ตอนที่ 520 ให้พวกเขาได้เดินเกม
เพราะเหตุใดถึงคิดว่าถูกหลอกแต่ไม่คิดว่าเป็นฝั่งตนเข้าใจผิดไปเองงั้นหรือ?
หลักเหตุผลก็ง่ายดายนัก หนิวโหย่วเต้าวางท่าข่มขู่ต่อหน้าหวงเลี่ย จงใจข่มขวัญคน!
เท่ากับหลอกให้ตระหนกตกใจไปเปล่าๆ อยู่พักหนึ่ง ตื่นตูมไปเอง ควบม้ารอนแรมมาไกลโดยไม่หยุดพักมาถึงที่นี่กลับหลายเป็นการหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ ถูกหลอกสาหัสมากจริงๆ
แม้จะรู้ว่าถูกหลอก แต่ก็ช่วยไม่ได้ ยังคงต้องทำหน้าหนาเจรจาต่อไป ส่งจดหมายไปหาคนเขาแล้วมิใช่หรือ ต่อไปก็ยังต้องไปเจรจาคนเขาอีกอยู่ดี
สิ่งที่โคดีคือเป็นอย่างที่เซ่าผิงปอเคยกล่าวไว้ ถึงเจรจาไม่สำเร็จอย่างมากคงรูปการณ์เดิมไว้ต่อไป ปล่อยให้กลุ่มอิทธิพลทั้งสองฝ่ายคานอำนาจกันต่อไป
แต่เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดที่สุดคือไม่สามารถบอกหกสำนักได้ว่าพวกเจ้าล้วนถูกหนิวโหย่วเต้าหลอกใช้แล้ว จะบอกไปได้หรือว่าเดิมทีไม่ได้อยากมาเจรจากับพวกเจ้าเลยแต่ถูกหนิวโหย่วเต้าบีบคั้นมา?
พลาดท่าเสียทีไปแล้วจริงๆ ทุกข์ใจก็ไม่อาจบอกออกไปได้
ก็ว่าอยู่แล้ว หนิวโหย่วเต้าจะอาศัยสิ่งใดไปโน้มน้าวให้หกสำนักใหญ่ตัดแบ่งมณฑลเป่ยโจวได้เล่า?
“ดูเหมือนเซ่าผิงปอจะถูกไอ้คนชั้นต่ำหลอกให้กลัวเข้าแล้ว แค่มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็ถือเป็นจริงเป็นจังไปแล้ว แต่เซ่าผิงปอกล่าวไว้ไม่ผิดเลย จำเป็นต้องกำจัดไอ้ชั้นต่ำคนนี้ทิ้งจริงๆ อาจจะต้องช่วยสำนักหยกสวรรค์จัดการหน่อนแล้ว…มารนหาที่ตายเองก็อย่างได้แค้นเคืองคนอื่นเลย” หวงเลี่ยเอ่ยลอดไรฟันออกมา
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาสีหน้าของพวกหวงทงที่มาด้วยกันก็ดูไม่ดีเช่นกัน ต่างพยักหน้ารับนิดๆ สื่อว่าเห็นด้วยกับวาจาของเจ้าสำนัก ครั้งนี้ถูกหลอกต้มแล้วจริงๆ จะไม่ให้โกรธได้อย่างไรเล่า
“จะให้ปล่อยทางเซ่าผิงปอออกมาหรือไม่ขอรับ?” หวงทงเอ่ยถาม
หวงเลี่ยแค่นเสียงเย็นชา “หนิวโหย่วเต้าอยู่ว่างเกินไปหรือไง อยู่ดีๆ จะมาเคี่ยวกรำพวกเราทำไม? ข้าว่าคงเป็นเพราะคนผู้นั้นไปหาเรื่องก่อนมากกว่า คุมขังต่อไป! ในเมื่อไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาลำบากไปสักระยะเถอะ ให้เขาหลาบจำไปอีกนาน!”
พูดแล้วก็โมโหขึ้นมา เพลิงโทสะถูกสะกดกลั้นไว้มาตลอด เนื่องจากก่อนหน้านี้ต้องเข้าพบหกสำนักใหญ่จึงฝืนตีสีหน้ายิ้มแย้มไว้…
มองเผินๆ เป็นเพียงการมาเยี่ยมคารวะครั้งแรกหลังจากเขาเพิ่งมาถึงเท่านั้น แต่เบื้องหลังยังคงดำเนินการเจรจาต่อไป 艾琳小說
อีกทั้งไม่กล้าเข้าพบอย่างเปิดเผยด้วย ในเมื่อเซ่าผิงปอเตือนไว้แล้วว่าอาจจะมีคนของหนิวโหย่วเต้าอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ย่อไม่มีทางยอมพลาดท่าในเรื่องนี้
กลุ่มอิทธิพลทางฝั่งแคว้นเยี่ยนและแคว้นหานต่างไม่กล้าให้อีกฝ่ายทราบเรื่องเช่นกัน ย่อมเป็นเพราะกลัวถูกอีกฝ่ายรบกวนแล้วจะส่งผลกระทบต่อการความราบรื่นในการเข้าครองมณฑลเป่ยโจวของตน
ในฉากหน้าทั้งสองฝ่ายต่างไม่ก่อความเคลื่อนไหวใด แต่ในทางลับกลับส่งคนไปพบปะกันนอกสำนักหมื่นสรรพสัตว์
เจรจาไปเจรจามาก็ปรากฏข้อติดขัดขึ้น สำนักเขามหายานไม่อยากสละผลประโยชน์ในมณฑลเป่ยโจว แต่กลุ่มอิทธิพลทางฝั่งแคว้นเยี่ยนและแคว้นหานก็ไม่มีทางปล่อยให้สำนักเขามหายานครองมณฑลเป่ยโจวเช่นกัน หากเข้าสวามิภักดิ์เพียงในนามจะมีประโยชน์อะไร หากความจริงแล้วอำนาจยังคงอยู่ในมือพวกเจ้าก็อาจจะเกิดการทรยศขึ้นได้ตลอดเวลา
ทั้งสองฝ่าย แต่หากว่ากันตามจริงแล้วคือสามฝ่ายล้วนวนเวียนเจรจาประเด็นนี้อยู่
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเพราะทางสำนักเขามหายานตั้งใจให้เกิดประเด็นขึ้น จงใจปล่อยให้การเจรจาไม่บงตัว ภายหลังมาเมื่อเจรจาไม่สำเร็จก็นับว่าแล้วกันไป กลับไปอยู่ในจุดเดิมเท่านั้น
เมื่อทราบแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าตั้งใจหลอกลวง ทางนี้ก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
….
ณ ธารน้ำในหุบเขา ริมลำธารหน้าซุ้มบุปผา หนิวโหย่วเต้าเดินวนกลับไปกลับมา เอ่ยถามไปว่า “ไม่มีการติดต่ออีกจริงๆ น่ะหรือ?”
เสียงของเฉาเซิ่งไหวแว่วดังออกมาจากหลังซุ้มบุปผา “ไม่มีจริงๆ อย่างน้อยข้าก็ไม่พบเห็นว่าพวกเขามีการติดต่อกันอีก ข้าไปสอบถามศิษย์ร่วมสำนักที่รับผิดชอบดูแลหกสำนักมาหมดแล้ว หวงเลี่ยไปเข้าพบหกสำนักเพียงครั้งเดียว ภายหลังก็ไม่ได้ไปหาอีกและไม่เห็นทางหกสำนักจะส่งคนไปติดต่อกับคนของสำนักเขามหายานเลย”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แน่ใจหรือว่าหวงเลี่ยไม่ได้ออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์เลย?”
เฉาเซิ่งไหวตอบว่า “หนิวโหย่วเต้า ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยหรือ? ช่วงนี้มีหลายสำนักที่เข้ามาพักในสำนักหมื่นสรรพสัตว์เราเนื่องด้วยเรื่องของแดนผีเสื้อฝันมายา สถานการณ์เช่นนี้นับว่าปกติมาก อีกอย่าง ตอนนี้หวงเลี่ยเองก็กำลังไปเยี่ยมเยือนสำนักอื่นๆ ด้วยเช่นกัน”
เขาหงุดหงิดเพราะไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการจะทำอะไร
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “ดี! ทันทีที่ทราบว่าหวงเลี่ยออกไปต้องรีบมาแจ้งข้าทันที”
เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? ข้าขอเตือนเจ้าไว้ว่าอย่าได้ก่อปัญหาอีก”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เขากำลังติดหนี้ข้าสี่ล้านเหรียญทองพอดี ข้าต้องหาวิธีทวงคืนจากเขา ไหนเลยจะปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ ได้ จับตามองเขาให้ข้าซะ รอเขาจัดการธุระเสร็จข้าจะคิดบัญชีกับเขา”
เฉาเซิ่งไหวพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตระหนักได้ว่าดูเหมือนตนจำเป้นต้องช่วยเขาจับตามองอย่างเสียไม่ได้แล้ว
หลังจากไล่คนผู้นี้กลับ หนิวโหย่วเต้านั่งเล่นอยู่ริมลำธารอีกพักใหญ่ถึงได้กลับเรือนรับรอง
พอขึ้นมาถึงริมขอบผา หยวนกังที่เฝ้ารออยู่ริบขอบผามองไปทางซุ้มบุปผาเล็กน้อย กระซิบถามไป “เป็นยังไงบ้างครับ?”
หนิวโหย่วเต้าบอกเล่าสถานการณ์ที่ฟังมาจากเฉาเซิ่งไหวออกมาคร่าวๆ
หยวนกังเอ่ยด้วยความฉงน “หากรอจนพบว่าเขาจากไปแล้ว รอจนกว่าเฉาเซิ่งไหวมาแจ้งจะไม่สายไปหน่อยเหรอครับ จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นไหมครับ?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ติดเบ็ดแล้วจะหนีรอดอีกหรือ? ถึงหนีไปก็ลากตัวเขากลับมาได้”
หยวนกังเอ่ยถาม “คุณคิดว่าพวกเขาลอบเจรจาอย่างลับๆ เหรอครับ?” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “นายคิดว่าพวกเขารั้งอยู่ที่นี่เพื่ออะไรละ? ฮ่าๆ ยังมีสำนักหยกสวรรค์อีก อืดอาดไม่ยอมจากไป พูดอะไรทำนองว่ารอคนมาหาอยู่ ฉันว่าแต่ละฝ่ายมีแผนร้ายอยู่ในใจกันทั้งนั้น”
หยวนกังถามต่อ “แต่ถ้าไม่ได้ไปเจรจาจริงๆ ละครับ? ถ้าเกิดไหวตัวทันก่อนแล้วยับยั้งไปแล้วละครับ?”
“ส่งจดหมายทั้งหมดออกไปแล้ว จะเจรจาหรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาอีกต่อไป ต่อให้ไหวตัวทันก็ไม่มีประโยชน์ เว้นแต่พวกเขาจะรู้ว่าจดหมายของทางแคว้นหานไม่ได้ถูกส่งไปถึงจะยอมยุติไว้…” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็หยักหน้าเล็กน้อย “แต่ก็รับประกันไม่ได้เหมือนทางว่าทางฝั่งสามสำนักจะไม่มีหนอนบ่อนไส้…เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้ เอาละ เพื่อความแน่ใจดูเหมือนจะต้องเชิญแขกมาซะแล้ว!”
หยวนกังไม่เข้าใจ “เชิญใครครับ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าสำนักหวงคนนั้น มีการเจรจากันลับหลังพวกเราหรือไม่ ลองหยั่งเชิงดูเดี๋ยวก็รู้!”
“จะเชิญมาได้เหรอครับ?”
“หากเป็นสถานการณ์ปกติอาจจะเชิญมาไม่ได้ แต่ครั้งนี้ต้องเชิญมาได้แน่”
….
สวี่เหล่าลิ่วเป็นผู้นำเทียบเชิญไปส่งมอบให้
ท่ามกลางหมู่ศาลา หลังจากหวงเลี่ยอ่านเทียบเชิญแล้วก็ยกมือไพล่หลังเดินวนกลับไปกลับมา
หวงทงที่รับเทียบเชิญไปอ่านดูแล้วเช่นกันเอ่ยเยาะหยันขึ้นว่า “เชิญไปกินเลี้ยงงั้นหรือ เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอกขอรับ หากอยากพบก็ให้เขาเป็นฝ่ายมาหาเองเถิด”
หวงเลี่ยถอนหายใจพลางโบกมือนิดๆ “จอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้งัดคานกับสำนักหยกสวรรค์ในหนานโจว นับว่ามีความสามารถจริงๆ ตอนนี้รั้งให้เขาอยู่สงบไว้ก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่ทราบเลยว่าคนผู้นี้จะก่อปัญหาวุ่นวายอันใดขึ้นอีก ต้องถ่วงสมดุลกับเขาไปก่อน ไม่อาจปล่อยให้เกิดปัญหาได้อีก รอจนเขาออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปแล้วค่อยลงมือสังหาร!”
….
มีแขกมาเยือน หนิวโหย่วเต้าจึงพาคนของตนออกไปต้อนรับนอกประตู
หวงเลี่ยพาผู้ติดตามมาด้วยสองคน แสดงออกชัดเจนว่าไม่เกรงกลัว หากพาคนติดตามมาด้วยมากไปกลับจะทำให้ภาพลักษณ์ฝั่งเขาดูอ่อนแอ อีกอย่างมีอะไรต้องกลัวกันเล่า?
“นับตั้งแต่จากกันเมื่อหลายปีก่อนที่หอหิมะเหมันต์ เจ้าสำนักหวงดูงามสง่ากว่าแต่ก่อนมาก ผู้เยาว์เลื่อมใสนัก!”
“เจ้ากลับดูไม่อ่อนวัยสักเท่าไรแล้ว ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยเลย อีกทั้งดูมีมาดมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย”
“มิกล้าๆ อยู่ต่อหน้าเจ้าสำนักหวงไหนเลยจะกล้าวางมาดอันใด เชิญด้านในเถิด”
หงเหนียงติดตามข้างกายหนิวโหย่วเต้ายิ้มละไมต้อนรับแขก รับหน้าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัว ผู้ใดใช้ให้นางมียันต์อาคมมากมายเล่า
เมื่อหวงเลี่ยผ่านเข้าไปด้านในได้เหลือบมองหงเหนียงเล็กน้อยเพราะรู้จักนาง ในอดีตเคยพบกันที่เมืองหลวงแคว้นฉีมาก่อน
เพียงแต่ปีนั้นสำนักเขามหายานยังไม่เป็นเช่นในปัจจุบันนี้ เขาก็ยังไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักอันใด เขารู้จักหงเหนียงแต่หงเหนียงกลับไม่รู้จักเขา
ตอนนั้นไม่เคยสนทนากันแม้แต่ประโยคเดียว ซ้ำยังเคยผิดหวังในตัวนางด้วยเป็นอย่างยิ่งด้วย ตอนนี้เขาย่อมไม่มีทางยกมาเอ่ยถึงอีก อีกทั้งไม่ได้ดูแคลนหงเหนียงในตอนนี้แล้ว ได้พบหน้ากันอีกครั้งมีเพียงความสะท้อนใจเท่านั้น
บนโต๊ะหินภายในศาลา จัดวางสุราอาหารไว้เต็มโต๊ะ
ด้วยธรรมเนียมของโลกบำเพ็ญเพียรทำให้เจ้าบ้านและแขกต้องพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยนอกศาลาพักหนึ่งก่อน รอจนกว่าคนของสำนักเขามหายานทดสอบสุราอาหารจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ทั้งสองฝ่ายถึงจะเข้าไปนั่งด้านในได้
มีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่ตรงข้ามกับหวงเลี่ย ผู้อาวุโสอีกสองคนที่ติดตามหวงเลี่ยมากไม่ยอมนั่งเทียบเสมอชั้นกับหวงเลี่ย แยกกันยืนอยู่ด้านหลังสองฝั่งซ้ายขวาของหวงเลี่ย
หลังจากร่ำสุรากันไปเล้กน้อย หวงเลี่ยก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกเลย “ข้าว่าการกินเลี้ยงเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงแล้วต้องการจะพูดคุยมากกว่ากระมัง อย่าอ้อมค้อมเลย พูดมาเถิด”
“เจ้าสำนักหวงตาแหลมนัก” หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา เหลือบมองหวงทงที่ยืนอยู่ “ไม่ทราบว่าเรื่องที่ข้าเตือนผู้อาวุโสหวงไว้ ผู้อาวุโสหวงได้ถ่ายทอดความต่อเจ้าสำนักหรือยัง?”
หวงเลี่ยเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ทำตัวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะลงมือปลิดชีพเจ้าเสียตอนนี้เลยหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ที่นี่คือสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เจ้าสำนักหวงก็หาใช่เหวินซินจ้าว ไม่มีความสามารถพอจะปกป้องตัวได้ ข้าก็ไม่กล้าหนีสะเปะสะปะไปเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือข้าเอ่ยแนะนำด้วยความจริงใจ ขอเพียงสำนักเขามหายานตอบรับเงื่อนไขประการหนึ่งของข้า ข้ารับประกันเลยว่าสำนักเขามหายานจะไม่ต้องกลัดกลุ้มอีก”
หวงเลี่ยมีท่าทางราวกับได้ฟังเรื่องน่าขบขันอันใดเข้า ยกยิ้มเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นให้ข้าลองฟังหน่อยเถิดว่าเป็นเงื่อนไขเช่นไร”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าต้องการหัวของเซ่าผิงปอ! ใช้หัวของเขาแลกกับความสงบสุขของสำนักเขามหายาน คงไม่เกินไปกระมัง?”
หวงเลี่ยกล่าวว่า “ข้าไปพบผู้นำหกสำนักใหญ่มาแล้ว ปาหี่ที่เจ้าแสดงไว้ล่มไปหมดแล้ว ควรค่าให้ยกมาหลอกลวงอีกหรือ? ข้ามาครั้งนี้ก็มิใช่จะมาร่วมกินเลี้ยงอันใด แต่มาเตือนเจ้าไว้สักประโยค รู้จักขอบเขตเสียบ้าง อย่าได้ตอแยไม่จบไม่สิ้น ระวังภัยจะย้อนกลับไปหาตัว ”
แววตาของก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างวูบไหว ไม่ทราบว่าทั้งฝ่ายกำลังเล่นทายปริศนาอันใดกันอยู่
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก “เจ้าสำนักหวง หากพลาดโอกาสนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว สำนักหมื่นสรรพสัตว์เป็นแหลงรวมผู้ทรงอำนาจ เข้าง่ายแต่ออกไปยาก”
หวงเลี่ยก็เอ่ยอย่างมีนัยยะแอบแฝงเช่นกัน “สำหรับเจ้าแล้วก็นับเป็นเช่นนี้จริงๆ”
ทั้งสองคนสบตากัน ล้วนค่อยๆ เผยรอยยิ้มแปลกพิกลออกมา จู่ๆ ก็หัวเราะ “ฮ่าๆ” เสียงดังลั่นขึ้นพร้อมกัน ต่างมีเจตนาร้ายแฝงเร้น
“ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำของเจ้าสำนักหวง แต่เจ้าสำนักหวงอาจจะยังไม่ทราบเรื่องราวบางอย่าง เซ่าผิงปอมีความทะเยอทะยานไม่น้อยเลย มิใช่คนที่สำนักเขามหายานจะหน่วงเหนี่ยวไว้ได้ ท่านคิดว่าเซ่าผิงปอใช่คนที่สำนักเขามหายานของท่านจะควบคุมได้หรือ? ความจริงแล้วเขาเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง ทำเรื่องงามหน้าลับหลังสำนักเขามหายานของพวกท่านไว้ไม่น้อยเลย ท่านคิดว่าทางหนานโจวของข้าหาม้าศึกสามหมื่นตัวนั้นมาได้อย่างไรเล่า? ขอบอกตามตรงเลยแล้วกัน…”
หนิวโหย่วเต้าเล่าเรื่องราวให้หวงเลี่ยฟัง เล่าถึงเรื่องที่เขาปล่อนม้าศึกสามหมื่นตัวของเซ่าผิงปอมาจากแคว้นฉี รายละเอียดที่ไม่วมควรเอ่ยออกไปย่อมไม่มีการกล่าวถึง แต่ก็มากพอที่จะทำให้รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าของหวงเลี่ยได้แล้ว
แน่นอนว่าเรื่องที่เซ่าผิงปอส่งคนมาลอบสังหารเขารวมถึงสมคบกับสำนักหยกสวรรค์วางแผนปองร้ายเขาก็ถูกเล่าออกไปในคราวเดียวกัน
หลังแขกจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่ออกมาส่งแขกนอกประตูยกมือไพล่หลังเอ่ยอย่างโล่งใจว่า “เฮ้อ ได้เล่าเรื่องบางอย่างให้ฟังต่อหน้าช่างรู้สึกดีจริงๆ”
หยวนกังถาม “พูดเรื่องนี้กับอีกฝ่ายในเวลานี้จะมีประโยชน์เหรอครับ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “มีประโยชน์แน่นอน ฉันกังวลว่าพวกเขาจะปล่อยเซ่าผิงปอไป อย่างน้อยก็ต้องช่วยคุมตัวไว้ให้ฉันในช่วงนี้ก่อน ช่วยจับตามองไว้ให้ฉัน เลี่ยงไม่ให้เจ้าหมอนั่นมีโอกาสหนีรอดไปได้”
เขาไม่สนใจว่าเซ่าผิงปอจะใช่คนของหอจันทร์กระจ่างหรือไม่และคาดว่าไม่มีทางเป็นไปได้เช่นกัน อย่างมากก็แค่พึ่งพาหาประโยชน์จากกันและกัน
แต่มาถึงเวลานี้ ไหนเลยจะใช่เวลามาเอ่ยถึงหลักเหตุผลข้อเท็จจริงกัน เขากำลังจะผลักดันเซ่าผิงปอไปสู่ความตาย หากสามารถซ้ำเติมอะไรได้ฉุกรั้งให้ทิ้งระยะห่างกันได้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่นำมาใช้ประโยชน์ได้เขาล้วนจะนำออกมาให้กับเซ่าผิงปอ
หยวนกังเอ่ยขึ้นมาว่า “แบบนั้นแบไต๋ออกไปตรงๆ เลยไม่ดีกว่าเหรอครับ”
นี่คือทัศนคติในการทำงานของเขา เด็ดขาดฉับไว
หนิวโหย่วเต้ามองตามเงาร่างที่ห่างไปไกลแล้ว เชิดหน้านิดๆ “เล่นสนุกกันหน่อยดีกว่า! ให้พวกเขาได้เดินเกมดู หากไม่ปล่อยให้พวกเขาได้ลองเล่นกับหกสำนักใหญ่ วพกเขาจะรู้จักกลัวได้ยังไง? ต้องให้ไฟร้อนได้ที่ถึงจะปิดฉากได้ในคราวเดียว!”
……………………………………………………………………….