คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 2396 โซ่แห่งกฎเกณฑ์

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

หลังจากที่นัดกันสองสามรอบ ในที่สุดหานลี่ก็ขอตัวลาออกไปจากห้องศิลา

หลังจากผ่านไปชั่วครู่หลังจากที่กลางอากาศเหนือตำหนักมีเสียงอึกทึกดังขึ้น สำเภายักษ์สีดำลำหนึ่งก็พุ่งมาจากจุดที่ไกลออกไป

หานลี่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ มองไปยังกลางอากาศที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้ามีสีหน้าครุ่นคิด

“สามี สหายหมิงผู้นั้นมาหาท่านมีเรื่องอันใดหรือ?” ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงอ่อนโยนดังมา นั่นก็คือหนานกงหวั่นที่เดินนวยนาดเข้ามา แล้วพลันเอ่ยถาม

“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว หลังจากกลับไปที่ห้องโดยสารในสำเภาแล้ว พี่จะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดก็แล้วกัน” หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่น ถึงได้หันกายเดินไป

สองสามเดือนต่อมาภายในห้วงเวลาลึกลับแห่งหนึ่ง อสูรยักษ์หน้าตาโหดเหี้ยมสามตัวกำลังกัดโซ่สีม่วงอมทองเส้นหนึ่งแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจพลางจ้องเขม็งไปที่อีกฝั่งของโซ่สามเส้นนั้น เป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่เรือนกายมีโซ่พันรัดอยู่เช่นกัน

แม้ว่าชายหนุ่มจะถูกกักจนต้องยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว กลับใช้สายตาเยาะเย้ยมองไปที่อยู่ยักษ์สามตัวที่อยู่ข้างกายไม่หยุด

ทว่าหลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ในที่สุดชายหนุ่มชุดคลุมสีดำก็อ้าปากออก แต่น้ำเสียงเย็นชามาก ไร้ซึ่งความรู้สึก

“หากยามนี้พวกเจ้าสามคนยอมศิโรราบ ข้าก็จะทำตามสัญญาก่อนหน้า ยอมไว้ชีวิตพวกเจ้า รับพวกเจ้าเป็นผู้รับใช้ และหลังจากนี้จะพาพวกเจ้าไปที่แดนเซียน มิเช่นนั้นรอให้โซ่แห่งกฎเกณฑ์ทำการแว้งกัดอย่างเป็นทางการ เจ้าและพวกทั้งสามก็จะเพลี้ยงพล้ำไปพร้อมกันด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์”

“เป็นไปไม่ได้! การแว้งกัดของโซ่แห่งกฎเกณฑ์น่าจะมีผลแค่กับเซียนในแดนเทพเซียนอย่างเจ้า เหตุใดถึงดึงพวกเราสามคนไปด้วย! ต่อให้โซ่เส้นนี้แว้งกัดจริงๆ ก็น่าจะเป็นเจ้าที่ต้องรับพลังของมันมากกว่าครึ่งหนึ่ง ที่เหลือพวกเราสามคนย่อมรับไว้ น่าจะไม่มีปัญหาอันใด” อสูรประหลาดตัวหมีหัวกวางหนึ่งในนั้นส่งเสียงขึ้นด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

“หึๆ ก็ไม่รู้เจ้าโง่ผู้ไหนบอกวิธีการของโซ่แหงกฎเกณฑ์ชนิดนี้กับพวกเจ้า เป็นการรู้จักมันเพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้านำมาใช้กับตัวข้า ทว่าหากไม่ใช่เพราะข้ามีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว ใช้สมบัติลับห้วงเวลาดึงพวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันได้ทันเวลา เกรงว่าก็อาจจะพบกับการล้างแค้นของผู้อื่นที่อยู่ด้านนอกได้ แต่ยามนี้หรือ พวกเราถูกตรึงไว้ด้วยกัน ทำได้เพียงต้องการแว้งกัดของพลังแห่งกฎเกณฑ์อย่างเงียบๆ เท่านั้น แต่ความร้ายกาจของมันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างพวกเราจะจินตนาการได้ ต่อให้เป็นการแว้งกัดแค่เล็กๆ ก็เพียงพอจะทำให้พวกเจ้าตายคาที่ได้แล้ว ยามนี้พวกเจ้าสัมผัสได้ว่าพลังเที่ยงแท้ภายในร่างเริ่มถูกโซ่แห่งกฎเกณฑ์กลืนกินไปทีละนิดๆ แล้วสินะ ส่วนความแข็งแกร่งของเซียนอย่างข้า ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะเทียบเทียมได้ ประกอบกับข้ายังมีสมบัติเซียนคุ้มครองร่าง ต่อให้ถูกแว้งกัดมากกว่านี้ก็แค่ต้องพักฟื้นสักระยะเท่านั้น” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำหัวเราะหึๆ เอ่ยด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความดูแคลน

“เหลวไหล! วิธีนี้เป็นสิ่งใต้เท้าราชาจินหลงถ่ายทอดมาด้วยตัวเอง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร เจ้าอยากใช้ยาลูกกลอนเพียงเด็ก ก็จะยุยงพวกเราได้หรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าก็รออย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว จะมาพูดกับพวกเราสามคนทำไมกัน!” อสูรตัวหมีหัวกวางแค่นเสียงหึ แล้วแผดเสียงคำรามเอ่ยตอบ

ส่วนอสูรที่เหลืออีกสองตัวได้ยินคำนี้ล้วนมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง

“หากไม่ใช่ว่าข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่อยากล่าช้าพูดจาไร้สาระอยู่กับพวกเจ้า ช่างเถิด ข้าจะให้สัญญากับพวกเจ้าอีกข้อ ขอแค่ผู้ใดยอมหยุดก่อน นอกจากข้าจะพาไปที่แดนเซียนแล้ว ยังจะมอบยาลูกกลอนจิตวิญญาณเที่ยงแท้ให้เม็ดหนึ่ง ให้ผู้นั้นกลายเป็นจิตวิญญาณเซียนเที่ยงแท้ แต่คำสัญญานี้จะมีผลแค่ครึ่งวันเท่านั้น หากเลยเวลาก็อย่าคิดว่าข้าจะตอบรับเงื่อนไขใดๆ อีก” ในที่สุดชายหนุ่มชุดคลุมสีดำก็เผยสีหน้าหมดความอดทนออกมา

“ยาลูกกลอนจิตวิญญาณเที่ยงแท้”

อสูรประหลาดอีกสองตัวได้ยินคำสัญญานี้ ล้วนใจสั่นเทา! แววตาฉายแววร้อนแรงขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย

ยาลูกกลอนชนิดนี้มีผลในการดึงดูดใจพวกเขาเป็นอย่างมาก แทบจะทำให้ใจเต้นระรัวในพริบตา

“จะวิญญาณแหลกสลายหลังจากนี้ หรือกลายเป็นผู้รับใช้ของเซียนและได้รับพระราชทานยาลูกกลอนพร้อมกันไปที่แดนเซียน ก็แล้วแต่พวกเจ้าจะเลือก ส่วนสัญญาที่พวกเจ้ามีกับเผ่าเขาแมลง หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ทั้งหมดนั้น ข้าจะช่วยพวกเจ้าตัดมันเอง และจากนี้ ข้าจะไม่เอ่ยอีกแม้แต่ ‘คำเดียว’ ” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำเอ่ยจบพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา หลับตาทั้งสองข้างลง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนกำลังหลับตาทำสมาธิอย่างสบายใจทั้งที่ถูกกักตัวอยู่

อสูรยักษ์สามตัวได้ยินก็มองสบตากันแวบหนึ่ง อดที่จะเผยสีหน้าแตกต่างกันออกมาไม่ได้ ยามนั้นผู้ใดก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใด

และเมื่อเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป จิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสามที่กลายเป็นอสูรประหลาดก็สัมผัสได้ว่าโซ่แห่งกฎเกณฑ์กำลังกลืนกินพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพวกมันสำแดงเคล็ดวิชาลับออกมาต้านทานจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ไม่มีผลเลยสักนิด กลับเป็นการเร่งพลังแห่งกฎเกณฑ์ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ครานี้อสูรทั้งสามเริ่มรู้สึกลนลานขึ้นมาจริงๆ แล้ว

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป รอจนโซ่แห่งกฎเกณฑ์กลืนกินอย่างเป็นทางการ พละกำลังของเขาก็คงถูกทำลายจนเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนแล้ว จะมีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร

นกกระจอกยักษ์และและอสูรประหลาดหัววัวพลันเริ่มมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส

“สหายทั้งสอง พวกเจ้าคงไม่หลงกลคำพูดของเขาหรอกกระมัง” อสูรยักษ์ตัวหมีหัวกวางมองสหายร่วมวิถีที่หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นก็คำรามเสียงต่ำใส่อสูรที่เหลืออีกสองตนด้วยความไม่เป็นมิตร และดึงโซ่ในปากตามจิตสำนึก ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นแห่งกฎเกณฑ์ก็สลายออก

“จะเป็นไปได้ๆ อย่างไร แม้ว่ายาลูกกลอนวิญญาณเที่ยงแท้จะล้ำค่า แต่ก็ไม่ถึงกลับทำให้ข้าน้อยทำเรื่องเช่นนี้ได้ ทว่าบอกไว้ก่อนนะว่าการแว้งกัดของโซ่แห่งกฎเกณฑ์นั้น ดูเหมือนพวกเราจะไม่ควรมองข้าม ถึงอย่างไรเสียมันก็เกี่ยวข้องกับชีวิต” อสูรประหลาดอีกตัวที่หัวมีหัวโคยักษ์สองหัวเรือนกายมีเกล็ดมังกรเต็มไปหมดเอ่ยขึ้นอย่างลังเลเล็กน้อย

“ใช่แล้ว แม้ว่าพวกเราและเผ่าเขาแมลงจะยืมพลังของสมบัติสวรรค์ทมิฬมาทำสนธิสัญญาโบราณ แต่ก็ไม่ได้มีเหตุผลจะส่งตัวเองไปตาย ต้องวางแผนอีกครั้ง” วิหคยักษ์อีกตัวที่มีขนาดสิบจั้งเศษ เรือนกายถูกเปลวเพลิงลำแสงสีเทาห่อหุ้มเอาไว้ แววตาเปล่งประกายสับสนขณะเอ่ยปาก

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าทั้งสอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ต้องปรึกษากันสักหน่อย แต่ก่อนหน้านั้นข้ากลับยังมีข้อเสนอที่ดีกับพวกเรา” อสูรประหลาดตัวหมีหัวกวางครุ่นคิดเนิ่นนาน ถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงไปหาอสูรอีกสองคนอย่างจนปัญญา ในเวลาเดียวกันร่างกายก็พลิ้วไหว ลอยไปทางนกกระจอกยักษ์ที่อยู่ใกล้เคียง

“พี่ลู่หยุดนะ มีอันใดยืนพูดตรงนั้นก็ได้ ไม่ต้องเข้ามา” นกกระจอกยักษ์สีเทาตัวนั้นเห็นสถานการณ์เช่นนั้น แววตาพลันเปล่งประกาย พลางร้องตะโกนด้วยเสียงเหี้ยม

“อันใด สหายไม่เชื่อข้าแล้วหรือ” อสูรประหลาดตัวหมีหัวกวางได้ยิน ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

“หึๆ ข้าน้อยจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร แค่ยามนี้พวกเราอย่าเข้าใกล้กันมากไปจะดีกว่า พี่ถีหลง เจ้าคิดว่าอย่างไร!” นกกระจอกยักษ์สีเทาหัวเราะหึๆ แล้วหันไปถามอสูรโคสองหัวที่มองดูสถานการณ์อยู่อีกด้าน

“เรื่องนี้หรือ…ทุกท่านถูกเผ่าเขาแมลงเซ่นไหว้บูชามาโดยตลอด จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร…” อสูรหัวโคสองหัวหัวเราะแห้งๆ ออกมา คิดจะเอ่ยไกล่เกลี่ยมั่วๆ แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง โซ่สีม่วงที่เขากัดอยู่ก็สั่นเทา พลังมหาศาลที่ยากจะต้านทานทะลักออกมา คาดไม่ถึงว่าจะทำให้คำพูดด้านหลังของอสูรตัวนี้หายไป ปากใหญ่ๆ เต็มไปด้วยโลหิตสดๆ

อสูรตัวนี้ร้องครวญครางอย่างนึกไม่ถึง แล้วถูกโซ่สีม่วงทองในปากดิ้นรนจนหลุดออกมา ยามที่กำลังคิดจะอ้าปากกัดลงไปอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเหนือศีรษะก็มีเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังขึ้น จากนั้นก็รู้สึกเพียงว่าอากาศมืดมน ตราประทับสีโลหิตขนาดเท่าภูเขายักษ์ปรากฏขึ้นอยู่ห่างจากศีรษะของเขาแค่คืบอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน และกดลงมาพร้อมกับอักขระยันต์สีทองและเงินจำนวนนับไม่ถ้วน

อสูรตัวนี้ตกตะลึงจนหน้าถอดสี แล้วคิดจะหลบหลีก แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า มือทั้งสองกลายเป็นกีบเท้ายักษ์สีดำสนิทโจมตีไปที่ตราประทับยักษ์สีโลหิต

เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น

ชั่วพริบตาที่กีบเท้ายักษ์ทั้งสองสัมผัสกับตราประทับยักษ์สีโลหิต ก็กลายเป็นผุยผงระเบิดออกทันที กายเนื้อของเขาและจิตวิญญาณในร่างเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ ทันใดนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วสลายออก

ยามนี้เหนือตราประทับยักษ์สีโลหิตพลันมีระลอกคลื่นเปล่งแสงสว่างวาบ ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำปรากฏขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา

แทบจะในเวลาเดียวกันชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่ถูกโซ่สีม่วงทองพันรัดอยู่ตรงกลางอสูรทั้งสามก็หายไปตามสายลมอย่างเงียบเชียบด้วยใบหน้าแปลกประหลาด

“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะหลุดจากพันธนาการจากโซ่แห่งกฎเกณฑ์ได้อย่างไร!” นกกระจอกสีเทายักษ์ตัวนั้นเห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงก็ตกใจจนขวัญกระเจิง หลังจากร้องเสียงแหลมออกมา ก็พ่นโซ่ในปากออกอย่างร้อนรน ปีกขนนกสีเทาสองข้างเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นลำแสงสีเทาพุ่งออกไปด้านหลัง

เสียง “ปัง” ดังขึ้น

ฝ่ามือยักษ์ที่เต็มไปด้วยขนสีดำโจมตีเข้ามาราวกับกำลังตบแมลงวัน ทำให้นกยูงยักษ์ที่ไม่ทันระวังตัวถูกตบจนถอยหลังไป ตีลังกาสิบกว่ารอบถึงได้ฝืนหยุดกายให้มั่นคงกลางอากาศได้

ยามนี้อสูรประหลาดตัวหมีหัวกวางถึงได้เผยสีหน้าโหดเหี้ยมชักแขนข้างหนึ่งกลับไป

“หยางลู่ เจ้าบ้าไปแล้ว…อ๋อ…ข้าเข้าใจแล้ว คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะชิงไปขอที่พึ่งกับอีกฝ่ายก่อน โซ่แห่งกฎเกณฑ์เส้นนี้ถูกเจ้าทำอันใดไว้ตั้งนานแล้ว” นกกระจอกยักษ์สีเทาตัวนั้นสะบัดศีรษะด้วยความงุนงงเล็กน้อย แล้วถึงได้ระลึกได้พลางร้องขึ้นด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

“เจ้าเพิ่งจะเข้าใจยามนี้ มันสายไปแล้ว” อสูรยักษ์หัวกวางไม่เอ่ยด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่อยู่เหนือตราประทับโลหิตหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียมขึ้น

“ใต้เท้า ขอแค่เจ้าไว้ชีวิตข้า ข้ายอมสวามิภักดิ์ท่าน และยอมเป็นคนรับใช้ของท่าน…” นกกระจอกยักษ์สีเทามีจิตใจหนักอึ้ง เอ่ยอย่างหวาดกลัวไปพลางถอยร่นไปด้านหลังไปพลาง

“สายไปแล้ว ข้ามียาลูกกลอนจิตวิญญาณเที่ยงแท้แค่เม็ดเดียว และพาคนกลับไปแดนเซียนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หยางลู่ ในเมื่อเจ้าคิดจะสวามิภักดิ์ข้า เช่นนั้นก็สังหารมัน เป็นคำสั่งแรกของข้าที่ให้เจ้า หากเจ้าทำไม่ได้ แล้วถูกมันสังหาร ยาลูกกลอนจิตวิญญาณเที่ยงแท้เม็ดนี้ก็จะมอบให้แค่ผู้ชนะเท่านั้น ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเปลี่ยนใจภายหลัง ครั้งนี้ที่ข้าลงมาขาดคนทำงานพอดี มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเจ้า ถึงจะมีคุณสมบัติมาเป็นคนรับใช้ของข้าได้” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำหัวเราะอย่างเย็นชา แววตาฉายแวววาวโรจน์แล้วเอ่ยด้วยความชั่วร้าย

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท