ในเมื่อสืบทอดความทรงจำของอวิ๋นโม่มา แน่นอนว่าเขาย่อมจดจำความเกลียดชังที่มีต่ออวิ๋นเลี่ยได้
“เอ๋ อวิ๋นโม่ เจ้าเองหรือ” อวิ๋นเลี่ยทำเสียงเหมือนประหลาดใจ
ในเมืองกวนซานเจิ้น ตระกูลอวิ๋นถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายหนึ่ง แต่ด้วยจำนวนลูกศิษย์ที่มีอยู่มากมาย ทรัพยากรจึงค่อนข้างจำกัด อวิ๋นเลี่ยไม่พอใจปริมาณทรัพยากรที่ตนเองได้รับ จึงหันหอกมาที่อวิ๋นโม่ ครอบครัวของอวิ๋นโม่ไม่มีที่พึ่งพิงในตระกูล พรสวรรค์ก็ต่ำต้อย ต่อให้อวิ๋นเลี่ยทุบตีอวิ๋นโม่จนตายก็ไม่มีใครออกปากอะไร อีกทั้งตัวเขาคงได้รับการลงโทษที่ไม่เจ็บไม่คัน แต่สิ่งที่จะได้ประโยชน์คือทรัพยากรส่วนของอวิ๋นโม่นั่นเอง
ด้วยฐานะในตระกูลของท่านปู่ สามารถฉวยทรัพยากรส่วนนั้นมามอบให้เขาได้อย่างง่ายดาย น่าเสียดายที่เจ้าขยะนี่กลับยังไม่ตาย!
“อวิ๋นเลี่ย เจ้ายังกล้าโผล่หน้ามาอีก!” เมิ่งเอ๋อร์ร้องอย่างขุ่นเคือง นางมองอวิ๋นเลี่ยด้วยความเกลียดชัง อยากลงไม้ลงมือกับเขา อวิ๋นโม่จับตัวเมิ่งเอ๋อร์แน่น ไม่ปล่อยให้นางทำเรื่องโง่ๆ ความสามารถของพวกเขาในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นเลี่ย
อวิ๋นเลี่ยแคะหู เอ่ยอย่างแปลกใจ “แล้วทำไมข้าจะมาไม่ได้ ขนาดพี่ชายของเจ้าที่เป็นแค่ตัวขยะระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้า ยังกล้าโผล่หัวออกมา แล้วข้าที่เป็นยอดฝีมือระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้าจะไม่มาได้อย่างไร”
อวิ๋นเลี่ยเองก็อายุสิบสี่ปี เมื่อฝึกฝนได้ถึงระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้าก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งของตระกูลอวิ๋น
“เจ้าต่างหากที่เป็นตัวขยะ ทั้งบ้านเจ้าเป็นขยะ! หึ ตอนนี้พี่ชายของข้า…”
“เมิ่งเอ๋อร์!” อวิ๋นโม่ขัดคำพูดน้องสาวในทันที สำหรับเรื่องการฝึกฝนและการรักษาของเขา เขาไม่ต้องการเปิดเผยออกไป “พวกเรามาเพื่อขอรับลูกกลอนเสริมกำลัง ไม่ใช่เพื่อเสียเวลากับพวกมัน”
“ฮ่าๆ! ข้าได้ยินไม่ผิดกระมัง” หัวหน้าบ่าวไพร่หัวเราะเสียงดัง “อวิ๋นโม่ เจ้ายังมีหน้ามาขอรับลูกกลอนเสริมกำลังอีกหรือ”
บ่าวผู้นี้มีชื่อว่าหลิ่วมี่เจียง เป็นสุนัขรับใช้ของอวิ๋นเลี่ย ตอนที่อวิ๋นเลี่ยกับพวกรุมทำร้ายอวิ๋นโม่ หลิ่วมี่เจียงก็คือคนที่ลงมือหนักที่สุด ขาที่บาดเจ็บของอวิ๋นโม่ก็เป็นฝีมือคนผู้นี้ ทั้งที่เป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง กลับกล้าลงมือกับอวิ๋นโม่อย่างโหดเหี้ยม แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาฐานะของอวิ๋นโม่ต่ำต้อยเพียงไร
“เป็นบ่าวไพร่ก็ควรทำตัวให้สมเป็นบ่าว เรื่องของเจ้านาย บ่าวอย่างพวกเจ้าสามารถเอ่ยปากได้ตั้งแต่เมื่อไร” แววตาของอวิ๋นโม่ทอประกายเย็นเยียบสองสาย ทำให้หลิ่วมี่เจียงหัวใจกระตุก อดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้
คราวนี้หลิ่วมี่เจียงหน้าแดง มันคับข้องใจที่ตนเองถูกคำพูดของอวิ๋นโม่ทำให้หวาดหวั่น หลิ่วมี่เจียงแค้น ถึงมันเป็นบ่าวไพร่ แต่ก็มีตำแหน่งสูง ทุกเดือนได้รับลูกกลอนเสริมกำลังหนึ่งเม็ดเป็นรางวัล มันเห็นว่าฐานะของตนยังสูงส่งกว่าอวิ๋นโม่ด้วยซ้ำ
หลังจากได้ยินคำพูดของพี่ชาย เมิ่งเอ๋อร์ก็สะใจอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “ไม่ผิด บ่าวก็ต้องทำตัวให้สมเป็นบ่าว!”
อวิ๋นเลี่ยเหลือบมองหลิ่วมี่เจียงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง การแสดงออกของบ่าวผู้นี้ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจ หลิ่วมี่เจียงรีบก้มศีรษะลง มันกล้าร้องด่าอวิ๋นโม่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเลี่ยก็ไม่กล้าวู่วาม
อวิ๋นเลี่ยเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย แววตาเปี่ยมไปด้วยการดูถูก “อวิ๋นโม่ เจ้ายังมีหน้ามาวางท่าเป็นเจ้านายอีกหรือ หลิ่วมี่เจียงอยู่ระดับเสริมกำลังขั้นห้าชั้นฟ้าแล้ว คนอย่างเจ้าที่แม้แต่บ่าวคนหนึ่งยังสู้ไม่ได้ มีคุณสมบัติอะไร”
หลิ่วมี่เจียงยังอารมณ์คุกรุ่นเพราะเรื่องน่าอายเมื่อครู่ ยามนี้จึงโผไปเบื้องหน้าอวิ๋นโม่ก่อนเอ่ย “อวิ๋นโม่ แม้แต่บ่าวอย่างข้า เจ้าก็สู้ไม่ได้ เจ้ามันเป็นขยะที่สู้ไม่ได้แม้แต่บ่าวคนหนึ่ง!”
เห็นหลิ่วมี่เจียงแสดงความโอหัง อวิ๋นโม่ก็ขมวดคิ้ว มือข้างหนึ่งดึงเมิ่งเอ๋อร์ไปอยู่ด้านหลังด้วยเกรงว่าหลิ่วมี่เจียงจะทำร้ายนาง
เมื่ออวิ๋นโม่ไม่พูดอะไร หลิ่วมี่เจียงก็ยิ่งได้ใจดั่งมีลมหนุน ความมั่นใจคืนกลับมา คนที่ลำพองมักอยู่ในความประมาท หลิ่วมี่เจียงกำลังจะทำพลาดครั้งใหญ่
“หึ อวิ๋นโม่ ถึงว่าเจ้าจะเป็นขยะที่เทียบไม่ได้กับสุนัขตัวหนึ่ง แต่ว่าน้องสาวของเจ้ากลับมีรูปโฉมงดงาม เจ้ามองว่าข้าเป็นบ่าว แต่ไม่แน่วันใดวันหนึ่งพวกผู้อาวุโสยกอวิ๋นเมิ่งเอ๋อร์ให้แต่งกับข้า เจ้าอาจต้องเรียกข้าว่าพี่เขยก็ได้”
เพียะ
อวิ๋นโม่ลงมืออย่างฉับพลัน ตบหน้าของหลิ่วมี่เจียงหนึ่งฝ่ามือ ทำเอาหลิ่วมี่เจียงตกตะลึง มันคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นโม่ที่ครั้งก่อนถูกสั่งสอนอย่างหนักจะกล้าลงมือกับมัน
อวิ๋นเลี่ยที่อยู่อีกฝั่งสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ใช่เพราะอวิ๋นโม่ตบหลิ่วมี่เจียง แต่เป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่ของหลิ่วมี่เจียงทำให้เขาโกรธแล้ว หลิ่วมี่เจียงจะอย่างไรก็เป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง เรื่องบางเรื่องไม่อาจก้าวข้าม แต่เห็นว่าอีกฝ่ายออกหน้าแทนตน อวิ๋นเลี่ยจึงไม่ได้พูดอะไร
“เจ้าเป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง อยากจะเลื่อนฐานะเป็นเจ้านายหรือ คางคกริอ่านกินเนื้อหงส์[1]” อวิ๋นโม่เอ่ยเสียงเย็น มันหยามเกียรติเขา เขาอดทนได้ แต่นี่มันหยามเกียรติเมิ่งเอ๋อร์ ช่างรนหาที่ตาย!
“ถุย!” เมิ่งเอ๋อร์หันไปถ่มน้ำลายใส่หลิ่วมี่เจียงคำหนึ่ง
หลิ่วมี่เจียงเพิ่งได้สติ มันถึงกับถูกตัวขยะระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้าตบหน้า นี่ทำให้มันแค้นเคืองอย่างยิ่ง “อวิ๋นโม่ เจ้ากล้าตบข้าหรือ!”
“ตบเจ้าแล้วจะทำไม ข้ายังจะตบอีก”
เสียงเพียะๆ ดังขึ้นที่ริมหูอีกสองครั้ง หลิ่วมี่เจียงไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงไม่หลบ
“ตบได้ดี!” เมิ่งเอ๋อร์ปรบมือ
หลิ่วมี่เจียงกุมหน้าด้วยความโมโหพลางหันไปมองอวิ๋นเลี่ย ถึงมันจะไม่พอใจอวิ๋นโม่ แต่อย่างไรมันก็เป็นเพียงบ่าว หากคิดจะลงมือ ก็ต้องได้รับอนุญาตจากที่พึ่งพิงก่อน มันขอสาบานว่าครั้งนี้จะต้องทุบตีอวิ๋นโม่ให้แหลกเละ จากนั้นยุยงให้อวิ๋นเลี่ยลงมือฆ่าอวิ๋นโม่เสีย! มีแต่ฆ่าอวิ๋นโม่แล้วจึงจะนับว่าได้ล้างอาย!
“เรื่องของตนเองก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง หรือว่าเจ้าที่อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นห้าชั้นฟ้ายังสู้เศษสวะระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้าไม่ได้” อวิ๋นเลี่ยเอ่ยเสียงเรียบ แต่ก็เท่ากับว่าอนุญาตให้หลิ่วมี่เจียงลงมือแล้ว
หลิ่วมี่เจียงได้รับอนุญาตแล้วก็หันกลับมายิ้มเย็น มันมองอวิ๋นโม่พร้อมบิดคอจนส่งเสียงกรอบแกรบ “หึๆ อวิ๋นโม่ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นความร้ายกาจของบ่าวคนนี้!”
“พวกเจ้ากล้าหรือ!” เมิ่งเอ๋อร์ร้องลั่น นางเดินไปข้างหน้า ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ “หากพวกเจ้ากล้าลงมือ หลังจากท่านประมุขตระกูลออกจากการปิดด่านฝึกตน ข้าจะรายงานเรื่องทั้งหมดกับท่าน ให้พวกเจ้าทุกคนต้องถูกลงโทษ!”
“ประมุขตระกูลหรือ ใครจะรู้ว่าผู้แข็งแกร่งอย่างท่านประมุขตระกูลจะกักตนนานเท่าไร ไม่แน่ว่ากว่าเขาจะออกมา เรื่องทุกอย่างก็จบไปนานแล้ว” อวิ๋นเลี่ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ส่งสัญญาณให้หลิ่วมี่เจียงลงมือ
อวิ๋นโม่ดึงตัวเมิ่งเอ๋อร์ที่กำลังโมโหกลับมา เอ่ยว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าถอยไป แค่บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น ทำให้ข้าบาดเจ็บไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า!” เมิ่งเอ๋อร์ยังคงกังวลใจ นางไม่อยากเห็นอวิ๋นโม่ต้องบาดเจ็บอีก
“เชื่อข้าเถอะ!” อวิ๋นโม่ลูบศีรษะเมิ่งเอ๋อร์เบาๆ ขณะกล่าวปลอบโยนสาวน้อย
หลิ่วมี่เจียงแค่นหัวเราะก่อนเอ่ยให้อวิ๋นโม่ได้ยินเพียงผู้เดียวว่า “อวิ๋นโม่ เป็นเจ้าแส่หาที่ตายเอง ครั้งก่อนไม่ได้ฆ่าเจ้า ครั้งนี้เจ้าคงไม่โชคดีเช่นนั้นอีกแล้ว!”
“อย่างนั้นหรือ” ดวงตาของอวิ๋นโม่ฉายแววเย็นเยียบ สุนัขรับใช้เช่นหลิ่วมี่เจียงปลุกความคิดฆ่าฟันของอวิ๋นโม่ขึ้นมาแล้ว
“ย้าก!” หลิ่วมี่เจียงตะโกนก้อง ฝ่ามือหนึ่งมุ่งตบไปที่แก้มของอวิ๋นโม่ เมื่อครู่มันถูกฝ่ายตรงข้ามตบไปสามฝ่ามือจึงต้องการเอาคืนในยามนี้ทั้งหมด!
หมับ!
เสียงแจ่มชัดดังขึ้นครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดจากหลิ่วมี่เจียงตบหน้าอวิ๋นโม่ แต่เป็นข้อมือของมันถูกเด็กหนุ่มคว้าเอาไว้
“เจ้าเศษสวะ!” หลิ่วมี่เจียงคำราม คิดจะดึงมือออก แต่มือของอวิ๋นโม่แข็งราวท่อนเหล็ก จับมันเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่สามารถดึงมือกลับไปได้
เพียะ!
เสียงดังครั้งนี้เป็นเสียงที่อวิ๋นโม่ตบใส่กกหูของหลิ่วมี่เจียง ครั้งนี้เด็กหนุ่มลงมือเต็มแรงจนฟันของหลิ่วมี่เจียงกระเด็นออกมาหลายซี่
“เป็นแค่สุนัขรับใช้กลับกล้ามาเห่าหอนเบื้องหน้าข้า!” อวิ๋นโม่เอ่ยเสียงเย็น ซ้ำยังตบกกหูของหลิ่วมี่เจียงอีกหลายครั้ง
หลิ่วมี่เจียงถูกตบจนมึนงง ทั้งๆ ที่เป็นแค่เศษสวะระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้าเท่านั้น ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้ พอมันตกอยู่ในกำมือของอวิ๋นโม่ก็ไม่มีโอกาสตอบโต้แม้แต่น้อย นี่ไม่น่าเป็นไปได้!
เปรี้ยง!
เสียงถีบดังสนั่นทั่วบริเวณ เท้าของอวิ๋นโม่เตะเพียงครั้งเดียวก็หักกระดูกขาซ้ายของหลิ่วมี่เจียงแล้ว ขาซ้ายของตนถูกคนคนนี้ทำร้ายจนหัก อวิ๋นโม่ย่อมไม่มีทางปล่อยมันไปง่ายๆ
“หยุดมือ!” อวิ๋นเลี่ยร้องขัด เห็นชัดเจนว่าอวิ๋นโม่ไม่ได้อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้า แต่เป็นเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้า! เขาประหลาดใจอยู่บ้าง อวิ๋นโม่ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับก้าวหน้ากว่าเดิม นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
“เจ้าบอกให้หยุดก็ต้องหยุดหรือ” อวิ๋นโม่ไม่คิดจะไว้หน้าอวิ๋นเลี่ย เท้าถีบลงไปอีกครั้งก็หักกระดูกขาอีกข้างของหลิ่วมี่เจียง
หลิ่วมี่เจียงส่งเสียงครวญครางไม่หยุด พวกบ่าวไพร่ที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นเลี่ยต่างรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งร่าง พวกมันพากันถอยหลังไปด้วยความกลัว ยังดีที่เมื่อครู่ตนไม่ได้ลงมือ ไม่เช่นนั้นคงต้องลงเอยอย่างน่าอนาถแล้ว
อวิ๋นโม่ยกเท้าขึ้นมา เล็งไปที่ศีรษะของหลิ่วมี่เจียง เขาเกิดความคิดฆ่าฟันแล้ว เขาเป็นลูกหลานตระกูลอวิ๋น ต่อให้ฆ่าหลิ่วมี่เจียงก็ไม่ได้รับโทษทัณฑ์อะไร อย่าว่าแต่หลิ่วมี่เจียงยังบังอาจท้าทายเขาก่อน
“ข้าบอกให้เจ้าหยุดมือ!” อวิ๋นเลี่ยตะโกนลั่นก่อนโผเข้าไปดุจพยัคฆ์ พร้อมฟาดฝ่ามือใส่อวิ๋นโม่ หลิ่วมี่เจียงเป็นบ่าวข้างกายที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดของเขา อีกทั้งไหวพริบดี เขาไม่อยากเสียบ่าวดีๆ ไปเช่นนี้
อวิ๋นโม่รู้สึกถึงอันตรายพลันถอยเท้าออกมา ขณะเดียวกันก็ยกมือบังบริเวณอก
ปัง!
อวิ๋นเลี่ยเป็นยอดฝีมือระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้า ฝ่ามือนี้อวิ๋นโม่ไม่อาจสกัดได้ทั้งหมด พลังฝ่ามือบางส่วนทะลวงมาถึงหน้าอก ทำให้เลือดลมในกายของอวิ๋นโม่ตีกลับ
อวิ๋นโม่ถอยกรูดไปหลายก้าว จากนั้นกระอักเลือดคำหนึ่ง จึงสามารถสะกดเลือดลมที่พลุ่งพล่านลงได้ อวิ๋นโม่แววตาเป็นประกาย ยามนี้เขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
อวิ๋นเลี่ยมองอวิ๋นโม่ด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยว่า “อวิ๋นโม่ บังอาจทุบตีคนของข้าอย่างไร้เหตุผล ฆ่ามันให้ข้า!”
ว่าแล้วอวิ๋นเลี่ยก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดลงมือกับอวิ๋นโม่ราวกับฝูงหมาป่าขย้ำเหยื่อ
………………………………………
[1] เป็นสำนวน หมายถึง ใฝ่ฝันถึงสิ่งที่เกินตัวหรือเกินฐานะ มักใช้กับชายหนุ่มที่หน้าตาไม่ดีหรือมีสถานะด้อยกว่าฝ่ายหญิง โดยเปรียบผู้ชายเป็นคางคกและฝ่ายหญิงเป็นหงส์