ตอนที่ 548 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
เซี่ยลิ่งเพ่ยเดินออกมาจากห้อง เหลียวมองจางเหล่าซานที่เดินตามติดอยู่ด้านหลังตนก้าวต่อก้าว จากนั้นก็มองมองสวี่เหล่าปาซึ่งกำลังจ้องมองมาทางนี้อยู่ไม่ไกล อดขมวดคิ้วไม่ได้
ก่อนหน้านี้เป็นสตรีชื่อหงเหนียงคนนั้นที่คอยจับตามองตน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสองคนนี้มาแทน เขารู้สึกเหมือนตนเป็นนักโทษที่ถูกคุมประพฤติอยู่
พอมาถึงหน้าเรือน มองเห็นหนิวโหย่วเต้าที่ยืนคุยกับก่วนฟางอี๋อยู่ในลานเรือน ดวงตาเซี่ยลิ่งเพ่ยเปล่งประกายทันที รีบเดินเข้าไปหา เดินไปหยุดตรงหน้าหนิวโหย่วเต้าแล้วคารวะอย่างอ่อนน้อม “อาจารย์!” แววตาเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นและเลื่อมใส
อาจารย์ท่านนี้ไม่ได้สอนอะไรให้เขาเลย เพียงเขียนโคลงกลอนหลายสิบบทแล้วโยนให้เขา ให้เขาไปศึกษาด้วยตัวเอง
เริ่มแรกเขารู้สึกไม่ได้เห็นดีนัก คิดว่าหนิวโหย่วเต้าก็โตกว่าตนไม่เท่าไร แต่หลังจากได้อ่านบทกลอนทั้งหมดแล้วพลันตกตะลึงในตัวหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา เพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดท่านลุงถึงบอกว่าบทกวีของคนผู้นี้ไพเราะเลิศล้ำ คู่ควรเป็นอาจารย์ได้ เรียกได้ว่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างหมดหัวใจ
เขาถูกประคบประหงมมาเป็นเวลานาน อยู่แต่ในบ้าน ความเข้าใจที่มีต่อโลกภายนอกส่วนใหญ่ล้วนมาจากหนังสือตำราทั้งสิ้น ย่อมกลายเป็นพวกคงแก่เรียนอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
โคลงดีงามหนึ่งบทสามารถทำให้เขาตบโต๊ะเชยชม เลือดลมพลุ่งพล่านได้
กลอนไพเราะหนึ่งบทสามารถทำให้เขาเศร้าสร้อยจมดิ่ง นอนกระสับกระส่ายทอดถอนใจทั้งคืนได้
โคลงกลอนหลายสิบบทนั้น สำหรับเขาแล้วนับเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง อ่านวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง
ซึ่งนี่ก็เป็นเจตนาของหนิวโหย่าวเต้า ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าไม่มีเวลามาสนใจสั่งสอนเขา ให้เขาอ่านทบทวนทำความเข้าใจกลอนเหล่านี้ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งไปก่อน หากจดจำจนอ่านทวนกลับหน้ากลับหลังได้ค่อยมาคุยเรื่องอื่นกัน
ถึงอย่างไรก็แค่เขียนให้เขาใช้ฆ่าเวลาไปส่งๆ เท่านั้น
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่อยู่ตรงนั้นตอบอืมคำหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเยียบเย็น “ไยไม่ไปศึกษาเล่าเรียน มาวิ่งเพ่นพ่านทำไม?” มีบุคลิกท่าทางของผู้เป็นอาจารย์อย่างยิ่ง
เซี่ยลิ่งเพ่ยอึกอัก ตอบรับด้วยความละอายใจ “ศิษย์จะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” ประสานมือคำนับ จากนั้นถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วหันหลังเดินออกไป
ก่วนฟางอี๋มองตามแล้วหลุดขำออกมา “ก็แค่คงแก่เรียนคนหนึ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าไฉนพวกอวี้ชางถึงดูแลดั่งสมบัติล้ำค่า”
“คงแก่เรียนแล้วมีอะไรเสียหายกันเล่า?” หนิวโหย่วเต้ามองแผ่นหลังที่ห่างออกไปพลางเอ่ยว่า “อย่างน้อยก็ได้มีชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง”
“เต้าเหยี่ย!” หยวนกังเร่งเดินเข้ามาหา พลางยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้
ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้ที่จะมองแขนคู่นั้นของหยวนกัง แววตาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาดก็มิปาน ไม่รู้เลยว่ามองด้วยสายตาเช่นนี้มากี่ครั้งแล้ว
พวกลุงเฉินบาดเจ็บสาหัส ถึงได้รับโอสถสมานฟ้าแล้วก็ยังยากจะหายดีได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งหมดจึงถูกส่งตัวกลับไปยังแหล่งกบดานที่ใช้ซ่อนตัว ผลัดเปลี่ยนสวี่เหล่าเอ้อร์ จางเหล่าซานและสวี่เหล่าปามาแทน แต่เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้บาดเจ็บสาหัสจนอยู่ในสภาพเช่นนั้น แม้แต่โอสถวิญญาณก็ไม่เอา สองแขนหักบิดผิดรูปไป เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน พอเจอหน้ากันอีกครั้งกลับพบว่าหายดีแล้ว
เมื่อคนประจำตำแหน่งพร้อมแล้ว ทางนี้จึงจัดตั้งช่องทางติดต่อสื่อสารขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
หนิวโหย่วเต้าอ่านจดหมายแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย เป็นข่าวจากทางสำนักเขามหายาน แจ้งว่าเจรจากับทางสามสำนักใหญ่ของแคว้นเยี่ยนแล้ว เริ่มดำเนินการได้เลย ทางสำนักเขามหายานจึงขอความร่วมมือจากทางนี้
เขายื่นจดหมายคืนหยวนกัง เอ่ยสั่งการไป “ติดต่อไปหาท่านอ๋อง ให้ท่านอ๋องเตรียมการทางนั้นไว้ ให้ความร่วมมือในการเข้ามารับช่วง”
หยวนกังหันหลังเดินออกไป
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “เรื่องสำนักหยกสวรรค์ได้ข้อสรุปแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ดีใจสักนิดเลยนะ”
“เรื่องราวไปตามที่คาดการณ์ไว้ มีอะไรต้องดีใจกันเล่า เซ่าผิงปอยังยุ่งยากกว่าสำนักหยกสวรรค์มากนัก” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ
ในเวลานี้เอง มีแขกสูงศักดิ์คนหนึ่งมาเยือน ปู้สวินมาหา
หนิวโหย่วเต้าออกไปต้อนรับแขกสูงศักดิ์หน้าประตูด้วยตัวเองแล้วพาเข้ามา จากนั้นก็เงยหน้ามองตะวันยามบ่าย มาหาในเวลานี้หรือ?
ทั้งสองเดินเข้าไปในศาลา พอนั่งแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จู่ๆ ผู้ดูแลหลวงมาเยือนกะทันหัน ทำให้ผู้เยาว์หวาดหวั่นว้าวุ่นเสียแล้ว!”
“ทำให้เจ้าหวาดหวั่นว้าวุ่นอย่างนั้นหรือ? เฮอะๆ!” ปู้สวินยิ้มคล้ายมิยิ้ม มองซ้ายมองขวาเล็กน้อย “ลูกศิษย์คนนั้นของเจ้ามิใช่ว่ารับใช้เจ้าแค่สามวันแล้วหรือ? นี่มันกี่วันเข้าไปแล้ว?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ผู้ดูแลหลวงคงมิได้มาเพื่อไล่แขกกระมัง? พวกเราอยู่ที่นี่วันๆ หนึ่งก็สิ้นเปลืองแค่ไม่เท่าไร ผู้ดูแลหลวงไหนเลยจะขาดแคลนเงินเล็กน้อยเท่านี้ได้?”
ปู้สวินไม่เถียงกับเขาแล้ว ทราบดีว่าคนผู้นี้ไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องลับลมคมนัยที่มีกับอวี้ชางออกมาง่ายๆ เเถียงไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงเอ่ยเตือนว่า “เซ่าผิงปอศัตรูคนนั้นของเจ้าไปที่แคว้นจิ้นแล้ว”
หนิวโหย่วพยักหน้ารับช้าๆ เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ทราบข่าวแล้ว ฉลองพระองค์ห่มกาย ได้รับเกียรติอย่างยิ่ง!”
ปู้สวินถอนหายใจ “อันที่จริงตอนตามสืบช่วงเกิดเรื่องก็พบเบาะแสแล้ว คืนนั้นที่เขาหนีไปไม่เพียงแต่ไปพบราชทูตแคว้นเว่ยเท่านั้น แต่ยังไปพบราชทูตแคว้นจิ้นด้วย เป็นพวกเราที่สะเพร่าไปเอง”
วาจานี้ทำให้หนิวโหย่วเต้าหน่ายแหนงอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียดสี “มาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้จะมีประโยชน์ ไร? ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่เล่า?”
ถึงแม้จะเอ่ยเสียดสีอีกฝ่าย แต่ตัวเขาก็ต้องยอมรับเลยว่าวิธีการของเซ่าผิงปอหลักแหลมมากจริงๆ ผู้ใดจะคาดถึงว่าแคว้นเว่ยจะให้ความร่วมมือเล่นละครไปกับเซ่าผิงปอ ซ้ำยังแสดงได้ดีไร้ที่ติด้วย เล่นละครในตอนที่เซ่าผิงปอหลบหนีไป หลังจากเซ่าผิงปอหนีไปแล้วก็ยังเล่นละครอีก ได้ยินว่าในวันต่อมาราชทูตแคว้นเว่ยยังวิ่งโร่ไปขอคำอธิบายจากเฮ่าอวิ๋นถูถึงวังหลวงด้วย
ก่อนจะมีข่าวเซ่าผิงปอแว่วมาจากทางแคว้นจิ้น ตัวเขาหนิวโหย่วเต้ายังคิดว่าเซ่าผิงปอหนีไปยังแคว้นเว่ยอยู่เลย เป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงมาโดยตลอด
อย่าว่าแต่ทางปู้สวินที่ประมาทเรื่องที่เซ่าผิงปอไปพบราชทูตแคว้นจิ้นเลย ตอนนั้นต่อให้เป็นตัวเขาที่ทราบเรื่องนี้ก็เกรงว่าคงละเลยไปเช่นกัน ยังคงจะจับตามองทางแคว้นเว่ยต่อไป ด้วยฐานะภูมิหลังของเซ่าผิงปอแล้ว การเดินทางไปพบราชทูตสองสามคนในฝั่งนี้จะมีอะไรน่าแปลกใจกันเล่า?
ประเด็นคือ กลวิธีของทางแคว้นเว่ยเห็นได้ชัดว่าต้องการส่งตัวเซ่าผิงปอไปยังแคว้นเว่ย ทางแคว้นเว่ยจะช่วยส่งคนหลบหนีไปยังแคว้นจิ้นได้อย่างไร?
กล่าวก็คือวิธีการนี้ของเซ่าผิงปอทำให้เขามองเส้นสนกลในใดๆ ไม่ออกเลยจริงๆ
แม้แต่เขาที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของเซ่าผิงปอยังจับจุดไม่ได้ คนอื่นๆ จะมองข้ามไปก็ไม่แปลกเลย
ปู้สวินหันมองออกไปนอกศาลา เอ่ยอย่างสะท้อนใจอย่างยิ่ง “ล้วนถูกกลยุทธ์ลวงพรางของเขาหลอกให้ไขว้เขวเสียแล้ว แคว้นเว่ยไม่มีทางช่วยส่งคนไปหาแคว้นจิ้น มีความเป็นไปได้สูงว่าแคว้นเว่ยจะถูกหลอกใช้เช่นกัน เซ่าผิงปอคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
เขาหันกลับมามองหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “เจ้าถ่อจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปถึงเป่ยโจว จากนั้นก็ตามไล่ล่าจากเป่ยโจวมายังเมืองหลวงแคว้นฉี แล้วจะยอมปล่อยไปเช่นนี้น่ะหรือ? เจ้าทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทันทีที่เขาได้รับอำนาจในแคว้นจิ้น เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
นี่คือเป้าหมายที่เขามาในครั้งนี้
เซ่าผิงปอไปที่แคว้นจิ้น ไม่เพียงแต่กระตุ้นความระแวงของเสวียนเวยเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นความระแวงของเฮ่าอวิ๋นถูเช่นกัน เรียกได้ว่าการที่ไท่ซูสยงปฏิบัติต่อเซ่าผิงปออย่างให้เกียรติทำให้เฮ่าอวิ๋นถูไม่สบายใจขึ้นมา
มิใช่เพียงแคว้นเว่ยกับแคว้นฉีเท่านั้น การปฏิบัติต่อเซ่าผิงปอของไท่ซูสยงทำให้แคว้นต่างๆ ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าทำให้มูลค่าของตัวเซ่าผิงปอพุ่งพรวดพราดขึ้นมา บุตรชายของเจ้าศักดินามณฑลหนึ่งที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ฐานทอดทิ้งบิดาตน ได้เปิดตัวต่อสายตาเหล่าผู้ปกครองในเจ็ดแคว้นอย่างเป็นทางการแล้ว!
แต่ทางแคว้นเว่ยกับแคว้นฉีต่างไปจากอีกสี่แคว้น เพื่อนบ้านจอมชั่วร้ายอยู่ติดกับพวกเขา เกิดเรื่องใดขึ้นพวกเขาย่อมเป็นเป้าหมายแรก
คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือศัตรูคู่อาฆาตของเซ่าผิงปอ แคว้นอื่นอาจจะไม่ทราบ แต่ปู้สวินทราบเรื่องดี เซ่าผิงปอมิได้เพิ่งเสียทีหนิวโหย่วเต้าเป็นครั้งแรก ม้าศึกหลายหมื่นตัวของเซ่าผิงปอเคยถูกคนผู้นี้ปล้นชิงไป ซ้ำครั้งนี้เซ่าผิงปอยังถูกบีบต้อนจนกลายเป็นสุนัขจรพลัดถิ่นอีก ตามไล่ล่ามาโดยตลอด เพียงแต่มาถึงช้าไปก้าวหนึ่งเท่านั้น เกือบจะได้ตัวมาแล้ว
บนโลกนี้ผู้ที่เข้าใจศัตรูดีที่สุด มิใช่สหายของศัตรูของศัตรู หากแต่เป็นศัตรูของศัตรูต่างหาก
คนที่สามารถขัดขาเซ่าผิงปอได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ ปู้สวินเชื่อว่าคนผู้นี้ย่อมเข้าใจในตัวเซ่าผิงปอเป็นอย่างดี ประกอบกับคนผู้นี้ก็กำจัดเซ่าผิงปอด้วย ดังนั้นที่ปู้สวินมาครั้งก็เพราะอยากฝากความหวังไว้กับหนิวโหย่วเต้า
พูดกันตามตรงคือ ทางนี้คิดจะยืมมือหนิวโหย่วเต้ากำจัดเซ่าผิงปอทิ้ง
หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “ข้าไม่คิดจะปล่อยไป แต่ตอนนี้อีกฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากไท่ซูสยงแล้ว ข้าจะทำอะไรเขาได้? หาไม่แล้วผู้ดูแลหลวงก็ช่วยชี้นแนะข้าได้หรือไม่?”
ปู้สวินเอ่ยว่า “ไปจัดการได้เต็มที่เลย กำลังคนของหน่วยข่าวกรองที่อยู่ในแคว้นจิ้นก็มิใช่ความลับอันใด หากต้องการความช่วยเหลือใดๆ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าจัดการให้ได้ ล้วนจะให้ความร่วมมือกับเจ้าอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงแต่ทางข้าเท่านั้น เชื่อว่าทางแคว้นเว่ยก็คงจะแสดงจุดยืนเช่นเดียวกัน มีสองแคว้นคอยหนุนหลังเจ้าอยู่ ด้วยความเข้าใจที่เจ้ามีต่อตัวเขา น่าจะคิดหาทางจัดการได้”
หนิวโหย่วเต้ารู้สึกขบขัน นี่เห็นได้ชัดว่าต้องการใช้เขาเป็นอาวุธสังหาร หากสามารถกำจัดเซ่าผิงปอได้ เขาก็ยินดีจะรับหน้าที่อาวุธสังหารนี้ไว้ แต่ปัญหาคือเซ่าผิงปอได้รับการปกป้องจากทางแคว้นจิ้น ไหนเลยจะจัดการได้ง่ายๆ ในสถานการณ์ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวอันใดเลย จู่ๆ จะให้วิ่งโร่เข้าไปในอาณาเขตแคว้นจิ้นเพื่อลงมือกับผู้มีเกียรติในสายตาของฮ่องเต้แคว้นจิ้น นั่นไม่ต่างจากการรนหาที่ตายเลย
แต่เขายังคงเอ่ยออกไปประโยคหนึ่ง “วิธีจัดการน่ะมีอยู่”
ปู้สวินร้องโอ้ ถามทันที “บอกรายละเอียดมาได้เลย”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างจริงจัง “แคว้นฉีส่งกองทัพออกไปโจมตีแคว้นจิ้นให้ราบ เซ่าผิงปอก็จะกลายเป็นเป็นคนไร้ที่พึ่ง เรื่องจัดการยกให้เป็นหน้าที่ข้าได้เลย ข้าจะเด็ดหัวเขามาให้ผู้ดูแลหลวงแน่นอน ไม่มีทางผิดคำพูดเด็ดขาด!”
“….” ปู้สวินถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก หากแคว้นฉีมีความสามารถขนาดนั้นจริง ยังต้องรอให้เจ้ามาเตือนอีกหรือ คงยกทัพไปถล่มแคว้นจิ้นนานแล้ว
“แค่ล้อเล่นเท่านั้น ผู้ดูแลหลวงอย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลย เรื่องนี้ไม่อาจวู่วามได้ ข้าจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ดีก่อน หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหลวง ข้าย่อมต้องมาขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหลวงอย่างแน่นอน” หนิวโหย่วเต้าเหลือช่องให้ตัวเอง ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการมัดตัวเอง
ในเมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้ ปู้สวินจึงได้แต่ต้องเปลี่ยนประเด็น “ด้วยความเข้าใจที่เจ้ามีต่อตัวเซ่าผิงปอ เจ้าคิดว่าหลังจากไปถึงแคว้นจิ้นแล้วเขาจะทำอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “ไม่ทราบว่าผู้ดูแลหลวงมองแคว้นจิ้นเช่นไร?”
ปู้สวินเอ่ยออกมาแปดคำ “กระหายสงคราม โหดร้ายป่าเถื่อน!”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “ผู้ดูแลหลวงก็ได้คำตอบแล้วมิใช่หรือ? ชัดเจนอยู่แล้ว ยังต้องคิดมากไปไย? ได้รับเกียรติจากไท่ซูสยงถึงเพียงนี้ได้ แสดงว่าจะต้องทำเรื่องที่ถูกใจเขาแน่นอน ตรงกับรสนิยมของเขา ข้าว่าแคว้นฉีควรเตรียมการแต่เนิ่นๆ ดีกว่า เตรียมเปิดศึกกับแคว้นจิ้นเถิด! ว่ากันตามจริง แทนที่จะนั่งรอปัญหา มิสู้ชิงเปิดก่อนดีกว่า แคว้นฉีสามารถพิจารณาเรื่องร่วมมือกับแคว้นเว่ยเข้าโจมตีแคว้นจิ้นพร้อมกัน ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน!”
ปู้สวินใคร่ครวญตาม จู่ๆ พลันตื่นตัวขึ้นมา สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ คิดจะมายืมมืออีกฝ่ายจัดการ เหตุใดกลับกลายเป็นเกือบถูกอีกฝ่ายยืมมือจัดการแทนเล่า?
เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย พบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ร้ายกาจนัก เกือบถูกชักจูงความคิดเข้าแล้ว หากถูกคนผู้นี้ล่อลวงไปจริงๆ แล้วกลับไปรายงานเฮ่าอวิ๋นถูตามนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นมา
แต่จะว่าไปแล้ว คำตอบที่หนิวโหย่วเต้ามอบให้ก็ยังคงสมเหตุสมผลอยู่ เขายังพอจะมีความสามารถในการแยกแยะอยู่
ยามจากไปปู้สวินยังคงใคร่ครวญคำตอบของหนิวโหย่วเต้าอยู่ เมื่อมีแนวทางที่แน่ชัดเช่นนี้แล้ว ก็นับว่าเขาไม่ได้มาเสียเที่ยว
เมื่อยืนส่งปู้สวินขึ้นรถม้าที่หน้าประตูจากไปเรียบร้อยแล้ว ก่วนฟางอี๋ที่ติดตามหนิวโหย่วเต้ามาด้วยหันกลับมาเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่กลัวเซ่าผิงปอจะยืมอำนาจแคว้นจิ้นมาจัดการเจ้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “การอาศัยกำลังของแคว้นจิ้นมาจัดการข้านั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ยังต้องสงสัยในข้อนี้อีกหรือ? แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้หรอก ความทะเยอทะยานของเขาก็ไม่หยุดลงเพียงเท่านี้เช่นกัน ตอนนี้เป้าหมายแรกของเขาคือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากไท่ซูสยง ไม่มีทางรีบแสดงความต้องการส่วนตัวออกมา เพิ่งไปถึงยังไม่ทันยืนได้มั่นคงก็จะคิดจะหยิบยืมอำนาจของแคว้นจิ้นแล้ว เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ? ตอนนี้ข้ายังไม่จำเป็นต้องกังวลกับเซ่าผิงปอ แต่เป็นไท่ซูสยงคนนั้นต่างหาก ฮ่องเต้ผู้นี้เด็ดเดี่ยวนัก ถอดฉลองพระองค์คลุมกายจูงมือถือแขน หากเขาเป็นฝ่ายออกหน้าแทนเซ่าผิงปอ อย่างนั้นก็ยุ่งยากแล้ว”
………………………………………………………………………….