คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1438

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1438 เคล็ดวิชาสี่ทมิฬแปลงเกราะ

หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียว ใจพลันหายวาบ

ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวนี้มีพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา ไม่ด้อยไปกว่าสามมหาอาวุโสที่เผยตัวในการประชุมแน่ มิน่าล่ะสามคนนี้ถึงได้มีมารยาทกับคนผู้นี้ขนาดนี้

และยิ่งไปกว่านั้นหานลี่รู้สึกสนใจเกราะสีเขียวบนร่างของคนผู้นี้จริงๆ รูปร่างดูเหมือนเรียบๆ ผิวเป็นสีเทาตุ่นๆ ธรรมดาๆ และไม่มีอักขระเขตอาคมใดๆ แต่หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเกราะแล้ว กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด หลังจากที่เหลือบมองไปสองแวบ ฉับพลันนั้นพลันเบิกตากว้าง ราวกับว่านึกถึงเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออะไรสักอย่างได้

หากเขารู้สึกไม่ผิดล่ะก็ สิ่งที่เรียกว่า ‘เกราะสีเขียว’ นั้นคาดไม่ถึงว่าจะสร้างขึ้นจากไอทมิฬที่หนาแน่น มิน่าล่ะถึงได้คุ้นเคยกับกลิ่นอายของเกราะเกราะนี้ถึงเพียงนี้

แต่ไอทมิฬจำนวนมากอยู่บนร่าง ไม่เพียงร่างกายจะไม่เป็นไร กลับสามารถบีบออกมานอกร่างกายสร้างเป็นรูปร่างได้

ความสามารถชนิดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง

บนร่างของทุกคนล้วนสวมเกราะสงครามรูปทรงต่างๆ หลากสีสันเอาไว้

รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ขณะที่พิจารณาอย่างละเอียดรูม่านตาพลันอดที่จะหดเล็กลงไม่ได้

เกราะสงครามบนล่างของคนเหล่านี้คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับบนร่างของผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียว ถูกสร้างขึ้นจากไอทมิฬเช่นกัน แต่แค่เป็นเพราะพลังยุทธ์ตื้นเขินและจำนวนของไอทมิฬแตกต่างกัน บ้างกลับลางเลือน บางกลับกระพริบวาบๆ

มองไอทมิฬต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันของนักรบเกราะแล้ว หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ความคิดพลันเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็วไม่หยุดในเวลาเดียวกัน

และในตอนนั้นเองหลังจากที่ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวพลันกวาดสายตาไปยังมหาอาวุโสทั้งสามเสร็จแล้ว ก็เผยรอยยิ้มออกมา

“สามร้อยปีเผ่าของข้าถึงจะมีการทดสอบครั้งหนึ่ง ผู้แซ่จินจะประมาทได้อย่างไร ทว่าช่วงนี้ปีศาจในหุบเหวค่อนข้างกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข หากช้าไปสักปีสองปี ไม่ว่าอย่างไรผู้แซ่จินก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับการทดสอบนี้”

“ฮ่าๆ ดังนั้นหลังจากที่พวกเราได้รับข่าวจากนองเถี่ยแล้ว ก็เลื่อนเวลาในการทดสอบให้เร็วขึ้นหน่อย ตอนนี้คลื่นทมิฬของหุบเหวน่าจะยังไม่ก่อตัวกระมัง” ชายชราเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

“ยัง จากปฏิกิริยาของสมบัติที่ใช้ตรวจสอบแล้ว แม้ว่าตอนนี้ไอทมิฬจะอันตรายกว่าปกติ แต่ยังห่างจากการระเบิดอีกอย่งาน้อยหนึ่งปี แต่ปีศาจทมิฬใต้ดินอาจจะออกจากรังชั้นแล้ว ดังนั้นข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าในการทดสอบสามชั้นแรก จะมีแค่ปีศาจทมิฬระดับแม่ทัพวิญญาณ อัตราในการบังเอิญประสบกับปีศาจหุบเหวระดับสูงก็มีมากขึ้นด้วย แต่ระดับราชันย์ปีศาจนั้น ยังไม่ถึงกับมาปรากฎตัว อันตรายในนั้น อาวุโสการประชุมอย่างพวกเจ้าคงพิจารณาเองได้ หากความเสียหายใหญ่เกินไป ก็อย่ามาโทษว่าผู้แซ่จินไม่ตักเตือน” ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ขอแค่ไม่มีระดับราชันย์ปีศาจปรากฎตัว ก็ไม่เป็นไร เริ่มการทดสอบได้” บุรุษผมขาวเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้าน หากพลาดโอกาสนี้ไป การทดสอบคงจัดขึ้นภายในร้อยปีนี้ไม่ได้แน่ สาขาจำนวนนับไม่น้อยไม่มีทางรอนานขนาดนั้นไหว” หลังจากที่หญิงชราขมวดคิ้วแล้ว ก็เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า

ชายชราที่ใบหน้ามีรอยสักกลับขบคิดอยู่นาน แล้วถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพลางพยักหน้า

เมื่อเห็นทั้งสามตกลง ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวก็เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาในทันที มือหนึ่งชูขึ้นไปกลางอากาศ

ลูกบอลลำแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศในระยะสองสามร้อยจั้ง

เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ลูกบอลลำแสงระเบิดออก ม่านลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งขยายใหญ่ขึ้น

กลางอากาศมีดวงอาทิตย์สีเขียวเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งปรากฎขึ้น พลันเปล่งแสงเจิดจ้า

คนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่สวมชุดเกราะสงครามที่อยู่ด้านหลังเห็นฉากนี้ ก็แบ่งออกเป็นสองแถว เปิดเป็นทางเดินสายหนึ่งที่ตรงกลาง

คนที่มีพลังยุทธ์แตกต่างกันจำนวนมากเช่นนี้ แต่กลับทำอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้ปริปากใดๆ แน่นอนว่าพลังแรงกดที่ไร้รูปร่างพลันประทุขึ้นไปบนท้องฟ้า

เมื่อเห็นฉากนี้อาวุโสของสาขาต่างๆ นั้นยังพอว่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ส่วนบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเข้าร่วมการทดสอบเป็นครั้งแรกอย่างหานลี่กลับเกิดเสียงวุ่นวายขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

สามมหาอาวุโสที่อยู่หน้าสุดกวักมือไปทางด้านหลัง แล้วบินออกไปด้านหน้าพร้อมกัน

ชั่วขณะนั้นกองทัพทั้งหมดพลันเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอีกครั้ง ฝูงชนค่อยๆ บินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

หานลี่นั่งอยู่บนวิหคยักษ์ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงพลันพิจารณานักรบเกราะทั้งสองฝั่ง

ผลคือพบว่านักรบเกราะเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าราบเรียบไม่ปริปากไม่แย้มยิ้ม บางครั้งก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา หนึ่งในนั้นที่มีพลังยุทธ์ต่ำหน่อยก็อายุยังน้อย

ทว่าผู้ที่เรียกว่ามีพลังยุทธ์ต่ำหน่อยอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในระดับหลอมรวมขึ้นไป

ในนั้นมีนักรบเกราะที่ระดับเทียบเท่ากับระดับก่อกำเนิดและเทพแปลงอยู่เต็มไปหมด แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสูญอย่างระดับผู้บัญชาการวิญญาณก็ยังมีอยู่ไม้น้อย

หานลี่รู้สึกกังขาในใจ

ผู้พิทักษ์หุบเหวที่มาประจำการที่นี่คาดไม่ถึงว่าจะใกล้เคียงกับผู้บำเพ็ญเพียรเมืองเทวะสวรรค์ของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเขา

แต่แค่จำนวนผู้พิทักษ์ของที่นี่น้อยกว่าเมืองเทวะสวรรค์ แต่ระดับที่ร้ายกาจกับเป็นสิ่งที่เมืองเทวะสวรรค์ไม่อาจเทียบเทียมได้ ประกอบกับผู้ที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่มักจะต่อสู้กับปีศาจที่โผล่ออกมาจากหุบเหว จึงมีประสบการณ์เฟื่องฟูมากกว่าคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั่วไป

และยิ่งไปกว่านั้นดูจากรูปร่างของสิ่งปลูกสร้างที่นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้พิทักษ์ทุกคนที่จะบินออกมาจากที่นั่น

ในตอนที่หานลี่ขบคิดในใจไม่หยุดนั้นกลุ่มคนก็ข้ามผ่านฝูงชนไปถึงเบื้องหน้าหอคอยขนาดใหญ่ด้านล่าง

อาวุโสแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ คาดไม่ถึงว่าจะให้ลูกศิษย์ทุกคนพักอยู่ชั่วคราวเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณ จากนั้นเมื่อพลังอยู่ในระดับสุดยอดในเช้าตรู่วันถัดไปก็จะเริ่มการทดสอบ

คนของเผ่าวิหคสวรรค์ต่างเข้าไปพักในหอคอยเดียวกัน

จินเย่ว์และอาวุโสสือพักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามคนพักกันคนละชั้น จะได้ไม่รบกวนการพักผ่อนของกันและกัน

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็พลันขมวดคิ้วในใจ

ได้พักอยู่ที่นี่หนึ่งคืนเดิมทีเขานั้นรู้สึกยินดีมาก แต่ครานี้ถูกจินเย่ว์และพวกทั้งสองสั่งว่าไม่ให้ออกไปไหนและยิ่งไปกว่านั้นยังเฝ้าอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เช่นนั้นแผนการที่เขาเพิ่งคิดออกก็คงยุ่งยากแล้ว

หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนเตียง แต่ไม่ได้เข้าสู่ห้วงสมาธิ สายตาเปล่งประกายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เขาดูเหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นได้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มแห้งเ**่ยวออกมา ทันใดนั้นพลันหยัดกายลุกขึ้นพลางตรงไปยังชั้นหนึ่ง

เมื่อร่างของเขามาปรากฏที่หัวบันไดชั้นหนึ่งจินเย่ว์และอาวุโสสือที่นั่งสมาธิหลับตาอยู่บนเก้าอี้ ก็เบิกตาทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกันมองมาด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

หานลี่ใจหายวาบ

“สหายหานเจ้าไม่ยอมพักผ่อนดีๆ มาที่นี่ทำไม หรือว่ามีเรื่องสำคัญอันใดงั้นหรือ?” หญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไร คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุโสสือที่เอ่ยปากขึ้นมา

“ชนรุ่นหลังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำอยากออกไปข้างนอกสักหน่อย” หานลี่เอ่ยอย่างซื่อสัตย์

“เรื่องอันใด? ต้องออกไปตอนนี้” จินเย่ว์มีท่าทีไม่พอใจอยู่เล็กๆ

การทดสอบใกล้เข้ามาแล้วแน่นอนว่า สตรีผู้นี้จึงอยากให้หานลี่นั่งสมาธิอยู่ในหออคอยอย่างว่าง่าย ไม่อยากให้เขาคิดเรื่องอื่นอีก

“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก! แค่ชนรุ่นหลังเห็นไอทมิฬที่รวมตัวกันเป็นเกราะของผู้พิทักษ์หุบเหวแล้วรู้สึกสนใจมากจึงอยากจะหาคนมาช่วยสอนสักหน่อย” หานลี่หัวเราะคาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตรงๆ

“เกราะรวมไอทมิฬเจ้าหมายถึงเคล็ดวิชาสี่ทมิฬแปลงเกราะหรือ? เคล็ดวิชานี้ต้องมีไอทมิฬในร่างจำนวนมหาศาลถึงจะมีประโยชน์ มิเช่นนั้นหากไอทมิฬน้อยเกินไปก็ไม่มีอานุภาพอันใด เจ้าถามถึงเคล็ดวิชานี้ทำไมหรือ?” จินเย่ว์ตะลึงงันพลันเอ่ยชื่อของเคล็ดวิชาลับนี้ออกมา ในเวลาเดียวกันก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กๆ ออกมา

อาวุโสสือที่อยู่ด้านข้างเองก็มีสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน

หานลี่ได้ยินก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา มือหนึ่งพลันร่ายอาคมบนร่างเปล่งลำแสงสีทองสว่างจ้าฉับพลันนั้นกลิ่นอายอันลึกซึ้งกลุ่มหนึ่งพลันทะลักออกมา ไอทมิฬที่หนาแน่นกลุ่มหนึ่งผุดออกมาจากส่วนลึกของร่างกาย

คาดไม่ถึงว่าเขาจะบีบไอทมิฬที่ใช้หลอมคาถาวัชระในตอนแรกออกมาจากส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกครั้ง

เมื่อเห็นไอทมิฬนี้หญิงสาวและอาวุโสสือพลันตกตะลึงไปพร้อมกัน

“เจ้ามีไอทมิฬที่เข้มข้นขนาดนี้ มิน่าล่ะจึงสนใจเคล็ดวิชาสี่ทมิฬแปลงเกราะ ฮ่าๆ ทว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องไปถามคนนอกหรอกเคล็ดวิชานี้ไม่ใช่เคล็ดวิชาลับอะไร ตาเฒ่าเชี่ยวชาญเคล็ดวิชานี้สามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้ทั้งชุด จากไอทมิฬจำนวนมากในร่างของเจ้าก็อาจจะนำมาใช้ในการทดสอบของวันพรุ่งนี้ได้” อาวุโสสือหัวเราะออกมายกใหญ่ เอ่ยสิ่งที่หานลี่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกออกมา

วันนั้นเขาเห็นผู้พิทักษ์หุบเหวธรรมดาจำนวนมากเชี่ยวชาญเคล็ดวิชานี้ ในฐานะอาวุโสของเผ่าอย่างจินเย่ว์และพวกทั้งสองก็น่าจะรู้จักเคล็ดวิชานี้

ครานี้ดูแล้วคงไม่ได้เดาผิด

“อาวุโสสือจะยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับนี้ให้จริงๆ หรือ ชนรุ่นหลัง ซาบซึ้งใจจริงๆ แต่ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชานี้ยากหรือไม่จะใช้ได้ในข้ามคืนหรือ?” หานลี่ฝืนระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้และตอบกลับอย่างนอบน้อม

“หึๆ ขอแค่สหายหานยอมช่วยให้เหลยหลันและพวกผ่านการทดสอบนี่ก็เป็นสิ่งขอบคุณที่ยิ่งใหญ่สำหรับตาเฒ่าแล้ว วางใจเคล็ดวิชานี้ไม่ได้ซับซ้อนจากพลังยุทธ์ของสหายหานลี่ก็เรียนรู้ได้สักสองสามขั้นแล้ว ส่วนความสามารถขั้นท้ายๆ จำต้องใช้ไอทมิฬมหาศาลเดิมทีเจ้าก็ไม่อาจสำแดงได้อยู่แล้ว” อาวุโส

สือโบกมือเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

แน่นอนว่าหานลี่จึงพยักหน้าไม่หยุด

จินเย่ว์ฟังมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาคัดค้านกลับหลับตาลงอีกครั้งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ดังนั้นก็เห็นว่าอาวุโสสือควักกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วมือนิ้วหนึ่งออกมาจากอกเสื้อถือบนมืออย่างเงียบๆ ชั่วครู่ชูมือขึ้นโยนออกไปและเอ่ยว่า

“ข้าใส่คาถานี้ลงไปในนี้แล้ว เจ้าเอากลับไปศึกษาดูเถิด”

“ขอบพระคุณท่านอาวุโส!” หานลี่เอ่ยขอบคุณ รับกระบอกไม้ไผ่ไว้แล้วถอยกลับขึ้นไปยังบันไดด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็กลับไปยังที่พักของตัวเองอย่างไม่ชักช้าอีก

นั่งสมาธิอยู่บนเตียง หานลี่ใช้มือหนึ่งถือกระบอกไม่ไผ่แตะไปบนหน้าผากของตัวเอง ดวงตาทั้งสองปิดสนิทพลันแทรกจิตสัมผัสเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่

ชั่วขณะนั้นตัวอักษรโบราณสีเขียวพลันสะท้อนเข้าไปในหัวของหานลี่อย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่ต้นจนจบหานลี่มีสีหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นหานลี่พลันดึงกระบอกไม้ไผ่ออกจากหน้าผาก เปล่งประกายสว่างวาบพลันเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ จากนั้นสีหน้าพลันผ่อนคลายลง

เคล็ดวิชาชุดนี้เหมือนที่ท่านอาวุโสกล่าวเอาไว้ ดูแล้วไม่ได้ซับซ้อนนักคืนเดียวก็รวบรวมเกราะทมิฬชั้นที่หนึ่งออกมาได้

หานลี่ขบคิดในใจสองมือวางไปบนตัก เริ่มเรียนรู้คาถานี้

ขั้นตอนนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ลืมตาขึ้นเลยแต่ไอทมิฬสีดำอ่อนชั้นหนึ่งพลันเริ่มปรากฏขึ้น

ไอทมิฬบัดเดี๋ยวหมุนวนไม่แน่นอนบัดเดี๋ยวก็สงบนิ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มหมุนวนรอบตัวเขาอย่างรุนแรงกลายเป็นพายุสีดำชั้นหนึ่งทำให้ร่างกายของหานลี่เลือนรางแล้วค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท