ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 472 พระราชวังซางซ่ง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 472 พระราชวังซางซ่ง

หยวนฟางเอ่ยว่า “ในเมื่อเต้าเหยี่ยเข้าใจศาสตร์นี้ เหตุใดถึงไม่วางค่ายกลป้องกันเช่นนี้ในกระท่อมฟางของพวกเราเล่าขอรับ? เช่นนี้ต่อไปพวกเราก็ปลอดภัยไร้กังวลแล้วมิใช่หรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าจัดวางค่ายกลไม่เป็น เป็นมือสมัครเล่นอย่างสิ้นเชิง”

หยวนฟางแปลกใจ “เป็นไปได้อย่างไร? เต้าเหยี่ยล้อเล่นเสียแล้ว”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มองออกกับทำเป็นนับเป็นคนละเรื่องกัน ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่ง เจ้ารู้ว่าประตูอยู่ตรงไหนเดินเข้าไปเห็นโครงสร้างก็รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร รู้ว่าจะต้องผ่านห้องโถงตรงไหน บันไดขึ้นลงอยู่ที่ใด แต่ไม่ได้แปลว่าผู้ใดก็จะสร้างบ้านให้ดีเหมือนช่างก่อสร้างได้ การมองให้ออกเป็นเรื่องง่าย แต่การลงมือทำหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่ โดยเฉพาะกับคนที่จัดวางค่ายกลนี้ สามารถเคลื่อนภูเขาวางน้ำได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ ซ้ำยังหยิบยืมพลังของดวงดาวมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลอย่างแท้จริง ข้าเทียบเขาไม่ติดเลย ไม่กล้าอวดดี!”

“ยังนับว่าเจ้ารู้จักตัวเองดี” ก่วนฟางอี๋เอ่ยเยาะหยันประโยคหนึ่ง แต่ในใจกลับลอบอุทานชื่นชม

เดิมทีนางคิดว่าหนิวโหย่วเต้าเพียงเชี่ยวชาญการใช้เล่ห์กล ไม่คิดเลยว่าจะมีความสามารถแท้จริงอยู่บ้าง หลักเหตุผลเข้าใจได้ง่ายยิ่ง หากว่าค่ายกลในที่แห่งนี้สามารถมองออกได้ง่ายๆ จริงล่ะก็ มันก็คงอยู่มาไม่ได้จนพวกหนิวโหย่วเต้าเข้ามาเยือนหรอก นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘ดวงดี’ สองพยางค์เท่านั้น หากมีโอกาสเข้ามาหาแล้ว แต่ไม่มีความสามารถพอจะควบคุมได้ จะยังมีดวงจากไหนอีก?

อวิ๋นจีที่ตามมาด้วยก็ได้เห็นทุกอย่างเช่นกัน นางแอบรู้สึกแปลกใจ เอ่ยถามออกไปว่า “นี่พวกเรากำลังจะออกไปหรือว่ากำลังจะไปที่ไหนกัน?”

หยวนฟางหันไป หัวเราะเหอะๆ แล้วเอ่ยว่า “ตามหาดวงตะวัน”

“ดวงตะวัน?” อวิ๋นจีตะลึงงัน นึกว่าตนฟังผิดไป

ก่วนฟางอี๋อธิบายเสียงเรียบเฉย “หมายถึงศูนย์กลางของค่ายกาล ต้องหาศูนย์กลางของค่ายกลให้พบถึงจะเปิดประตูเกิดแล้วออกไปได้”

“โอ้!” อวิ๋นจีพยักหน้า เข้าใจแล้ว

ในพริบตาที่ทั้งคณะพ้นออกมาจากหุบเขา ภาพตรงเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง พระราชวังใหญ่โตหลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกะทันหันตรงเบื้องหน้าทุกคน ส่วนหุบเขาด้านหลังก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อมองย้อนกลับไปก็เห็นเพียงป่าผืนหนึ่ง

ตัวตำหนักส่วนใหญ่จมอยู่ในวันเวลาอันยาวนาน ตะไคร่น้ำเรืองแสงปกคลุม เถาวัลย์เรืองแสงเลื้อยพัวพัน เผยให้เห็นกำแพงครึ่งหนึ่ง ชายคางอนเชิดขึ้น โครงสร้างของตำหนักเรียบง่าย ดูสง่างามโอ่อ่า

รอบข้างเงียบสงัด มีเพียงผีเสื้อเรืองแสงที่กระพือปีกบินขึ้นๆ ลงๆ ให้เห็นเป็นระยะ แม้แต่อสูรผีเสื้อก็ไม่ปรากฏให้เห็นสักตัว

ทุกคนเบิกตามองด้วยความตกตะลึงอยู่พักใหญ่ อวิ๋นจีพลันอุทานขึ้นมา “หรือนี่จะเป็นพระราชวังของซางซ่งปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู่ที่เล่าขานกันมา?”

ก่วนฟางอี๋ร้องจุ๊ๆ เอ่ยไปว่า “คงไม่มีแห่งที่สองนอกเหนือจากนี้แล้ว”

หยวนฟางเหลียวซ้ายแลขวา “ดวงตะวันอยู่ไหนกัน?”

หยวนกังมองไปที่หนิวโหย่วเต้า ถามออกไป “เกรงว่าพระราชวังนี้คงเป็นดวงตะวันที่ว่านั้นกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย ตุนเจี่ยซ่อนเร้นลวงพราง เป็นจุดสูงสุดในสิบราศีบน ดวงตะวันที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางเจ็ดธาตุก็คือพระราชวังแห่งนี้

แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็พอจะเข้าใจได้ หากว่านี่เป็นค่ายกลที่ซางซ่งหรือหลีเกอจัดวางไว้จริงๆ การที่พวกเขาจะตั้งวังของตนไว้ในตำแหน่งสูงสุดก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมากเช่นกัน

พูดอีกอย่างก็คือพระราชวังแห่งนี้ก็คือศูนย์กลางของค่ายกล

“จะเอาอย่างไร?” ก่วนฟางอี๋หันกลับไปถามหนิวโหย่วเต้าว่าจะจัดการอย่างไรต่อ

หนิวโหย่วเต้ามิได้พูดมาก หลังจากตรวจสอบรายละเอียดรอบข้างไปรอบหนึ่งก็ทะยานกายออกไป เหินกายขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งร่อนลงด้านนอกประตูพระราชวังสูงที่ตระหง่าน

คนอื่นๆ ก็ตามมาถึงแล้ว เดินตามเขาผ่านประตูพระราชวังเข้าไปพร้อมเหลียวซ้ายแลขวา ภายในวังเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขา

ความรุ่งโรจน์ของพระราชวังถูกร่องรอยของกาลเวลาเข้าปกคลุม แฝงความเงียบเหงาเดียวดาย แต่ยังคงทำให้คนรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ในครั้งอดีต

“ไม่ใช่ว่ามีคนมากมายอยากจะหาพระราชวังแห่งนี้ให้พบหรือ? ในเมื่อมาแล้ว ไยทุกคนไม่เตรียมตัวเข้าไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อยเล่า?”

พอเห็นว่าทุกคนมีท่าทีระแวดระวังเดินตามหลังตนมาติดๆ เหมือนเงาตามตัว หนิวโหย่วเต้ายิ้มแล้วเอ่ยหยอกเย้าไป

ก่วนฟางอี๋ตวาดใส่ “ชีวิตสำคัญกว่าหรือว่าการชมทิวทัศน์สำคัญกว่า? เลิกก่อเรื่องได้แล้ว เหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องรีบออกจากสถานที่บ้าๆ แห่งนี้ให้ได้ก่อนที่แดนความฝันจะปิดตัว รีบตามหาศูนย์กลางของค่ายกลได้แล้ว”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ทอดสายตามองพระราชวังอันใหญ่โตตรงเบื้องหน้า พาทุกคนเดินเข้าไปด้านหน้าตำหนักหลักของพระราชวัง

ไม่มีบันไดให้เดินขึ้นไป หนิวโหย่วเต้าเหินร่างขึ้นไป ร่อนลงบนหลังคาซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของทั่วทั้งวัง

เขามองสำรวจรอบข้างพลางนับนิ้วคำนวณอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดสายตาก็ทอดมองไปยังตำแหน่งใจกลางของพระราชวัง ตำแหน่งนั้นมีตำหนักที่ทอดตัววนเป็นวง เขาชี้ออกไป “หากคำนวณไม่พลาดล่ะก็ จุดนั้นก็คือศูนย์กลางของค่ายกล”

ตัวเขาทะยานนำออกไปก่อน ทุกคนติดตามไป

ทั้งกลุ่มทยอยร่อนลงนอกตำหนักทรงกระบอก แต่กลับสังเกตเห็นว่าตำหนักแห่งนี้ไม่ได้มีประตูเพียงบานเดียว คล้ายจะมีความไม่ชอบมาพากลอยู่ ไม่มีใครกล้าเดินผ่านเข้าไป

อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าตำหนักแห่งนี้แตกต่างกับสิ่งปลูกสร้างหลังอื่นที่ก่อขึ้นจากก้อนศิลา แต่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากโลหะทั้งหลัง

หนิวโหย่วเต้าพาทุกคนเดินดูรอบๆ พบว่ามีทางเข้าออกแปดทาง บันไดที่ทอดตัวสู่ประตูทั้งแปดบานก็ดูพิถีพิถันนัก ประตูทุกบานล้วนปิดสนิท ดูเหมือนจะไม่มีหน้าต่างเลย

“ผังแปดทิศ!” หยวนกังมองหนิวโหย่วเต้าแล้วกล่าวออกมา

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทะยานขึ้นไปอีกครั้ง เหยียบลงบนยอดหลังคาของตำหนักที่ดูเหมือนร่ม ค่อยๆ เหลียวมองรอบข้างพลางนับนิ้วคำนวณหาทิศทาง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ทะยานลงไปอีกด้านหนึ่ง

ทุกคนรีบตามไปในทิศทางนั้นทันที เรียกได้ว่าตามหนิวโหย่วเต้าไปติดๆ ล้วนไม่กล้าวิ่งสะเปะสะปะ ทุกคนยังจดจำฉากที่จู่ๆ คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็อันตรธารหายวับไปได้ดี

“ฟ้าดินพลิกสลับ!” หนิวโหย่วเต้าชี้ลวดลายที่อยู่บนกลอนประตูที่อยู่เหนือขั้นบันไดแล้วกล่าวขึ้นมา

หยวนกังกระโจนขึ้นบันไดไป ไปที่หน้าประตู หลังจากมองสำรวจลวดลายบนกลอนประตูอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ลองยื่นมือไปกดลงแล้วขยับหมุนดูเล็กน้อย มีเสียง ‘แกรก’ แว่วมาจากในกลอนประตู พอแน่ใจแล้วว่าหมุนได้จริงๆ หยวนกังก็ไม่ลังเลอีกต่อไป หมุนลวดลายบนกลอนประตูดังแกรกๆ

หลังจากหมุนจัดเรียงลวดลายบนกลอนประตูใหม่จนเสร็จสิ้นแล้ว วงกบประตูทั้งบานคล้ายจะเกิดเสียง ‘ตึง’ ดังสะเทือนขึ้นมา ประตูทั้งบานจมเข้าไปเล็กน้อย

หยวนกังใช้สองมือดันบานประตู ประตูโลหะที่หนักอึ้งเกิดเสียงเสียดสีทึบๆ ดังขึ้นมา เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังอย่างช้าๆ

หยวนกังเดินเข้าไปสำรวจด้านในก่อน จากนั้นก็หันมาพยักหน้าให้พวกหนิวโหย่วเต้าที่รออยู่ด้านล่างบันได

หนิวโหย่วเต้าเดินขึ้นบันไดไป คนที่เดินเหลือตามมาติดๆ เข้าไปสำรวจภายในตำหนักอย่างระมัดระวัง

มองจากด้านนอกตำหนักไม่เห็นหน้าต่าง แต่ด้านในตำหนักกลับไม่ได้มืดอย่างที่คิดไว้ คล้ายจะมีแสงดาวระยิบระยับส่องลอดเข้ามา บนหลังคาตำหนักมีผลึกหินมากมายฝังอยู่ หักเหแสงดาวให้สะท้อนไปยังเสาทองแดงทั้งแปดต้นที่ตั้งอยู่ในตำหนัก ทำให้เสาทั้งแปดที่เต็มไปด้วยลวดลายแผ่ความรู้สึกลึกลับซับซ้อนออกมา

กึง! เกิดเสียงดังกังวานในตอนที่กระบี่ในมือของหนิวโหย่วเต้าค้ำลงพื้น เขาก้มหน้ามองเล็กน้อย พบว่าเป็นพื้นโลหะ บนพื้นเองก็มีลวดลายตัดสลับกันอยู่

เขาพลันหวนนึกถึงสุสานโบราณที่เขาเผชิญเหตุร้ายแห่งนั้นขึ้นมา เหตุการณ์ในเวลานี้ให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันอยู่รางๆ

“ไยจึงนิ่งไป?” ก่วนฟางอี๋ถาม

หนิวโหย่วเต้าได้สติกลับมา เขามองสำรวจรอบด้าน พบว่าภายในตำหนักแทบจะไม่มีข้าวของอย่างอื่นเลย มีเพียงเสาทองแดงแปดต้นและศาลาแปดเหลี่ยมที่ปิดทึบหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเสาทั้งแปด ไม่ทราบเช่นกันว่าเก็บซ่อนสิ่งใดไว้ด้านใน

พอเขาเริ่มก้าวเดิน กระบี่ในมือก็ขยับกระทบพื้นดังกึงๆ เช่นกัน ฟังออกถึงความแน่นหนาใต้พื้นโลหะ

เมื่อเดินวนรอบเสาทองแดงทั้งแปดต้นรอบหนึ่งแล้ว เขาก็สังเกตุเห็นว่าบนศาลาแปดเหลี่ยมที่อยู่ตรงกลางก็มีตัวล็อกที่มีลวดลายแบบหมุนได้ที่หันออกไปหาแปดทิศอยู่เช่นกัน

เมื่อเดินวนเป็นรอบที่สอง หนิวโหย่วเต้านับนิ้วคำนวณทิศทางอีกครั้ง สุดท้ายก็หยุดลงในทิศทางหนึ่ง จ้องมองลวดลายที่อยู่บนตัวล็อกอยู่พักหนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ว่า “ฟ้าดินหวนคืนตำแหน่ง”

หยวนกังเดินเข้าไปด้านหน้าตัวล็อกด้านนั้น เริ่มทำการหมุนลวดลาย ทันทีที่หมุนจนตำแหน่งฟ้าดินบนลวดลายกลับเข้าที่ได้ในที่สุด ศาลาแปดเหลี่ยมพลันบิดหมุนจนเกิดเสียงดัง ‘ครืดๆ’ พอมันเริ่มหมุนขึ้นมา หยวนกังก็ถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนต่างจ้องเขม็ง

ศาลาแปดเหลี่ยมหมุนวนเนิบช้าเพียงรอบเดียวก็หยุดลง พลันปรากฏรอยแยกขึ้นมาหลายรอย ศาลาแปดเหลี่ยมเปิดอ้าออกเสมือนดอกบัวที่เบ่งบาน ค่อยๆ แง้มเปิดไปทางด้านหลัง

ฟู่ว! ลมอันรุนแรงสายหนึ่งพัดโถมออกมาจากรอยแยกที่เปิดอ้าของศาลา ทำให้ภายในตำหนักคล้ายมีลมพายุคลุ้มคลั่ง ทุกคนล่าถอยออกไปอย่างระมัดระวัง

ครืน! ตำหนักทั้งหลังจมลงไปแล้วสั่นสะเทือนเล็กน้อย ทันใดนั้นทุกคนพลันรับรู้ได้ถึงพลังลึกลับสายหนึ่งที่ขยายตัวขึ้นมา ก่อนจะกระจายตัวออกไปรอบๆ

ภายในตำหนักยังไม่เท่าไร แต่ด้านนอกตำหนักเสมือนเกิดคลื่นยักษ์ขึ้น เสียงดังสะเทือนกึกก้องแผ่ขยายออกไปทั่วทุกทิศดั่งระลอกคลื่น ทำให้รู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มดินจะทลาย

ทุกคนรีบเดินออกไปที่หน้าประตูเพื่อดูว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง เห็นเพียงว่าพืชเรืองแสงสารพัดชนิดถูกฉีกทึ้งขาดกระจาย ปลิวว่อนอยู่ทั่วฟ้าท่ามกลางฝุ่นธุลี ฝุ่นควันม้วนตัวลอยโถมไปทั่วทิศ

ไมรู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดนี้ขึ้น หนิวโหย่วเต้าทะยานออกไป รีบเหินขึ้นไปบนหลังคาของตำหนักหลังหนึ่งที่ค่อนข้างสูง คนอื่นๆ ก็ทะยานตามมาสังเกตการณ์ด้วย

พออยู่บนที่สูงแล้วทอดตามองออกไปถึงได้รู้ว่าตำแหน่งที่พวกเขาอยู่คือศูนย์กลางของการระเบิดครั้งนี้ ฝุ่นควันที่มีเศษซากพืชเรืองแสงระเบิดออกไปเป็นวงกว้างดั่งระลอกคลื่น เมื่อคลื่นซัดไปถึงที่ใด ตะไคร่น้ำและเถาวัลย์ที่เกาะคลุมอยู่ตามพระราชวังจะถูกชะล้างออกไป

ดูเหมือนพระราชวังทั้งหลังกำลังได้รับการชำระล้างอย่างทั่วถึง เมื่อคลื่นซัดไปถึงที่ใด พื้นที่นั้นจะกลับสู่สภาพดั้งเดิมของพระราชวังทันที ทุกสิ่งที่เกาะติดอยู่ล้วนถูกกวาดล้างออกไปจนสิ้น ฟื้นฟูพระราชวังให้กลับคืนสู่สภาพเดิม

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ระลอกคลื่นยังโถมออกไปด้านนอกพระราชวังด้วย เคลื่อนตัวเข้าหาหมู่เขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับต้องการสลายสิ่งปกปิดทุกอย่างทิ้ง เมื่อคลื่นฝุ่นควันเคลื่อนผ่านไป ขุนเขาพลันเกิดความเปลี่ยนแปลง ป่าเขาสูงตระหง่านที่มีอยู่แต่เดิมสลายหายไป พื้นที่ที่เดิมทีเป็นที่ราบก็มีเนินเขามากมายปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า

ฝุ่นควันเคลื่อนห่างออกไป ค่อยๆ สลายหายไป เสียงที่ดังสนั่นเมื่อครู่ก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง

รอบข้างกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เพียงแต่ทิวทัศน์ขุนเขาด้านนอกแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แตกต่างไปจากสภาพภูมิทัศน์ที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้

ทุกคนมองพระราชวังที่ถูกชำระล้างใหม่เอี่ยม จากนั้นก็มองภูมิทัศน์นอกพระราชวังที่เปลี่ยนแปลงไป ล้วนพูดไม่ออกดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ผ่านไปสักพักหนึ่ง ก่วนฟางอี๋ถึงได้เอ่ยถามอย่างตกตะลึงว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วพลางเอ่ยเนิบๆ ว่า “ค่ายกลถูกทำลายแล้ว! น่าจะส่งผลให้สภาพแวดล้อมที่ถูกปรับเปลี่ยนโดยค่ายกลหวนคืนสู่สภาพดั้งเดิม ทางน่าจะเปิดออกแล้ว คงจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”

อวิ๋นจีที่กลั้นหายใจมานานพรูลมหายใจออกมา “อย่างนั้นพวกเรามาลองดูกันว่าจะออกไปได้หรือไม่กันเถอะ”

ในเวลานี้เอง มีเสียงครางงึมงำที่แผ่วเบาและเฉื่อยชาเลือนรางคล้ายมีคล้ายไม่มีแว่วออกมา แม้ว่าเสียงจะไม่ดัง แต่ที่นี่เงียบสงัด ทุกคนยังคงได้ยินเสียงอย่างชัดเจน

ทุกคนหันกลับไปมองพร้อมกัน มองไปทางตำหนักทรงกระบอกหลังนั้น ดูเหมือนเสียงจะแว่วออกมาจากที่นั่น ฟังดูคล้ายเสียงมนุษย์

แต่ทุกคนก็เหมือนกันอยู่ครบหมด ไม่ขาดผู้ใดไป จู่ๆ หยวนกังก็เอ่ยถามหยวนฟาง “เฉาเซิ่งไหวละ?”

หยวนฟางผงะไปเล็กน้อย ชี้ไปทางตำหนักทรงกลม “เมื่อครู่เพื่อความคล่องตัว จึงวางเขาลงขอรับ”

หยวนกังสั่ง “ไปพาตัวมา”

หยวนฟางพยักหน้า ร่อนลงจากหลังคาทันที มุ่งหน้าไปยังตำหนักหลังนั้น

แต่พอไปถึงหน้าประตูตำหนักทรงกระบอก หยวนฟางพลันชะงักเท้าอยู่ที่หน้าประตู จากนั้นก็มีแสงสีเงินเลือนรางแผ่ลอดออกมาจากในตำหนัก ไม่รู้ว่าหยวนฟางกำลังจ้องมองสิ่งใดอยู่ เขาค่อยๆ ถอยหลังออกมา คล้ายจะไม่กล้าเข้าไปแล้ว

………………………………………………………………………….

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท