะรอให้วิญญาณอาฆาตตนนั้นมาเอาชีวิตของพวกข้าทุกคนจนตายหรือ?” เจียงเทาพูดด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะ “พวกเจ้าทำสิ่งใดกับแม่นางเซียวผู้นั้นไว้หรือ จึงได้ดึงดูดให้นางต้องมาเอาชีวิตพวกเจ้าแต่ละคน?”
เจียงเทาได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันสั่นประกายจิตใจไม่สงบสุขขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นทันที “พูดจาเหลวไหลไร้สาระ ผีผู้หญิงคนนั้นต้องการให้เราทุกคนตาย!”
“หืม? เช่นนั้นก็น่าแปลก? เมื่อคืนนี้ข้ากลับนอนหลับได้อย่างสุขสบายเป็นที่สุด เหตุใดจึงไม่เห็นว่าจะมีผีผู้หญิงแต่อย่างใด?”
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยปาก มองไปทางคนอื่น ๆ “พวกเจ้ายังมีใครเห็นอีกหรือไม่?”
กระทั่งสองแม่ลูกหนานกงเยว่หลี สองแม่ลูกเจียงหยูหวันต่างก็พากันพยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่ ดูไม่เหมือนคนโกหก
สายตากวาดไปทีละคน จากนั้นก็หันไปทางองค์ราชทายาท คนหลัง ๆ แสดงทีท่าแปลกออกไป แต่กลับไม่ได้พูดสิ่งใด
เฟิ่งชิงหัวพูดพร้อมเสียงหัวเราะ “อย่างไร ท่านชายจ้านไม่เห็นหรือ? หรือว่าจะมีพลังแห่งมังกรในตำนานเหล่าขานปกป้องตัวเอาไว้จริง ๆ?”
จ้านถิงเฟิงถูกคนตรงหน้าที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้พูดจาเย้ยหยันต่อหน้า สีหน้าก็พลันบึ้งตึงขึ้นมา พูดเสียงเยือกเย็น “เมื่อคืนนี้ข้าไม่ได้นอนหลับพักผ่อน เพียงแค่ซวี่กวงเด็กรับใช้ของข้าได้พบกับสิ่งแปลกประหลาดเข้า”
“อ้อ?” เฟิ่งชิงหัวมองไปทางแม่นางทั้งสี่คน ทั้งสี่คนนั้นต่างก็พากันส่ายศีรษะ แสดงออกมาว่าไม่ได้พบเจอสิ่งใดผิดปกติ
“เช่นนั้นก็น่าแปลกแล้ว วิญญาณอาฆาตตนนั้นไม่ได้มาหาเหล่าสาวใช้ และก็ไม่ได้มาหาแม่นางทั้งสี่ แต่เจาะจงเฉพาะพวกเจ้าไม่กี่คน?”
“ถ้าจะถามก็ควรไปถามวิญญาณอาฆาตนู่น มาถามหากับพวกข้ามันจะได้สิ่งใด ต่อให้ในบรรดาพวกข้าทั้งหมดมีฆาตกรอยู่ เช่นนั้นนางไปหาฆาตกรก็พอแล้ว จะมาหาพวกข้าเพื่อสิ่งใดกัน?” เจียงเทาพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
“ท่านชายเจียงพูดถูก” เจียงหยูหวันเอ่ยพูดด้วยท่าทีบอบบางเป็นพิเศษ “ข้าหาได้มีความแค้นต่อผู้หญิงคนนั้นไม่ แน่นอนว่าที่นางต้องตายโหงนั้นน่าสงสาร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เรากลัวเช่นนี้。”
หนานกงเยว่หลีก็พูดตามน้ำด้วยเช่นกัน “ใช่แล้ว เราไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป บางทีอยู่ที่นี่ต่ออีกแค่คืนเดียว ก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”
เฟิ่งชิงหัวยกมือลูบคาง “วิญญาณอาฆาตที่พวกเจ้าเห็นรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร เหตุใดจึงแน่ใจมากถึงเพียงนั้น ว่านั่นคือเซียวรัวสุ่ย? พวกเจ้าเห็นเองกับตาหรือ?”
ใครจะไปรู้ เมื่อสิ้นคำพูดนี้ของเฟิ่งชิงหัว เหล่าผู้คนที่พูดว่าตนเห็นวิญญาณอาฆาตก็พากันเย็นหลังวาบ อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา
เจียงหยูหวันขี้ขลาดที่สุด กลัวมากจนกระโดดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของท่านแม่ของตน จากนั้นทั้งสองก็กอดกันตัวสั่น
หนานกงเยว่หลีมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “พวกข้า พวกข้าต่างก็ได้ยินเสียง น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้น เสียงกรีดร้องของนาง พวกข้าไม่มีทางฟังผิดเป็นแน่ อย่างไรก็ต้องเป็นนาง”
เจ้าพนักงานหลายคนก็ฟังกันจนรู้สึกขนลุกเมื่อได้ยินมัน พูดเสียงต่ำที่ข้างหูเฟิ่งชิงหัว “ผู้ชันสูตรเฟิ่ง ทำอย่างไรดี หากว่าที่พวกเขาพูดมาเป็นความจริงทั้งหมด การอยู่บนเขาแห่งนี้ต่อไม่ใช่ว่าจะยิ่งเป็นอันตรายหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวไม่เชื่อเรื่องผีสางอย่างแน่นอน แม้ว่าเรื่องการเดินทางข้ามเวลาของนางจะเป็นเรื่องแฟนตาซีก็ตาม แต่ตัวนางเองยังคงเชื่อในวิทยาศาสตร์อยู่ ความแปลกประหลาดของเรื่องนี้ นางต้องสืบหาให้รู้เรื่องเป็นแน่
“เอาล่ะ เช่นนี้ อยู่ต่ออีกคืนหนึ่ง หากคืนนี้ยังเกิดเรื่องขึ้นอีก ข้าก็จะให้พวกเจ้าลงเขาไป”
“ว่าอย่างไร ยังจะต้องอยู่ต่ออีกคืนหนึ่งหรือ? เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าคือใคร? ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรา สิบหัวของเจ้าก็ยังไม่พอให้ตัดด้วยซ้ำ” เจียงเทาพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
เฟิ่งชิงหัวยิ้มและกล่าวตอบ “ข้าว่า ท่านชายเจียง เจ้าไม่คิดว่าเจ้าให้ความสำคัญกับตนเองมากเกินไปหรือ? สามารถตัดหัวข้าได้เป็นสิบหัว ท่านชายจ้านยังไม่มีคำพูดเช่นนี้ออกมาสักนิด เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันหรือ?”
ระหว่างที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็เอียงคอไปทางจ้านถิงเฟิง “ท่านชายจ้าน ตอนนี้ท่านเป็นผู้ต้องสงสัย ท่านก็อยากลงเขาด้วยหรือไม่? ถึงอย่างไรชีวิตของท่านก็มีค่ามากจริง ๆ หากเกิดวิญญาณอาฆาตหลอกหลอนขึ้นมาจริง ๆ คืนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมาเอาชีวิตท่านจริง ๆ ก็เป็นได้”
จ้านถิงเฟิงได้ยินน้ำเสียงนี้ รู้สึกถึงความหดหู่ที่คุ้นเคยอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ไม่พอใจเช่นนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง ในใจอัดอั้นจนแทบหายใจไม่ออก
เขาไม่พูดแม้แต่คำเดียว หมุนตัวและเดินจากไป เด็กรับใช้ข้างกายก็รีบตามไปด้วย คนอื่น ๆ เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้มีหรือจะไม่เข้าใจ
องค์ราชทายาทยังตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ พวกเขาทั้งหมดต่อให้กลัวแทบตายเพียงใด จะกล้าข้ามหน้าข้ามตาเขาไปได้อย่างไร?
รอยยิ้มบนในหน้าของเฟิ่งชิงหัวถูกเก็บกลับมา พูดกับเจ้าพนักงานสองคนนั้น “จับตาดูคนพวกนี้เอาไว้ให้ดี เตรียมคนไว้อีกสองคน ตามข้าไปตรวจสอบ”
เฟิ่งชิงหัวพาคนไปยังห้องที่ว่ากันว่ามีผีมาอะละวาดเมื่อคืนนี้ ไม่นานก็พบกับจุดเชื่อมโยงกัน อีกทั้ง ยังพบร่องรอยที่น่าสนใจอีกทีหนึ่งอีกด้วย
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว เรียกเจ้าพนักงานคนหนึ่งเข้ามา ให้เขาไปถามเณรน้อยที่ก่อนหน้านี้ค่อยดูแลเรื่องอาหารการกินของเซียวรัวสุ่ยมาตลอด
รอจนเจ้าพนักงานกลับมาแล้วเอาข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้มารายงานต่อเฟิ่งชิงหัว เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า แสดงสีหน้าเหมือนว่าเป็นไปตามที่คิดไว้
ตอนนี้ปมทั้งหมดเกือบจะถูกคลายจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่สิ่งสุดท้าย ก็คือรอผลจากจากทางเนี่ยหานซิงเท่านั้นแล้ว