บทที่ 1079 เปลี่ยนชื่อ
บทที่ 1079 เปลี่ยนชื่อ
เถียนเสี่ยวเหอจากไปแล้ว ส่วนจางไฉ่อวิ๋นลูบผมยุ่ง ๆ ของตัวเองแล้วกลับไปบ้าง
ทิ้งจูหลานฮวาไว้คนเดียวท่ามกลางสายลม
ทำไมมีแต่ไอ้พวกไร้เหตุผลทั้งนั้น?
ปกติจางไฉ่อวิ๋นไม่ค่อยทำอะไรหรอก แต่ทำไมทุกครั้งที่เจอกับเถียนเสี่ยวเหอจะต้องมีเรื่องทุกที?
หรือเราควรไปไหว้พระดี?
ข่าวนี้ย่อมดังไปถึงหูตระกูลซู
ทำเอาคุณปู่คุณย่าตกใจมาก
ทั้งเรื่องที่พ่อแม่เอาสินสอดสะใภ้ไปเลี้ยงดูลูกชาย
แต่เรื่องที่ลูกสะใภ้อยากได้สินสอดน้องสามีไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
แล้วดูเถียนเสี่ยวเหอยังทำตัวเหมือนเดิมเลย
“ถือว่าจางไฉ่อวิ๋นทำดีนะ ถ้าไม่เปิดเผยเรื่องนี้บ้านเราก็คงไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไรหรอก!”
หวังเซียงฮวาพึมพำ เสี่ยวเฉ่าเป็นเด็กดี แต่เถียนเสี่ยวเหอทำตัวน่ารังเกียจมาก
ถ้าฝ่ายนั้นได้ไปก็ไม่รู้เสี่ยวเฉ่าจะเอากลับมาได้หรือเปล่า
ซูเหล่าต้าแสดงความเห็น “เอากลับมาได้ไม่ได้ไม่สำคัญหรอก เพราะไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น”
ฝ่ายภรรยาหันขวับ “ถึงจะไม่ได้มากมายอะไร แต่มันก็เป็นทองไหม เราจะให้คนอย่างเถียนเสี่ยวเหอชุบมือเปิบเอาไปไม่ได้หรือเปล่า?”
“ฉันก็แค่พูดเฉย ๆ จะอารมณ์เสียไปทำไมเนี่ย?” ฝ่ายสามีรีบอธิบาย “ผู้ใหญ่บ้านกับพี่สะใภ้ต่างก็เป็นคนดี ไม่มีทางปล่อยเถียนเสี่ยวเหอไว้หรอก ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงที่สั่งสมมาได้มลายหายไปแน่”
แค่เรื่องเครื่องประดับก็เสียหน้ามากพอแล้ว
แถมคนต้นเรื่องยังเป็นคนในครอบครัวอีก ถึงจะแยกกันอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่สงบสุขเสียที ดูเหมือนว่าต้องคุยกับซูผิงอันอีกครั้ง จะปล่อยให้เมียทำตัวแบบนี้ไม่ได้!
“เธอไปอธิบายให้น้องใหญ่ฟังเถอะ ปลอบใจลูกด้วยละ”
ซูฉางจิ่วครุ่นคิดก่อนบอกภรรยา
แม้เสี่ยวเฉ่าไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของเรา แม้จะต้องเหินห่างกัน แต่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นน่ะสิจึงเป็นกังวล คงไม่ได้เป็นการบีบคั้นเสี่ยวเฉ่ากับเราให้ห่างเหินกันใช่ไหม?
เขาทำไม่ได้ เพราะเสี่ยวเฉ่าเป็นเด็กดี กตัญญูต่อเรามาก อีกทั้งลูกยังแต่งงานกับตระกูลซู อนาคตอาจได้พึ่งพากันจะปล่อยให้แตกแยกไม่ได้หรอก
เช่นโรงงานกับฟาร์มแห่งนี้ หากไม่ได้พวกเขาตอนนี้ก็คงทำได้แค่จินตนาการอยู่ในหัวต่อไปนั่นละ
นายกอบต.ยังบอกเองเลยว่าไว้เสี่ยวเฉ่าแต่งเมื่อไรจะมาร่วมงานด้วย ทั้งผู้นำในตำบลและผู้นำในอำเภออีก เขาจำต้องเตรียมตัวเอาไว้
ด้วยความที่ทำงานอยู่ในแวดวงนี้มานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าตัวเองมีหน้ามีตามากล่ะ และพวกผู้นำก็อยากสร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลซูที่มีคนใหญ่คนโตจากเมืองหลวงคอยหนุนหลัง
ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน แต่พวกเขาบอกว่าซูชวนมีน้องชายอยู่ที่เมืองหลวงคนหนึ่ง เป็นผู้นำยศใหญ่ ตำแหน่งที่สูงกว่ารัฐมนตรีฉางและรัฐมนตรีอู๋เสียอีก
ทั้งยังบอกอีกว่าชายคนนั้นเคยเป็นผู้นำในมณฑลเราด้วย
ที่จริงเขากำลังคิดอยู่เหมือนกัน
ช่วงงานครบเดือนของเหลน ๆ ภาพมากมายพลันลอยเข้ามาในหัว ถึงตระกูลซูจะไม่ได้แนะนำให้ แต่เขาก็ฉลาดพอจะมองออก
ที่โต๊ะตรงประตูห้องส่วนตัวมีคนมากประสบการณ์นั่งเฝ้าเอาไว้ สายตาจดจ้องราวกับพร้อมจะพุ่งเข้าไปปกป้องเจ้านายตลอดเวลา
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ขนาดเฉินจื่ออันลูกชายบ้านนี้ยังดำรงตำแหน่งใหญ่โต สูงกว่าผู้นำในอำเภอเราเยอะ
จูหลานฮวาไม่รู้ว่าสามีคิดอะไร เธอจึงรีบไปหาลูกตามที่บอก
พอเข้ามาถึงก็เห็นซูเสี่ยวเฉ่าเช็ดน้ำตาโดยมีเซี่ยหนานปลอบโยนข้าง ๆ
“เสี่ยวเฉ่า มันเป็นความผิดแม่เองที่ไม่ดูแลพี่สะใภ้ให้ดีเลยทำให้ลูกขายหน้า”
จูหลานฮวาทรุดตัวนั่งอีกฝ่าย ก่อนจับมือลูกสาวแล้วเอ่ยขอโทษ
“ไม่ใช่ความผิดแม่หรอกค่ะ หนูเป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงหนูมาจนเติบใหญ่ สิ่งที่พี่สะใภ้รองว่ามาไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
หญิงสาวก้มหน้า เอ่ยด้วยความโกรธ
“เหตุผลไร้สาระจริง ๆ แม่กับพ่อเลี้ยงหนูมาเอง และหนูกับเถียนเสี่ยวเหอก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย อีกอย่างนะ เราเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็กเลย ลูกไม่ได้ร้องขอเสียหน่อย เรายินยอมด้วยตัวเอง”
“เด็กดี หนูกำลังจะแต่งงานแล้วนะ อย่าคิดมากเลย เจ้าเด็กคนนี้ อะไร ๆ ก็ดีหมดแต่ดันเป็นคนอ่อนไหว คิดมากเสียอย่างนั้น”
“เฉ่าเอ๋อร์ฟังแม่หนูเถอะ ไม่ต้องคิดเยอะ เดี๋ยวหนูก็จะแต่งงานแล้ว มามีความสุขกันดีกว่านะ” เซี่ยหนานปลอบใจอีกแรง “พอแต่งงานกันเราก็จะเป็นญาติกันแล้วนะ หลังจากนี้พี่สะใภ้คนนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลูกแล้วละ”
เซี่ยหนานรู้สึกว่าที่พูดออกไปฟังดูไม่ดีเท่าไรเลยรีบอธิบาย “พี่ใหญ่ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นนะคะ แค่อยากปลอบใจเสี่ยวเฉ่าน่ะ”
“ฉันรู้ว่าเธอจะสื่ออะไร ไม่ต้องกังวลนะน้องใหญ่ ฉันไม่ได้คิดมาก ลูกสาวแต่งงานออกเรือนไปก็ได้เป็นได้แค่ญาติ ถ้าเข้ากันได้ดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่ก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันไปเลย!”
เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อย ตนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว
คำพูดของแม่ทั้งสองทำให้ซูเสี่ยวเฉ่าสบายใจจริง ๆ
เธอรีบเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยกยิ้ม
“แม่ ฉันดีใจที่แม่ได้ไปเมืองหลวงนะ หลังจากนี้ฉันจะได้กลับมาที่นี่น้อยลง!”
“น้องใหญ่ ฉันว่าจะเปลี่ยนชื่อให้เสี่ยวเฉ่าตอนแต่งงานน่ะ” จู่ ๆ จูหลานฮวาก็เอ่ยขึ้น
ประโยคเดียวทำคนทั้งสองตกใจ
“ทำไมถึงเปลี่ยนล่ะคะ?”
เพราะชื่อเสี่ยวเฉ่ามันก็ดูเป็นธาตุดินอยู่นะ
เพราะในชนบทเชื่อว่าการตั้งชื่อง่าย ๆ ทำให้เลี้ยงง่ายน่ะ*[1] ด้วยเหตุนี้ ตอนที่รับเสี่ยวเฉ่ามาเลี้ยงก็กลัวว่าจะเลี้ยงลูกไม่ไหว เลยตั้งชื่อนี้ให้
“เธอก็เห็นว่าลูกสะใภ้ฉันเป็นพวกไม่ใส่ใจอะไรสักอย่าง เปลี่ยนชื่อเสี่ยวเฉ่าเสียเลยจะได้ไม่เป็นลูกสาวบ้านเราแล้วไงละ นังนั่นจะได้เห็นว่าถ้านึกจะทำอะไรก็ต้องขบคิดบ้างแล้วละ*[2]”
ถ้าเถียนเสี่ยวเหอไม่ได้ทำตัวน่ารังเกียจขนาดนั้น จูหลานฮวาคงไม่คิดเปลี่ยนชื่อลูกหรอก
แต่เพราะฝ่ายนั้นมันมากเรื่อง คิดจะบงการลูกสาวเราน่ะสิ
ถ้าเสี่ยวเฉ่าเปลี่ยนชื่อ เธอก็จะไม่ใช่ลูกสาวบ้านเราอีกต่อไป คราวนี้เถียนเสี่ยวเหอจะเอาชื่อลูกเรามาอ้างก็ลำบากแล้ว
“แม่ ฉันไม่เอาด้วยหรอก!” ซูเสี่ยวเฉ่าคัดค้านทันที
“เสี่ยวเฉ่า หนูยังเป็นลูกสาวแม่กับพ่อเหมือนเดิมขอแค่ใจคิด หนูคงไม่เลิกกตัญญูเราเพราะเปลี่ยนชื่อใช่ไหมล่ะ?”
อาจจะเพราะได้ไปอยู่ที่เมืองหลวงมาหลายเดือน หลาย ๆ ความคิดจึงเปลี่ยนไป
จะเป็นการดีกว่าสำหรับลูกนะ อย่างน้อยก็ดีสำหรับตอนนี้น่ะ
แถมเด็กผู้หญิงในเมืองหลวงชื่อเพราะกันทั้งนั้น ตอนที่อยู่หมู่บ้านก็ไม่คิดว่าเสี่ยวเฉ่าจะแย่ตรงไหน แต่พอไปที่นั่นกลับพบว่าไม่เป็นที่นิยมสักนิด
จึงใช้โอกาสนี้เปลี่ยนชื่อลูกเลยแล้วกัน
[1] คนจีนเชื่อว่า หากตั้งชื่อง่าย ๆ แก่ทารกจะทำให้เลี้ยงง่าย ทำให้ผีสางหรือเทพเจ้าไม่สังเกตเห็นเด็ก จึงไม่ขโมยเด็กไป
[2] มาจากคำสอน ‘หากนามไม่เที่ยง วาจาย่อมไม่ราบรื่น หากวาจาไม่ราบรื่น กิจย่อมไม่สำเร็จ’ ซึ่งหมายถึง การจะทำสิ่งใด จำต้องมีชื่อและเหตุผลที่เหมาะสมเสียก่อน เรื่องนั้น ๆ จึงจะเหมาะสม เพื่อเป็นสร้างแรงดึงดูดเชิงบวก แต่ถ้าเริ่มไม่ดีมาแต่แรก อาจจะทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ทำอะไรไม่สำเร็จก็เป็นได้