ตอนที่ 261 ไล่คน
เซิ่นซูเหวินออกจากจวนท่านหญิง เขาก็นัดสหายไปดื่มสุรา ดื่มจนเมาถึงกลางดึก
เรื่องงานแต่งถูกปฏิเสธ ภายในใจของเขารู้สึกไม่ดี
เขาให้ความสำคัญกับงานแต่งนี้จริงๆ
เมื่อถูกปฏิเสธ เขาไม่โทษผู้ใด โทษเพียงแต่ตัวเอง
ภายในใจรู้สึกอึดอัด กลัวว่าตนเองจะไม่รอบคอบ คำนึงไม่ครบรอบด้าน
เขาไม่เคยคิดว่าท่านพ่อและท่านแม่จะไม่เห็นด้วยกับงานแต่งนี้
เขาที่ดื่มจนเมาถูกบ่าวรับใช้พากลับจวนเล็กในเมือง
จวนเล็กหลังเดียวถูกเช่าเมื่อตอนต้นปี
เขาดื่มจนเมา อาละวาดไปรอบหนึ่งจนผู้คนตกใจ สุดท้ายจึงนอนลง
เมื่อตื่นมาก็เป็นกลางวันของวันที่สองแล้ว
บ่าวรับใช้เห็นเขาตื่นขึ้นมา ดีใจอย่างมาก
“นายน้อยตื่นเสียที หากท่านไม่ตื่นอีก ลุงสวี่จะไปเชิญไต้ฟูแล้ว”
เซิ่นซูเหวินนวดคลึงหัวที่ปวดตึบ มึนงงเล็กน้อย รู้สึกคอแห้งอย่างมาก
เขารีบกลั้วปาก ดื่มน้ำ
น้ำชาครึ่งเหยือกกรอกลงคอไป ในที่สุดก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
จากนั้นกินอาหารอีกเล็กน้อย ในที่สุดก็ข่มความอึดอัดจากความเมาลงไปได้
เขานั่งอยู่ใต้ชายคาด้วยความเหม่อลอย
แม้จะเป็นตำราที่เขาชอบอ่านที่สุดก็ไม่ได้ทำให้เขาเกิดความสนใจในเวลานี้
แสงแดดตอนกลางวัน แสบผิวอย่างมาก
แต่เขากลับชอบมาก
เขาต้องการแสงแดดเพื่อขับไล่ความหมองหม่นภายในใจ
บ่าวรับใช้เก็บเรือน ค้นเจอตำราคัดมือหลายเล่ม เขาจึงถามเสียงดัง “นายน้อย เหล่านี้ล้วนเป็นตำราที่ท่านคัดเอง จะวางไว้ในลังนำไปด้วยหรือไม่ขอรับ”
เซิ่นซูเหวินตั้งสติกลับมา มองตำราในมือของบ่าวรับใช้ ความเศร้าผุดขึ้นมาในหัวใจ
ตำราหายากที่เขาอดหลับอดนอนคัดขึ้นมาทีละตัวอักษรเพื่อมอบให้เยียนอวิ๋นเกอเป็นของขวัญ…
เขาก้มหน้าหัวเราะเยาะตนเอง “ทิ้งให้หมดเถิด!”
บ่าวรับใช้ประหลาดใจ
นายน้อยที่รักตำราที่สุดจะโยนตำราทิ้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
บ่าวรับใช้กลัวตัวเองได้ยินผิด จึงถามขึ้นอีกครั้ง “นายน้อยบอกว่าทิ้งหรือ”
เซิ่นซูเหวินมองตำราในมือของเขา ล้วนมาจากความพยายามของเขา
เขาอยากบอกว่า ‘ใช่’ โยนทิ้งให้หมด อย่างไรก็ไม่มีความหมายแล้ว
แต่ยังไม่ทันได้พูดออกมา เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หัวใจแล้ว
เขาเป็นคนรักตำรา การโยนตำราที่รักทิ้งราวกับเอาชีวิตของเขาไปครึ่งหนึ่ง
จากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องที่ตนเองไร้วาสนากับเยียนอวิ๋นเกอ ความหวังที่มีมาตลอดหลายปีกลายเป็นความว่างเปล่า ในใจของเขายิ่งปวดยิ่งเจ็บ
สีหน้าของเขาซีดเผือด ริมฝีปากอมม่วง
บ่าวรับใช้เห็น ตกใจจนสีหน้าซีดตาม
“นายน้อยเป็นอันใดหรือไม่ ท่านอย่าหลอกข้าเชียว”
เซิ่นซูเหวินกุมหน้าอก พลันหอบหายใจ ในที่สุดก็มีชีวิตอีกครั้ง
เขาพูดกับบ่าวรับใช้ “ตำรา เก็บเอาไว้เถิด”
บ่าวรับใช้โล่งอกในทันที
เขาบอกแล้ว นายน้อยที่รักตำราดุจดั่งชีวิต จะยอมโยนตำราที่คัดเองกับมือทิ้งได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ เขาฟังผิดอย่างแน่นอน
บ่าวรับใช้พูด “ข้านำตำราหลายเล่มนี้วางไว้กับตำราอื่น เอาไว้ดูระหว่างทาง”
เซิ่นซูเหวินส่ายหน้า เขาตัดสินใจแล้ว “ไม่! ใช้กระดาษห่อเอาไว้ ส่งไปยังจวนท่านหญิง มอบให้คุณหนูสี่ เหล่านี้ล้วนเป็นตำราหายากที่ข้ารับปากจะคัดให้นาง เรื่องที่รับปากเอาไว้แล้วไม่อาจผิดสัญญาได้ เจ้าส่งไปบัดนี้”
บ่าวรับใช้ไม่เข้าใจสถานการณ์จึงถาม “ของขวัญให้คุณหนูสี่ นายน้อยต้องเป็นคนส่งไป จึงจะเรียกว่าจริงใจขอรับ”
เซิ่นซูเหวินส่ายหน้าพลันยิ้มขมขื่น “ข้าไม่ไปจวนท่านหญิงดีกว่า ลำบากเจ้าวิ่งไปสักรอบ หากจะให้ดีต้องส่งถึงมือของคุณหนูสี่ด้วยตนเอง หากมีคนถามขึ้น เจ้าพูดตามความจริงว่าเป็นตำราคัดมือจากข้า”
บ่าวรับใช้เพิ่งพบความผิดปกติของนายน้อยตนเอง
เขากังวลอย่างมาก “นายน้อยทะเลาะกับจวนท่านหญิงหรือ ท่านหญิงมองนายน้อยเหมือนบุตรชายของตนเอง หรือว่าคุณหนูสี่ทำให้นายน้อยลำบากใจ”
“อย่าได้พูดเหลวไหล! ไม่มีผู้ใดกลั่นแกล้งข้า ให้เจ้าไปส่งก็ไปส่ง เหตุใดจึงต้องพูดมาก”
“อ่อ!”
เมื่อเห็นนายน้อยของตนเองโกรธขึ้นมาจริงๆ บ่าวรับใช้ก็ไม่กล้าพูดมากอีก
เขาหยิบกระดาษห่อตำรา นำตำราทั้งหลายห่อเอาไว้ วางไว้ในตะกร้า เตรียมตัวไปส่งให้คุณหนูสี่
“นายน้อย ข้าไปแล้ว!”
“ไปเถิด!”
บ่าวรับใช้อาลัยอาวรณ์ เมื่อเขาเดินไปถึงประตูเรือน บังเอิญพบกับลุงสวี่ที่กลับมา
ลุงสวี่ถามเขาว่าทำอันใด เขาย่อมพูดความจริง
ลุงสวี่มองไปทางเซิ่นซูเหวินก่อน จากนั้นจึงพูดกับบ่าวรับใช้ “ในเมื่อนายน้อยสั่งให้เจ้าทำ เจ้าก็ไปทำเถิด ทำให้ดี ต้องส่งไปให้ถึงมือของคุณหนูสี่”
พูดจบ ลุงสวี่ก็ให้เงินแก่บ่าวรับใช้
“ข้ารู้!”
เมื่อบ่าวรับใช้ได้เงินมาก็ดีใจอย่างมาก
ลุงสวี่ปิดประตูลง เดินไปดูเตาไฟในห้องครัวก่อน
จากนั้นเขาจึงถือน้ำร้อนเหยือกหนึ่งมาถึงตรงหน้าเซิ่นซูเหวิน “นายน้อยจะดื่มน้ำร้อนหรือไม่”
“ลุงสวี่นั่งลงก่อน”
สีหน้าของเซิ่นซูเหวินเรียบเฉย
ลุงสวี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะวางเหยือกน้ำไว้บนเก้าอี้เล็ก จากนั้นยกตั่งเล็กใบหนึ่งมานั่งลง
“อีกไม่กี่วันนายน้อยก็ต้องออกไปทำงานนอกเมืองหลวงแล้ว หากป่วยขึ้นมาในเวลานี้จะทำอย่างไร นายน้อยต้องรักษาร่างกายของตนเองให้ดี อย่าได้ดื่มจนมึนเมาอีก ดื่มสุราทำร้ายร่างกาย!”
ลุงสวี่พูดด้วยความเป็นห่วง เขาเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเสียมากกว่า
เซิ่นซูเหวินก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ ไม่เคยเห็นว่าเขาเป็นบ่าวรับใช้
เขาพยักหน้า “ลุงสวี่วางใจ ข้าจะไม่ดื่มจนเมาเหมือนเมื่อคืนอีก แต่ว่า…เหตุใดเมื่อคืนข้าจึงดื่มจนเมา ลุงสวี่คงรู้ดีอย่างมากใช่หรือไม่!”
ใบหน้าของลุงสวี่เรียบเฉย ราวกับบ่อน้ำที่ไม่มีคลื่น
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ “คุณหนูสี่ไม่เหมาะกับนายน้อย”
เซิ่นซูเหวินยิ้ม “ดังนั้นท่านจึงเขียนจดหมายไปให้ท่านพ่อและท่านแม่โดยพลการ หลังจากนั้น ท่านพ่อและท่านแม่จึงปฏิเสธงานหมั้นกับตระกูลเยียนในจดหมายที่ให้ท่านป้า ข้าพูดถูกหรือไม่”
ลุงสวี่ก้มหน้าลง “นายน้อยฉลาด! ไม่มีเรื่องใดปิดบังนายน้อยได้”
“เจ้าพูดผิดแล้ว! หลายปีนี้ เจ้าปิดบังข้าสนิท ไม่เคยเปิดเผยต่อข้าแม้แต่ประโยคเดียว ข้าคิดเสมอว่าเจ้าสนับสนุนข้า จนกระทั่งเมื่อวานที่จวนท่านหญิง…”
สีหน้าของเซิ่นซูเหวินเศร้าโศก
ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาจึงพูดต่อ “ท่านป้าปฏิเสธข้า ข้าไม่เสียใจ แต่เรื่องที่ทำให้ข้าเสียใจคือข้างกายของข้า คนที่ข้าเชื่อใจที่สุดกลับควบคุมเรื่องหมั้นหมายของข้าลับหลังข้า เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อข้าเดาได้ว่าทุกสิ่งเป็นฝีมือของเจ้า ภายในใจข้าเสียใจเพียงใด
เจ้าไม่เห็นด้วยกับการหมั้นนี้ เจ้าสามารถเอ่ยออกมาได้ สามารถตักเตือนข้าต่อหน้าได้ แต่เจ้าไม่ควรรายงานท่านพ่อและท่านแม่ลับหลังข้า ทั้งที่เจ้ารู้ว่าข้าใส่ใจกับการหมั้นในคราวนี้มากเพียงใด ข้าพยายามเพื่อเรื่องนี้มาสองปีเต็มแล้ว แต่เจ้ากลับแทงข้างหลังข้าอย่างแรง ทำให้ข้าเจ็บปวดทุกข์ทรมาน…”
“ข้าทำผิดต่อนายน้อย!”
ลุงสวี่ยอมรับผิดทันที
เซิ่นซูเหวินหัวเราะเยาะ “ปากของเจ้าบอกขอโทษข้า แต่ในใจของเจ้ากลับยืนหยัดว่าการกระทำของเจ้าถูกต้อง ทุกสิ่งล้วนทำเพื่อข้า”
“ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนทำเพื่อนายน้อย ก่อนมาเมืองหลวง นายท่านเคยกำชับข้าให้ดูแลนายน้อยให้ดี หากมีเรื่องเกิดขึ้นรอบตัวนายน้อยต้องเขียนจดหมายรายงานตามความจริง ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนทำตามคำสั่งของนายท่าน อีกทั้งยังคำนึงเพื่ออนาคตของนายน้อย”
เซิ่นซูเหวินได้ยินจึงยิ้มเสียดสี “เจ้าบอกว่าทำเพื่อข้า เหตุใดจึงไม่ถามข้าก่อนตัดสินใจ เจ้าไม่พอใจน้องอวิ๋นเกอ เหตุใดจึงไม่พูดต่อหน้าข้า ข้าไม่คู่ควรกับความเชื่อใจของเจ้าแม้แต่น้อยหรือ ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่ต้องการให้เจ้าช่วยตัดสินใจ เรื่องของข้า ข้าย่อมตัดสินใจเองได้”
เขาปวดใจ ขุ่นเคือง โกรธ…
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองมายี่สิบปี เขาต่อว่าออกมาไม่ได้
ดังนั้นภายในใจของเขายิ่งทรมาน
ลุงสวี่ถอนหายใจ “นายน้อยถูกคุณหนูสี่หลอกจนหลงทิศหลงทางไปนานแล้ว ถึงแม้ข้าจะพูดจนปากฉีก นายน้อยก็ไม่ยอมฟัง ไม่แน่ว่าท่านอาจใช้กลอุบายในการเร่งเร้าให้งานหมั้นนี้ประสบความสำเร็จ นายน้อยฉลาดเกินไป ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายน้อย ข้าทำได้เพียงปิดบังทุกอย่าง แอบส่งจดหมายไปให้นายท่าน จึงจะสามารถยับยั้งงานแต่งนี้ได้ หากนายน้อยจะลงโทษก็ลงโทษมาเถิด!”
เซิ่นซูเหวินหัวเราะเสียงเย็น “เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าน้องอวิ๋นเกอไม่เหมาะสมกับข้า เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าข้าถูกนางหลอกจนหลงทิศหลงทาง”
“คุณหนูสี่เป็นคุณหนูที่มีความสามารถมากก็จริง แต่นิสัยของนางไม่ใช่คนที่มีคุณธรรม นางเป็นคนที่ไม่ยอมอยู่นิ่งสงบอย่างเห็นได้ชัด หากนายน้อยแต่งงานกับนาง เกรงว่าตระกูลจะไม่สงบ”
“เจ้าพูดเหลวไหล!”
“ข้าพูดเหลวไหลหรือไม่ ความจริงแล้วนายน้อยมีการตัดสินใจแล้ว นายน้อยต้องการภรรยาที่ดูแลสามีและบุตร ทำหน้าที่ของตนเอง แต่ไม่ใช่คุณหนูสี่ที่มีความคิดของตนเองเกินไป”
ลุงสวี่พูดอย่างหนักแน่น
เซิ่นซูเหวินไม่อยากฟังแม้แต่ประโยคเดียว “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว! ข้าควรคิดได้แต่แรก เจ้ามีอคติต่อน้องอวิ๋นเกอ เจ้าไม่ชอบคนอย่างนาง ไม่ชอบที่คุณหนูไม่ฝึกฝนการเย็บปักถักร้อย หากมุ่งแต่ทำการค้าหาเงิน
เจ้ารังเกียจน้องอวิ๋นเกอที่ทั้งตัวเหม็นสาบไปด้วยกลิ่นเงิน รังเกียจที่นางมีกำลังมาก ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน แต่ว่าในสายตาของข้า นางเป็นเหมือนแสงสว่างเจิดจ้า นางมีชีวิตที่อิสระจนทำให้คนอิจฉา”
“นางไม่รักษากฎระเบียบ ไร้ซึ่งความสงวนตัวและใจกว้างเหมือนคุณหนู” ลุงสวี่พึมพำ
เมื่อเซิ่นซูเหวินได้ยินจึงหัวเราะเสียงเย็น
เขาลูบหน้า “สุดท้ายเจ้าก็แค่ไม่ชอบนาง”
“นายน้อยพูดถูก ข้าไม่ชอบนางก็จริง นางไม่คู่ควรกับนายน้อย หากนางแต่งงานกับนายน้อย นางย่อมจะนำพาหายนะมาให้นายน้อย ข้าไม่ยอมให้นางทำร้ายนายน้อย ทำลายอนาคตนายน้อยเด็ดขาด”
“เอาเถิด อย่าได้พูดเลย! เวลานี้เจ้าสมหวังแล้ว ท่านป้าปฏิเสธข้าอย่างชัดเจนแล้ว ข้าก็ไม่มีหน้าไปขอให้ท่านป้ายกน้องอวิ๋นเกอให้ข้าอีกแล้ว”
มุมปากของลุงสวี่ยกขึ้น ก่อนจะรีบหุบลงไป
สายตาของเซิ่นซูเหวินแปรเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ เขาพูดกับลุงสวี่ “เจ้ากลับไปเถิด!”
ลุงสวี่ตกใจ!
“กลับไปทำงานข้างกายท่านพ่อ ทางข้าไม่มีตำแหน่งของเจ้าแล้ว”
“นายน้อย…”
“ไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก!”
เซิ่นซูเหวินตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
เขายังคงเคารพลุงสวี่ มองเขาเป็นญาติผู้ใหญ่เหมือนเคย
แต่เขาไม่อาจให้อีกฝ่ายอยู่ข้างกายเขาได้อีก
เขาพูดอย่างหนักแน่น “ขอโทษด้วย! ข้าไม่อาจให้เจ้าอยู่ต่อไปได้แล้ว เจ้ากลับไปเสียเถิด ดีต่อพวกเราทั้งคู่ พรุ่งนี้เจ้าออกเดินทาง”
ริมฝีปากของลุงสวี่สั่นเทา เขาเศร้าใจ ระอา…
“นายน้อยจะไล่ข้าไปให้ได้?”
เซิ่นซูเหวินถอนหายใจ “เจ้าอย่าหาว่าข้าใจร้าย หากเจ้าไม่ไป ข้าเกรงว่าเยื่อใยที่สะสมมาหลายปีระหว่างพวกเราสองคน สุดท้ายแล้วจะรักษาไว้ไม่อยู่”
ลุงสวี่แก่ลงสิบปีในทันที
——————-