ตอนที่ 475 ไร้กำลังจะตอบโต้
คลื่นพลังทำลายล้างดังต่อเนื่องดั่งสายฟ้าฟาด เสียงดังสนั่นเขย่าขวัญคน
หากใช้เนตรทิพย์มองออกไป จะเห็นว่าบนร่างของอสูรศักดิ์สิทธิ์มีปราณปีศาจพลุ่งพล่านออกมา แล้วก็มองเห็นว่าพลังงานที่ก่วนฟางอี๋ระเบิดออกมาเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ที่เปล่งแสงเจิดจ้า
พลังโจมตีของอสูรศักดิ์สิทธิ์พุ่งแหวกคลื่นยักษ์นี้เสมือนดาวตกที่พุ่งมาจากนอกโลก ทะลวงแสงที่เจิดจ้าพร่างพราว ฉีกกระชาก บดขยี้ กวาดทุกอย่างจนสลายหายไป
เมื่อถูกโจมตีด้วยพลังเช่นนี้ ก่วนฟางอี๋รู้สึกตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
แต่เมื่อใช้งานยันต์กระบี่สวรรค์แล้ว หากพลังยังไม่หมดก็ไม่มีทางหยุดลงได้ นางถูกพลังมหาศาลล้อมพัวพันจนไม่อาจปลีกตัวเป็นอิสระได้ ไม่อาจออกไปจากพันธนาการของพลังงานจำนวนมหาศาลได้ จึงทำได้เพียงชี้นำพลังให้โจมตีต่อไป
จะไม่โจมตีก็ไม่ได้เช่นกัน อีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ หากโจมตีมาที่เจ้า เจ้าจะหลบเลี่ยงได้หรือ?
ในเวลานี้เอง นางเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอะไรคือยอดฝีมือที่เทียบได้กับระดับจิตทารก
หลายปีมานี้แม้นางจะครอบครองยันต์กระบี่สวรรค์ไว้โดยไม่ใช้งาน เพียงนำออกมาข่มขู่ศัตรูเท่านั้น แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองคนใดบ้างที่ไม่กริ่งเกรงในยันต์กระบี่สวรรค์
แต่ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าตนนี้ ไหนเลยจะเกรงกลัวอันใดในยันต์กระบี่สวรรค์ ไม่หลบเลี่ยงเลยด้วยซ้ำ ต่อให้กระบี่สวรรค์ของนางถาโถมใส่ดังอัสนี มันก็ยังกล้าฝ่าทะลวงอัสนีออกมา ไหนเลยจะมีความเกรงกลัว?
ปราณกระบี่สิบสองสายจากยันต์กระบี่สวรรค์ ปราณกระบี่สายที่เจ็ดของก่วนฟางอี๋ยังไม่ทันฟันออกไป อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งเข้ามาดั่งดาวตกก็ซัดฝ่ามือข้างหนึ่งใส่ลำแสงที่ล้อมพัวพันอยู่รอบกายก่วนฟางอี๋ ทำลายพลังโจมตีจากยันต์กระบี่สวรรค์ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด
ตูม! เสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหู ลมพายุที่ระเบิดขึ้นเป็นเหมือนดั่งคลื่นกระแทกที่อันรุนแรง พฤกษาใหญ่โตทางเบื้องล่างถูกพัดพาจนพลิกโค่นขึ้นมาทั้งราก ฝุ่นหินปลิวว่อนกระจัดกระจาย อสูรผีเสื้อที่ลอยอยู่กลางอากาศส่ายไหวโอนเอน กางปีกอยู่ท่ามกลางลมกระโชก ยากจะประคองตัวให้นิ่งได้ พวกอสูรระดับต่ำปลิวไปตามลม
พรูด! ก่วนฟางอี๋ที่รีดเอาสภาวะทั้งหมดที่มีมาเพื่อป้องกันกระอักเลือดออกมา! กระดูกซี่โครงด้านหน้าหักร้าวหลายซี่ในชั่วพริบตา ปลิวถลาไปตามแรงลมดั่งว่าวสายป่านขาด
ท่ามกลางลมที่กระโชกคลุ้มคลั่ง หยวนฟางที่กุมหัวหลบหนีหัวซุกหัวซุนหันกลับไปมอง พลันทะยานร่างขึ้นไปในทันใด รับร่างก่วนฟางอี๋ที่ร่วงหล่นลงมาเอาไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก หันหลังหลบหนีเข้าไปในป่า ไหนเลยจะยังสนใจความเป็นความตายของคนอื่นอีก หนีให้รอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน
สำหรับเขาแล้ว การที่ยังพาก่วนฟางอี๋หลบหนีไปด้วยในตอนที่เอาชีวิตรอดได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
ณ ใจกลางพายุที่โหมกระหน่ำคลุ้มคลั่ง พรึบ! ปีกเรืองแสงสีเงินคู่หนึ่งกางออกมาอีกครั้ง อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ห่างจากพื้นจั้งกว่ากางปีกออกอีกครั้ง กระพือพยุงตัวให้ลอยอยู่กางอากาศ สองเนตรที่อยู่บนใบหน้าเย้ายวนแปลกประหลาดพลันหันไปมองคนผู้หนึ่งที่พุ่งเข้ามา
ท่ามกลางคลื่นกระแทกที่ระเบิดออกไปทุกทิศทุกทาง หยวนกังวิ่งฝ่าเข้ามาอย่างบ้าดีเดือด ทุกย่างก้าวล้วนประทับรอยเท้ากดลึกลงไปในพื้น ปล่อยให้เศษหินเศษดินที่ปลิวว่อนกระทบร่างกาย บนร่างกายที่โน้มตัวพุ่งเข้าไป อาภรณ์บนร่างฉีกขาด ปลิดปลิวไปตามแรงลม
อสูรศักดิ์สิทธิ์กระพือปีกเล็กน้อย ปรับเปลี่ยนทิศทาง เผชิญหน้าด้วยแววตาเย็นชา
หนิวโหย่วเต้าที่เหินทะยานอยู่ท่ามกลางสายลมดั่งมัจฉาตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นภาพนั้น ไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์หลังจากที่หยวนกังประมือกับอสูรศักดิ์สิทธิ์เลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ทันแล้ว
“ผัวะ!” หยวนกังที่พุ่งฝ่าสายลมย่อตัวกระโจนขึ้นไป มัดกล้ามบนร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าปูดนูนขึ้นมาดั่งก้อนศิลา เส้นเลือดปูดโปนไปทั่วร่าง สองดาบสะบั้นดาบออกไป ประกายดาบสายหนึ่งพุ่งออกไปพร้อมกับเงาดาบชุดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน ฟันออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง
ความเร็วของดาบ เร็วยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในอดีตที่ผ่านมาของเขา!
“โฮก!”
เสียงพยัคฆ์คำรามกึกก้องดังสนั่นขึ้นมา เงาดาบหลายสายฟาดฟันออกไป
เค้ง! เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังสะท้อนไปมา!
อสูรศักดิ์สิทธิ์ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นปกป้องศีรษะเอาไว้ ประกายกระบี่ที่ฟันลงมากระทบลงบนแขนนางจนเกิดเสียงเป็นเสียงโลหะกระทบกัน ประกายไฟแลบออกมา ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
แต่เป็นเพราะล่องลอยอยู่กลางอากาศจึงไร้แรงต้าน สถานการณ์ของนางจึงแตกต่างไปจากตอนที่พุ่งลงมาจากบนอากาศก่อนหน้านี้ อสูรศักดิ์สิทธิ์ถูกดาบนี้โจมตีจนสองเท้าร่วงแตะพื้น
กลิ่นอายอันแกร่งกล้าแปลกประหลาดที่โจมตีเข้ามาทำให้แววตาของอสูรศักดิ์สิทธิ์วูบไหวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
หยวนกังเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่มาจากร่างกายของนางเช่นกัน อานุภาพการโจมตีของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้รุนแรงอย่างยิ่ง ต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปที่จะมีพลังขยายตัวออกมาทันทีที่ลงมือโจมตี
เขาสังเกตเห็นว่าในการโจมตีของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ไม่มีร่องรอยของพลังปราณเลย มันกลับคล้ายคลึงกับวิธีการปล่อยพลังของเขา
พลังอันแข็งแกร่งสองสายเข้าปะทะกัน ดาบที่หยวนกังฟันลงไปถูกกระแทกออกมา ตัวเขาพลิกหมุนกลางอากาศ เสียงพยัคฆ์คำรามดัง “โฮก!” แว่วขึ้นมาอีกครั้ง เขาบิดตัวพลางฟันดาบออกไปในแนวขวางอีกครั้ง แต่อานุภาพการโจมตีกลับไม่ดุดันเช่นที่ฟันออกไปก่อนหน้านี้艾琳小說
อสูรศักดิ์สิทธิ์ยกแขนขึ้นป้องกันอีกครั้ง เคร้ง! เสียงปะทะกันระหว่างดาบและท่อนแขนดังสะท้อนขึ้นมาอีกครั้ง
หยวนกังที่เท้าแตะลงพื้นคิดจะเงื้อดาบฟันออกไปอีกครั้ง แต่กลับมองเห็นแสงสีเงินที่โถมเข้ามายังเบื้องหน้า
ยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่น หูอื้อตาลาย ร่างกายชาหนึบ ถูกพลังที่รุนแรงจนสามารถเคลื่อนเขาเขย่าสมุทรโจมตีเข้าใส่
พริบตาที่อสูรศักดิ์สิทธิ์เหวี่ยงแขนป้องกัน มันได้เอี้ยวตัวสะบัดปีก ไม่ให้โอกาสหยวนกังได้ลงมืออีก ปีกข้างหนึ่งฟาดใส่หยวนกังจนกระเด็นออกไป
พรูด! เขากระอักเลือดสดๆ ออกมาเช่นกัน ร่างปลิวออกไปราวก้อนหินที่ถูกขว้าง
อสูรศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้ามองแขนของตนเองเล็กน้อย พบว่าบนกระดูกที่งอกออกมาจากท่อนแขนปรากฏรอยฟันสองเส้น รอยหนึ่งลึก รอยหนึ่งตื้น
“รับไปซะ!” หนิวโหย่วเต้าตะโกนใส่
เขากลัวว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์จะไล่ตามหยวนกังไปต่อ ด้วยความเร็วของเขาไม่มีทางไล่ตามความเร็วของอสูรศักดิ์สิทธิ์ทัน จึงตั้งใจเปล่งเสียงตะโกนทั้งที่ตัวยังมาไม่ถึง ต้องการดึงดูดความสนใจของอสูรศักดิ์สิทธิ์
อสูรศักดิ์สิทธิ์หันมาทันที บนร่างกายเกิดเสียงดังเคร้งๆ ขึ้นมา ถูกปราณกระบี่หลายสายโจมตีใส่อย่างรุนแรง
แต่นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ปราณกระบี่เหล่านั้นเหมือนแค่สร้างความคันยุบยิบให้นางเท่านั้น แม้แต่การโจมตีจากหยวนกังที่มีพลังเพียงพอจะปะทะกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองตรงๆ ได้ก็ยังไม่สามารถทำร้ายนางได้ แล้วปราณกระบี่ที่หนิวโหย่วเต้าฟันออกมาจะนับเป็นอันใดได้
ในจุดนี้หนิวโหย่วเต้าเองก็ทราบดี
นับตั้งแต่รู้ว่าหยวนกังสามารถปะทะกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองได้ เขาก็มักจะเรียกตัวหยวนกังมาฝึกซ้อมกับตนเสมอ ฝึกฝนเคล็ดเคลื่อนย้ายจักรวาลของตน ปล่อยให้หยวนกังลงมือโจมตีอย่างเต็มที่ ส่วนตัวเขาก็ใช้ร่างกายเข้าต้านรับ ปล่อยให้หยวนกังฟาดฟันดาบใส่อย่างเต็มแรง
ดังนั้น เขาทราบชัดเจนดีว่าพลังโจมตีของหยวนกังแข็งแกร่งขนาดไหน นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ครั้งนี้เขากล้าพาหยวนกังออกมาด้วย
ตอนนี้พอเห็นว่าราชินีปีศาจตนนี้ถูกหยวนกังฟันใส่อย่างคลุ้มคลั่ง แต่นางกลับยังสบายดีเหมือนไม่เป็นอะไร ร่างกายแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ เขาจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าซางซ่งที่ในอดีตได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้าจะต้องแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน ถึงสยบราชินีปีศาจอย่างอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ได้ มิหนำซ้ำยังทำให้อสูรศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ได้ด้วย
แล้วแบบนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าปราณกระบี่ของตนทำอันตรายอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่ที่ยังคงฟาดฟันปราณกระบี่หลายสายออกไปก็เพราะต้องการดึงดูดความสนใจของอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้หันมาทางนี้ เลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายตามไปสังหารหยวนกัง
ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ เขาดึงดูดความสนใจให้อสูรศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ หันมาได้
อสูรศักดิ์สิทธิ์จ้องมองเค้าอย่างเย็นชา รอให้เขาเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาโจมตี
หนิวโหย่วเต้าพลันทะยานร่างร่อนลงสู่พื้น แต่กลับไม่ได้ทำการโจมตี เนื่องจากทราบดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ฝืนเข้าปะทะก็เท่ากับรนหาที่ตาย
นี่คือสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดด้านนิสัยของเขากับหยวนกัง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด เขาก็สามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้เสมอ ส่วนหยวนกังหากเลือดขึ้นหน้าก็จะทำตัวบ้าดีเดือด ไม่หวาดกลัวความตายแม้แต่น้อย!
หากไม่เข้าตาจนจริงๆ เขาจะไม่มีทางทำเรื่องเสี่ยงตาย
เขาทราบชัดเจนดี ความตายนั้นง่ายดาย แต่ทันทีที่เขาตาย คนที่เหลือก็อย่าหวังจะได้รอดออกไป
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าตัวเองคือใคร?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย คิดจะพยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย
แต่คำตอบจากอสูรศักดิ์สิทธิ์คือการเข้าโจมตีเขา ร่างของนางพุ่งเข้ามา ตวัดกรงเล็บใส่หนิวโหย่วเต้า
การลอบโจมตีของอวิ๋นจี การสังการของหยวนกัง และปราณกระบี่ของหนิวโหย่วเต้า ทำให้อสูรศักดิ์สิทธิ์หมดความไว้วางใจในตัวเขาอย่างสิ้นเชิง คร้านจะเสียเวลาคุยไร้สาระกับเขาอีก
หนิวโหย่วเต้ายิ้มขื่นอยู่ในใจ ทว่ายังคงลงมืออย่างรวดเร็ว ตวัดส่งประกายแสงเยียบเย็นสายหนึ่งออกไป หมายจะใช้กระบวนท่าสังหารของกระบี่เอกะวิถีแบ่งประทีป ทว่ากระบี่กลับหยุดนิ่งไป
เคร้ง! กระบี่ไม่สามารถขยับต่อไปได้ ตัวกระบี่ถูกกรงเล็บของอสูรศักดิ์สิทธิ์ยึดเอาไว้
ความเร็วในการลงมือของอสูรศักดิ์สิทธิ์รวดเร็วเป็นอย่างมาก ความเร็วในการตอบสนองของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย เขายังไม่ทันได้แสดงกระบวนท่าก็ถูกอีกฝ่ายยึดกกระบี่เอาไว้แล้ว
อีกฝ่ายกุมกระบี่คมกริบไว้ในมือได้โดยไม่เป็นอะไรเลย
ทันใดนั้นเอง มือที่กุมกระบี่ของอสูรศักดิ์สิทธิ์กำแน่นขึ้นมา ชกออกไปพร้อมกระบี่ โจมตีเข้าที่ทรวงอกของหนิวโหย่วเต้า หมัดพุ่งออกไปดั่งสายฟ้าฟาด
หนิวโหย่วเต้าถือกระบี่ไว้ด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างเตรียมพร้อมป้องกันอยู่แต่แรกแล้ว พอกระบี่โจมตีพลาด ก็สำแดง ‘ฝ่ามือมหาจักรวาล’ ออกไปทันที
ผัวะ! ฝ่ามือถูกกำปั้นของอีกฝ่ายต่อยกลับมา หลังมือกระแทกเข้ากับหน้าอกของตัวเอง เสียงกระดูกซี่โครงแตกร้าวแว่วดังขึ้น หนิวโหย่วเต้าทราบสถานการณ์ของตนเองอย่างชัดเจน
แม้ว่าจะพยายามใช้เคล็ดเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลกระจายพลังโจมตีส่วนใหญ่ของอีกฝ่ายออกไป แต่พลังในส่วนที่เหลืออยู่ก็ยังนับว่าแข็งแกร่งเกินไปสำหรับเขา ยังรุนแรงมากพอจะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ เป็นการโจมตีที่ดุเดือดรุนแรงเสียเหลือเกิน!
กระบี่หลุดจากมือ ร่างเขาถูกกระแทกจนลอยออกไปในทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของอสูรศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ไม่อาจตอบโต้อะไรได้เลย พละกำลังของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากเกินไป เสมือนคนหนึ่งเป็นฟ้า อีกคนเป็นเหว
ทันทีที่อสูรศักดิ์สิทธิ์โจมตี เขาไม่มีกำลังพอจะต้านทานได้เลย
เมื่อร่วงกระแทกพื้น หนิวโหย่วเต้าพลิกตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คราบโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก ภายในทรวงอกปั่นป่วนเหมือนคลื่นลมซัดสาด เขารีบโคจรพลัง พยายามทำให้ลมปราณภายในร่างสงบลงโดยเร็ว
ง่ามมือข้างที่กุมกระบี่ไว้ฉีกเปิดออก เลือดสดๆ ไหลหยดลงมาจากปลายนิ้ว
มือข้างที่รับหมัดสั่นระริก แขนห้อยลู่ลง ถูกกระแทกจนไหล่หลุด
ใช้เคล็ดเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลแล้วก็ยังไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขายังคงบาดเจ็บอยู่ดี เขาสบถอยู่ในใจ ไหนใครบอกว่าถ้าทำตัวเป็นจุดหมุนจะเคลื่อนย้ายได้แม้กระทั่งดวงดาว? จะไปหาใครที่ทรงพลังล้นจนถึงขั้นเคลื่อนย้ายดวงดาวได้? ต่อให้หาพบ ร่างกายที่เล็กจ้อยเหมือนฝุ่นผงจะไปเคลื่อนย้ายดวงดาวได้อย่างไร?
แต่หลังจากฝืนรับหมัดของอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้วยังลุกขึ้นยืนได้ หากเทียบกับก่วนฟางอี๋ที่ถูกปีกตบกระเด็นออกไปจนลุกไม่ขึ้นแล้ว ก็ถือว่าเขาแข็งแกร่งมากกว่าหลายเท่านัก เพราะก่วนฟางอี๋คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองแล้ว แต่เขากลับยืนหยัดรับการโจมตีของอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้
แม้แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์เองก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน อสูรศักดิ์สิทธิ์รับรู้ได้ว่าพลังของหนิวโหย่วเต้าอ่อนด้อย แต่ตนกลับชกเขาให้ล้มคว่ำในหมัดเดียวไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
หนิวโหย่วเต้าที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจ้องมองอสูรศักดิ์สิทธิ์ เขาเองก็รับรู้ได้เหมือนกันหยวนกังเช่นกัน อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้กลับไม่มีพลังปราณเลย พลังการโจมตีเป็นการระเบิดพลังอันรุนแรงออกมาล้วนๆ อาศัยการดูดซับไอวิญญาณฟ้าดินเช่นเดียวหยวนกัง ไม่ได้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนให้กลายเป็นปราณแท้ หากแต่เก็บซ่อนพลังเอาไว้ในร่างกาย เตรียมพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกเมื่อ
จากจุดนี้เห็นได้ชัดว่าหยวนกังยังแข็งแกร่งไม่เท่าอสูรศักดิ์สิทธิ์
อสูรศักดิ์สิทธิ์เองก็แปลกใจอย่างมากเช่นกัน นางหันกลับไปมองด้านหลัง เนื่องจากยังมีคนอ่อนแอผู้หนึ่งที่ถูกตนโจมตีใส่แล้วยังไม่ล้มฟุบลงไป
หยวนกังที่มีคราบเลือดไหลซึมมุมปากหยิบดาบแล้วลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลมหายใจหอบถี่ ออกแรงสะบัดศีรษะที่มึนงง
เคร้ง! กระบี่หล่นลงบนพื้น
อสูรศักดิ์สิทธิ์ปล่อยกระบี่ในมือลง มองหลังมือของตนที่ปะทะเข้ากับฝ่ามือมหาจักรวาล ดวงตาคล้ายจะฉายแววสับสน
หนิวโหย่วเต้าเฝ้ามองนางด้วยความคาดหวัง ตอนนี้หวังเพียงว่าฝ่ามือมหาจักรวาลของตนจะส่งผลต่ออีกฝ่ายได้บ้าง
แต่ความหวังกลับดับมอดไป อสูรศักดิ์สิทธิ์ทะยานร่างชกโจมตีหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง
ในใจหนิวโหย่วเต้าเต็มไปด้วยความอันจนหนทาง ก็เหมือนอย่างคำกล่าวที่ออกท่องทั่วหล้าย่อมต้องพลาดท่าเข้าสักวัน วันนี้นับว่าพลาดท่าลงที่นี่แล้ว
…………………………………………………………………………