ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 541 คมกระบี่โผล่พ้นฝัก

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 541 คมกระบี่โผล่พ้นฝัก

ฟังจากเสียงก็รู้ได้ว่าอายุไม่น้อยแล้ว

หนิวโหย่วเต้ามีสีหน้านิ่งเฉยนัก เอ่ยด้วยน้ำราบเรียบ “นางตายแล้ว! ตายเพราะเจ้า”

ชายโพกหน้าเอ่ยว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมดามาก พวกไม่เจียมตัวมักจะมีจุดจบเช่นนี้ทั้งสิ้น” มีนัยยะแฝงเร้นอยู่ คล้ายกำลังบ่งชี้ถึงพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต้าในยามนี้

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากสามารถจับเป็นได้ เจ้าก็ไม่สังหารข้าแน่”

สาเหตุที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายพยายามจะจับเป็นก็เดาได้มายากเลย อวี้ชางไม่แน่ใจว่าเขาเตรียมแผนรับมือไว้หรือไม่อีกทั้งไม่แน่ใจว่าเผยความลับออกไปแล้วหรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดคือจับเป็นเขาแล้วนำไปไต่สวนว่าได้แพร่งพรายความลับต่อผู้ใดไปหรือไม่

หากเตรียมแผนรับมือไว้จริง พอชีวิตเขาตกอยู่ในกำมือแล้วก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามดำเนินแผนการได้!

ถ้ายังไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัด อวี้ชางก็ไม่กล้าสังหารเขาทิ้งง่ายๆ หากมีคนอื่นที่ได้ทราบความลับแล้ว สังหารเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร

ชายโพกหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าก็รู้ดี มิน่าเล่า”

เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่าค่อนข้างแปลก ได้ยินว่าเพิ่งมีตบะระดับสร้างฐาน ไฉนจึงกล้าเป็นฝ่ายเข้ามาหา หลงนึกว่าจะมีที่พึ่งอันใด ที่แท้ก็รู้แล้วว่าตนต้องการจับเป็น เห็นทีจะกลัวเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้น

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดูเหมือนคนที่ส่งเจ้ามายังไม่ได้บอกเจ้ากระมังว่าให้จับข้าด้วยเหตุใด”

คนโพกหน้าถาม “ข้าจำเป็นต้องทราบด้วยหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวต่อ “ไม่อยากฟังข้าอธิบายหน่อยหรือ? อาจจะเป็นผลดีต่อเจ้านะ”

“หากคิดจะอาศัยปากแก้ไขสถานการณ์ เจ้าก็มาหาผิดคนแล้ว” พอชายโพกหน้าพูดจบ เห็นว่ากำลังจะร่อนแตะพื้นแล้วก็ตวัดมือออกไปทันใด กรงเล็บใหญ่ยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งพลันปรากฏเลือนราง

หนิวโหย่วเต้าตั้งตัวไม่ทัน ถูกคว้ากำไว้

คนทั้งสองที่เชื่อมต่อกันด้วยกรงเล็บปราณเขียวร่อนถึงพื้นพร้อมกัน

ท่ามกลางเงาแสงสีเขียวเลือนราง หนิวโหย่วเต้าพยายามให้พลังดิ้นให้หลุด แต่กลับขยับตัวได้ยากนัก

ชายโพกหน้ากำมือเข้าหากัน กรงเล็บปราณเขียวกดตัวบีบแน่น หนิวโหย่วเต้าพลันมีสีหน้าทรมาน หนาแดงก่ำขึ้นมาเสมือนโลหิตกำลังจะระเบิดออกมาก็มิปาน

มีเงาร่างสี่สายโฉบลงมาจากท้องนภา ร่อนลงในสี่ทิศทาง ปิดล้อมทั้งสองไว้ตรงกลาง

ทันทีที่ก่วนฟางอี๋ร่อนแตะพื้นก็ตกอยู่ในวงล้อมของคนทั้งสี่ที่ไล่ตามมา หลังจากถูกหนิวโหย่วเต้าสะบัดทิ้งนางก็เหลือตัวคนเดียว

เมื่อสวี่เหล่าลิ่ว เหล่าสือซานและหยวนกังร่อนแตะพื้นก็ถูกคนโพกหน้าสิบคนที่ไล่ตามมาเข้าปิดล้อมเช่นกัน

ลุงเฉิน อิ๋นเอ๋อร์และหยวนกังร่อนถึงพื้นก็มีคนชุดดำสิบคนตั้งแนวป้องกันปิดล้อมพวกเขาไว้ทันที

ทั้งสองฝ่ายล้วนอยู่บนทุ่งหญ้าแล้ว แยกตัวออกเป็นสี่กลุ่ม

มือสังหารสามสิบคน ลงสู่พื้นแล้วยี่เก้าคน วิหคยักษ์กลุ่มหนึ่งบินวนอยู่เหนือนภา ทิ้งสมาชิกคนหนึ่งไว้คอยสอดส่องดูแลด้านบน

ในมุมมองของมือสังหารกลุ่มนี้ สามารถบังคับหนิวโหย่วเต้าให้ลงสู่พื้นได้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มิเช่นนั้นหากต่อสู้กันขึ้นมาวิหคยักษ์จะถูกลูกหลงได้ง่ายๆ ราคาของวิหคยักษ์ทุกตัวล้วนแพงลิบลิ่ว หากเลี่ยงความเสียหายมหศาลที่ไม่จำเป็นได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดี เนื่องด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงเลือกลงจากวิหคยักษ์ร่อนสู่พื้น

มีเสียงแกวกๆ สามเสียงแว่วต่อเนื่องกันมาจากที่ไกล วิหคยักษ์ทั้งสามที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่วงหล่นจากกลางอากาศในที่สุดก็หล่นกระแทกพื้น โลหิตสาดกระจาย บางตัวแน่นิ่งไป บางตัวยังพอกระพือปีกได้ แต่ทุกตัวลุกไม่ขึ้นแล้ว

อิ๋นเอ๋อร์หันไปมอง จ้องมองวิหคยักษ์สามตัวนั้นที่เคยพาพวกนางบินไปไหนมาไหนแต่ตอนนี้กลับถูกโมตีจนร่วงหล่นสู่พื้น

เดิมทีหยวนฟางคิดจะหนี แต่ถูกปิดล้อมเอาไว้จึงทำได้เพียงซ่อนอยู่ด้านหลังของอิ๋นเอ๋อร์ หลบอยู่ตรงกลางระหว่างอิ๋นเอ๋อร์กับลุงเฉิน เอ่ยเตือนเสียงแผ่วหวิว “อิ๋นเอ๋อร์ ท่านรีบลงมือสิ ลงมือเร็วเข้า เต้าเหยี่ยใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”

อิ๋นเอ๋อร์หันกลับไปมองหนิวโหย่วเต้าที่ถูกควบคุมไว้อีกครั้ง

ลุงเฉินถือกระบี่ไว้มือหนึ่ง อีกมือถือยันต์เบิกบรรพตแผ่นหนึ่งไว้ เฝ้าระวังรอบข้าง

ในหมู่พวกเขาที่เป็นสมาชิกของสวนไม้เลื้อยต่างมียันต์เบิกบรรพตติดตัวอยู่สามแผ่น ล้วนเป็นสิ่งที่ก่วนฟางอี๋มอบให้พวกเขาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

แต่สิ่งที่ทางนี้กังวลที่สุดด็คือศรทะลวงสวรรค์ของฝ่ายศัตรู

ทว่ามือสังหารที่เข้าปิดล้อมล้วนย้ายธนูไปสะพายไว้ด้านหลัง เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พกพาศรทะลวงสวรรค์ได้ในปริมาณจำกัดเป็นเพราะมีราคาสูงลิ่ว อีกทั้งผู้ใช้งานก็ทราบดีว่าหากอยู่บนพื้นดินแล้วจะมีประสิทธิภาพไม่มากนัก ยามต่อสู้กันหากสร้างชั้นดินขึ้นกำบังก็แก้ทางได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเลย

พอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ก่วนฟางอี๋ตวัดมือชักยันต์กระบี่สวรรค์แผ่นหนึ่งออกมา ต้องการโจมตีช่วยเหลือ

สี่มือสังหารที่ล้อมอยู่เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว รักษาระยะห่างที่ปลิดภัยไว้ กระบี่ยาวที่อยู่บนหลังของทั้งสี่ดีดตัวออกจากฝักพร้อมกัน ลอยอยู่กลางอากาศจ่อเล็งไปที่ก่วนฟางอี๋ ท่าทางพร้อมจะเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ

ก่วนฟางอี๋ตกตะลึง ทั้งสี่คือยอดฝีมือที่บรรลุถึงระดับที่สามารถใช้พลังปราณควบคุมกระบี่ได้แล้ว

ผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองในโลกบำเพ็ญเพียรมีมากมาย แต่มิใช่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือ แม้จะมีสภาวะระดับเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่าจะทรงพลังเช่นเดียวกัน บางครั้งถึงขั้นที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวด้วยซ้ำ เส้นแบ่งชนชั้นในระดับโอสถทองคือการใช้ปราณควบคุมกระบี่ สามารถโจมตีจากระยะไกลได้หรือที่เรียกกันว่ากระบี่บินนั่นเอง

คนธรรมดาอาจจะมองไม่ออก แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่เปิดตาทิพย์กลับมองเห็นทั้งสิ้น มีเส้นด้ายเล็กละเอียกที่ก่อตัวขึ้นจากพลังปราณเชื่อมต่อระหว่างผู้ควบคุมและกระบี่ล้ำค่าที่ลอยตัวอยู่

ซึ่งเรื่องนี้สื่อถึงความประณีตพิถีพิถันในการควบคุมพลังปราณ มิใช่สิ่งที่พลังปราณหยาบๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองธรรมดาจะสามารถเทียบชั้นได้

แต่กลับส่งยอดฝีมือที่ใช้ปราณคุมกระบี่ได้ถึงสี่คนมาจัดการนาง ก่วนฟางอี๋ตระหนักได้ถึงความยุ่งยากแล้ว นี่มิใช่ความบังเอิญแต่พุ่งเป้ามาที่นางโดยเฉพาะ เห็นได้ว่ารู้เรื่องที่นางมียันต์กระบี่สวรรค์ในการครอบครอง ต้องการใช้การโจมตีระยะไกลมารับมือยันต์กระบี่สวรรค์ของนาง

ทันทีที่ยอดฝีมือปราณคุมกระบี่ทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้นก็เข้าควบคุมนางทันที

เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าตกอยู่ในอันตราย หยวนกังก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว ถือดาบสามคำรามเงื้อฟันออกไปทันที

“โฮก!”

เสียงพยัคฆ์คำรามดังสนั่น เกิดเสียงดังเคร้งแว่วสะท้อน มือสังหารคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าพุ่งเข้ามาต้านรับ คมดาบและกระบี่กระแทกกัน ทั้งสองฝ่ายถูกดีดสะท้อนเซถอยไปพร้อมกัน

มือสังหารที่เข้าปะทะอย่างซึ่งหน้ามีสีหน้าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าแปลกใจมาก

มือสังหารอีกสองคนเข้าร่วมปิดล้อมโจมตีทันที สวี่เหล่าลิ่วกับเหล่าสือก็มิได้นิ่งดูดาย พุ่งเข้าไปช่วยเหลือในทันใด มือสังหารทั้งสิบคนโจมตีประสานกันทันที ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ตะลุมบอน

พอทางนี้เริ่มต่อสู้กันขึ้นมา ชายโพกหน้าที่คุมตัวหนิวโหย่วเต้าไว้เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน “ด้วยสภาวะของเจ้า ตกมาอยู่ในกรงเล็บมังกรเขียวของข้าแล้วก็อย่าได้เปลืองแรงดิ้นรนอีกเลย”

เขาชักแขนเข้ามา หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ในกรงเล็บปราณสีเขียวก็ถูกลากเข้ามาทันที

ก่อนหน้านี้ยังกริ่งเกรงอยู่ กังวลว่าหนิวโหย่วเต้ามียันต์กระบี่สวรรค์อยู่กับตัวหรือไม่ถึงได้ใจกล้าถึงเพียงนี้ จึงไม่ค่อยกล้าหุนหันพลันแล่น รอจนควบคุมตัวหนิวโหย่วเต้าไว้ได้ ต่อให้มียันต์กระบี่สวรรค์อยู่จริงก็ไม่สามารถสำแดงเดชได้แล้ว ถึงได้คลายความกังวลลง

พอลากตัวหนิวโหย่วเต้าเข้ามา มือเขาแทรกผ่านเข้าไปในปราณเขียวกุมลำคอหนิวโหย่วเต้าไว้พร้อมกับตะโกนว่า “ฆ่า!”

ก่อนหน้านี้ที่ไม่ออกคำสั่งสังหารเพราะต้องการจับเป็น ตอนนี้จับเป็นหนิวโหย่วเต้าได้แล้ว อยากรู้อะไรก็ง้างเอาจากปากหนิวโหย่วเต้าได้ ความเป็นความตายของคนที่เหลือจึงไม่สำคัญอีกต่อไป

เพิ่งจะเอ่ยคำว่า ‘ฆ่า’ พ้นปากไป วินาทีที่กลุ่มมือสังหารลงมือ แววตาของชายโพกหน้าพลันแปรเปลี่ยนมหันต์

จู่ๆ เขาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ หนิวโหย่วเต้าที่ถูกพันธนาการไว้ในกรงเล็บมังกรเขียวซึ่งบีบร่างหนิวโหย่วเต้าไว้แน่นกลับดูเหมือนจะคลายตัวลงแล้ว ราวกับบีบความว่างเปล่าอยู่

ขณะที่เขารั้งตัวหนิวโหย่วเต้าเข้ามาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยคำว่า ‘ฆ่า’ ออกมา หนิวโหย่วเต้าก็ราวกับได้รับคำสั่งจากเขา มือที่กุมด้ามกระบี่ถือไปไหนมาไหนแทบจะตลอดพลันขยับในทันใด

คมกระบี่โผล่พ้นฝัก !

จังหวะนี้คือสิ่งที่หนิวโหย่วเต้ารอคอยอยู่

แรงกดดันบีบรัดของกรงเล็บมังกรเขียวพลันสลายไปไม่อาจควบคุมหนิวโหย่วได้อีก

อยู่ในระยะประชิดเกินไป หนิวโหย่วเต้าชักกระบี่ออกมารวดเร็วเหลือเกินอีกทั้งกะทันหันนัก ชายโพกหน้าคิดจะโต้กลับก็ไม่ทันแล้ว ป้องกันเหตุร้ายที่เกิดขึ้นไม่ทัน

เขามองเห็นแสงกระบี่เยียบเย็นแทงเข้าที่อกตน รู้สึกถึงความเย็นเฉียบชำแรกผ่านทรวงอก

เงามายากรงเล็บมังกรพังทลายลง สายลมกระโชกพัดออกไปทั่วทิศ เศษหญ้าปลิวว่อน พัดพาโลหิตที่ติดอยู่บนกระบี่ในมือของหนิวโหย่วเต้าไปด้วย

หนิวโหย่วเต้ากุมกระบี่ในแนวเฉียงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ ทั้งสองสบตากัน คนหนึ่งสงบเยือกเย็น อีกคนเปี่ยมด้วยแววตาตื่นกลัว

มือของชายโพกหน้ายื่นออกไปเกือบถึงลำคอหนิวโหย่วเต้าแล้ว เขาค่อยๆ ก้มหน้ามองทรวงอกตน มองเห็นโลหิตแดงฉานทะลักออกมาจากอก

มือเขาห้อยลู่ลงช้าๆ ทาบอยู่บนอกหนิวโหย่วเต้า ร่างกายโค้งงอทรุดตัวคุกเข่าลงเบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้าดังดุบ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

ชายโพกหน้าทั้งสี่ที่ปิดล้องทางนี้อยู่ก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นเช่นกัน ถึงขั้นที่สงสัยเล็กน้อยว่าฉากตรงหน้าเป็นการมองผิดไปหรือไม่

มือสังหารที่สังเกตเห็นสถานกาณณ์ทางนี้ล้วนตะลึงงัน หัวหน้าพลาดท่าหรือ?

พวกก่วนฟางอี๋ที่นึกห่วงความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต้ามาตลอดก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่มันอะไรกัน?

“คนสารเลว! ยังไม่รีบมาช่วยกันอีกหรือ?” ก่วนฟางอี๋ถือกระบี่คู่ที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อพยายามปัดป้องการโจมตีจากกระบี่บินร้องด่าออกมา ทั้งตกใจและดีใจ รู้สึกว่าความกังวลของตนสูญเปล่าแล้ว ที่แท้ไอ้สารเลวผู้นั้นก็ซ่อนคมไว้

แต่หนิวโหย่วเต้าจะมาช่วยเหลือได้อย่างไรเล่า มือสังหารทั้งสี่ที่ปิดล้อมหนิวโหย่วเต้าอยู่เข้าจู่โจมแล้ว

เกิดเสียงดังปัง! หนิวโหย่วเต้าถีบคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้ากระเด็นออกไป เริ่มต่อสู้กับสี่มือสังหารอย่างดุเดือด

แต่มือสังหารที่หอจันทร์กระจ่างส่งมาทรงพลังเหลือเกิน พริบตาเดียวพวกหนิวโหย่วเต้าก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโจมตีฝ่ายเดียว

ก่วนฟางอี๋ถูกกระบี่บินเข้าปิดล้อม ยากจะฝ่าออกไปได้ อีกฝ่ายโจมตีจากระยะไกล ยันต์กระบี่สวรรค์ของนางย่อมแสดงอานุภาพไม่ได้ แล้วจะปลดปล่อยอานุภาพของยันต์กระบี่สวรรค์ออกมาให้เสียเปล่าไปไยเล่า?

อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะใช่คนซ่อนคมอันใด ความต่างชั้นด้านสภาวะและพลังต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ความเร็วในการรุกถอยโจมตีของสี่มือสังหารหาใช่สิ่งที่เขาจะเทียบชั้นได้ เขาทำอันตรายฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เลย

โชคดีที่เขาตอบสนองว่องไวในระยะประชิดจึงพอจะปัดป้องการโจมตีทรงพลังแกร่งกล้าของสี่มือสังหารได้ ชั่วขณะนั้นถึงสี่มือสังหารร่วมมือกันก็ยากจะทำอะไรเขาได้

ทางฝั่งสวี่เหล่าลิ่ว เหล่าสือซานและหยวนกังก็ค่อนข้างวิกฤตเช่นกัน อาศัยใช้ยันต์อาคมในมือสลายวงล้อมได้เป็นครั้งคราว พอจะยืนหยัดต้านไว้ได้เล็กน้อย

กลับเป็นทางลุงเฉินที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตอย่างแท้จริง

แม้ว่าลุงเฉินจะทรงพลังแกร่งกล้า แต่มือสังหารที่หอจันทร์กระจ่างส่งมาก็มิใช่คนไร้ฝีมือ เมื่อเผชิญการปิดล้อมโจมตีจากยอดฝีมือนับสิบ สถานการณ์จะเป็นเช่นไรเพียงคิดดูก็รู้แล้ว

ยันต์อาคมที่มีถูกใช้จนสิ้นแล้ว เรี่ยวแรงก็ถดถอยเป็นม้าตีนปลายแล้วเช่นกัน

ประเด็นสำคัญคือในยามที่เผชิญการโจมตีจากยอดฝีมือเช่นนี้ หยวนฟางช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด ได้เพียงแบ่งรับการโมตีไปเท่านั้น ส่วนอิ๋นเอ๋อร์ไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น แทบจะยืนมองอยู่ตรงนั้นเฉยๆ เลย

ทั้งสองไม่เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือไม่ได้เท่านั้น ลุงเฉินยังต้องคิดหาทางปกป้องทั้งสองด้วย สู้กันแบบหนึ่งต่อสองก็ตึงมือแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการปิดล้อมโจมตีจากยอดฝีมือสิบคนเลย

‘ตึง!’ หยวนฟางถูกกระบี่ฟันร่างอีกครั้ง ถูกฟันจนล้มลงบนพื้น เสื้อผ้าบนร่างขาดเป็นรูเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว เขาโหยหวนคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น “อิ๋นเอ๋อร์ รีบลงมือเถอะ!” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

เขาใกล้จะร้องไห้แล้วจริงๆ ลุงเฉินเน้นปกป้องอิ๋นเอ๋อร์ไว้ ดังนั้นเขาย่อมซวยหนักกว่า

ดาบคู่ของเขาถูกศัตรูปัดกระเด็นไปแล้ว เลือดไหลกลบปากจมูก ถูกกระบี่ฟันร่างไปสิบกว่าทีแล้ว

เขาอยากถามลุงเฉินจริงๆ ว่าตาบอดไปแล้วหรือ นางยังจำเป็นให้เจ้าปกป้องอีกหรือ? คนที่ต้องการการปกป้องคือข้าต่างหาก!

อันที่จริงคนที่ใช้กระบี่โจมตีหยวนฟางล้วนแปลกใจทั้งสิ้น ตาเฒ่าคนนี้คงกระพันฟันแทงไม่เข้างั้นหรือ?

ครั้งนี้หยวนฟางนไม่ไหวแล้วจริงๆ เข้ากอดขาอิ๋นเอ๋อร์ไว้ไม่ยอมปล่อย “อิ๋นเอ๋อร์ ท่านรีบ…” วาจาขาดห้วงไป พอเงยหน้ามองก็ชะงักค้าง มองเห็นเส้นผมสีเงินปลิวไสวอยู่

……………………………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท