“ที่ร้านนี้งั้นหรอ… จะว่าไปก็ไม่ได้มาทำงานที่นี่สักพักนึงแล้วนะเนี่ย…”
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกนากากำลังเดินกลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์นั้นเอง ที่ด้านหน้าบาร์เหล้าแห่งหนึ่งในเขตเมืองหลวงกราวิทัสเองก็ได้มีเสียงพูดพึมพำของเด็กหนุ่มสารพัดรับจ้าง เดริค ดังขึ้นมาเบาๆ เมื่อเขาได้เดินมาหยุดอยู่หน้าสถานที่ที่ถูกระบุเอาไว้ในแผ่นกระดาษในมือ
ซึ่งเดริคที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับบาร์เหล้าเบื้องหน้าดีเนื่องจากว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเคยถูกว่าจ้างโดยเจ้าของบาร์เหล้าแห่งนี้อยู่บ่อยๆ นั้นก็ได้ใช้เวลายืนทำใจอยู่เล็กน้อยก่อนที่เขาจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปภายใน
กริ๊ง—กริ๊ง—
“เฮ้ยๆ เจ้าหนูจากที่ไหนวะเนี่ย ที่นี่ไม่ต้อนรับเด็กอายุไม่ถึง— อ้าว… ที่แท้ก็เจ้าหนูเดริคเองหรอกเรอะ”
ในทันทีที่เดริคเปิดประตูและย่างเท้าเข้าไปภายในนั้นเอง ก็ได้มีเสียงห้าวๆ ของชายหนุ่มเจ้าของบาร์ที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีพูดทักทายขึ้นมาให้เขาได้ยิน ซึ่งคำพูดของเจ้าของบาร์นั้นก็ได้ทำให้หลายๆ คนที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักมักคุ้นกับเดริคอยู่บ้างหันมามองทางเขาด้วยความสนใจจนทำให้เดริคต้องรีบพูดทักทายเจ้าของร้านขึ้นมา
“แหะๆ สวัสดีครับโอนเนอร์”
“เออๆ สวัสดี แต่วันนี้ฉันไม่ได้จ้างแกมาช่วยงานไม่ใช่หรือไง นี่อย่าบอกนะว่าจะมาดื่มน่ะ อายุยังไม่ถึงก็ยังเสิร์ฟให้ไม่ได้นะโว้ย”
“บ๊ะ เด็กดีอย่างผมเนี่ยนะจะมาดื่มอะไรแบบนั้นน่ะ ไม่มีทางซะล่ะ”
“แล้วถ้าไม่ได้มาดื่มแล้วแกมาทำอะไรที่นี่กันล่ะ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันเพิ่งจะได้เด็กเสิร์ฟคนใหม่มาน่ะเพราะงั้นช่วงนี้คงจะจ้างแกไม่ได้หรอกนะ”
เจ้าของบาร์ที่ได้ยินคำตอบของเดริคนั้นได้เลิกคิ้วถามเด็กหนุ่มกลับไปด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้เดริคต้องรีบพูดตอบเขากลับไปก่อนที่เขาจะโดนชายหนุ่มเบื้องหน้าโยนออกจากร้านข้อหามารบกวนการค้าขาย
“ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นสักหน่อย คือว่าก่อนหน้านี้น่าจะมีสาวใช้คนนึงมาจองห้องพักเอาไว้ในชื่อเดริคใช่มั้ยล่ะครับ”
“หะ? ตกลงชื่อเดริคที่ว่านี่หมายถึงแกเองจริงๆ งั้นเรอะ? ฉันก็นึกว่าเป็นคนชื่อเหมือนเฉยๆ ซะอีก… เอาเป็นว่าตามมานี่ก่อนมา!”
เจ้าของบาร์นั้นได้แสดงท่าทีประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนที่เขาจะเรียกให้เดริคเดินอ้อมเข้าไปด้านหลังของเคาน์เตอร์เพื่อเข้าไปส่วนด้านในของตัวร้านที่เป็นส่วนของห้องส่วนตัวที่ต้องจองล่วงหน้าพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนออกมาให้เด็กหนุ่มฟังไปด้วย
“นี่เดี๋ยวนี้แกถึงขั้นไปรับงานจากพวกสาวใช้ในวังหลวงมาทำเลยงั้นหรอน่ะ… เฮ้อ…ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน ฉันไม่อยากจะให้แกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรข้างในนั้นเลยนะ ยิ่งเป็นในตอนนี้ที่เริ่มมีคนออกมาจับกลุ่มโวยวายกันตามถนนแบบนี้แล้วด้วยน่ะ”
“แหะๆ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่ได้อยากจะรับงานนี้มาสักเท่าไหร่หรอกครับ แต่เห็นเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากก็เลยอดช่วยไม่ได้น่ะ”
“เหวย… ฉันไม่ได้คิดจะดูถูกนะ แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เขาจะมาจ้างวานเด็กอย่างแกทำไมกันเล่าจริงมั้ย? แต่ก็เอาเถอะ แกเองก็โตแล้วคงจะคิดเองอะไรเองได้เพราะงั้นฉันจะไม่พูดอะไรมากก็แล้วกัน เอาเป็นว่าตอนนี้แกเข้าไปนั่งรอพวกเขาอยู่ข้างในห้องนี่ก่อนเถอะ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อย่าทำให้ร้านของฉันต้องเดือดร้อนไปด้วยล่ะ”
“ต่อให้ไม่บอกผมก็ไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้วล่ะครับ!”
เดริคที่ได้ยินคำเตือนของเจ้าของร้านได้พยักหน้าพูดตอบเขากลับไปแบบส่งๆ จนทำให้เจ้าของร้านได้แต่พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ในขณะที่ทางด้านเดริคนั้นก็ได้หันกลับไปมองดูห้องรับรองสุดหรูอันเป็นห้องรับรองที่ดีที่สุดของบาร์เหล้าแห่งนี้ด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองที่เคยได้แต่ทำงานทำความสะอาดห้องหรูๆ แบบนี้ในฐานะพนักงานชั่วคราวจะมีโอกาสได้เข้ามาใช้งานมันในฐานะลูกค้าเสียเอง
“เล่นจองห้องพิเศษให้เลยงั้นหรอเนี่ย ถ้าจำไม่ผิดราคาต่อชั่วโมงมันก็ไม่ใช่เล่นๆ ซะด้วยสิ…”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ฉันไอวี่เองค่ะ ขออนุญาตเข้าไปนะคะ”
ในขณะที่เดริคกำลังนั่งรออยู่เพลินๆ อยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงเคาะประตูและเสียงของสาวใช้ผมสีเขียวทรงหางม้านามว่า ไอวี่ สาวใช้ผู้ที่เป็นคนจ้างวานเดริคให้สืบหาข้อมูลของสองพี่น้องตระกูลขุนนางที่หายตัวไปดังขึ้นมาจากเบื้องนอกจนทำให้เขาต้องรีบพูดตอบกลับไป
“อ่ะ เข้ามาเลยๆ ไม่ต้องสุภาพเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้”
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ พอดีฉันชินกับเวลาที่อยู่กับเจ้านายของฉันไปหน่อย…”
หลังจากที่สิ้นเสียงของเดริคไปแล้วนั้น ประตูของห้องรับรองก็ได้ถูกเปิดออกพร้อมๆ กับที่มีร่างของไอวี่ที่ยังคงแต่งตัวอยู่ในชุดสาวใช้ประจำตัวเดินเข้ามาภายใน แต่ถึงอย่างนั้น ที่ด้านหลังของเธอนั้นก็กลับมีหญิงสาวผมสีส้มทรงทวินเทลที่ปัดผมด้านหน้าลงมาปิดดวงตาสีเขียวของเธอเอาไว้ข้างหนึ่งในชุดเครื่องแบบสาวใช้ที่ดูคล้ายๆ กันเดินตามเข้ามาภายในห้องด้วยอีกคนหนึ่งจนทำให้เดริคต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
ซึ่งท่าทางสงสัยของเดริคนั้นก็ได้ทำให้ไอวี่ต้องรีบพูดแนะนำตัวสาวใช้อีกคนหนึ่งขึ้นมาให้เขาได้รู้จัก
“เธอคนนี้ชื่อว่า ทรีนิตี้ เป็นพี่สาวของฉันเองค่ะ”
“สวัสดีค่ะ คุณคงจะเป็นเดริคที่ไอวี่พูดถึงงั้นสินะคะ”
หญิงสาวผมสีส้มที่มีชื่อว่า ทรีนิตี้ นั้นไม่ได้รอให้เดริคพูดทักทายเธอขึ้นมาก่อนและพูดตรงเข้าเรื่องในทันทีบ่งบอกได้ว่าเธอคงจะมีนิสัยที่จริงจังและเข้มงวดดั่งเช่นที่เธอแสดงออกให้เห็น และนั่นก็ทำให้เดริคที่มักจะแสดงท่าทีเป็นกันเองกับไอวี่ตัดสินใจที่จะใช้ถ้อยคำที่สุภาพและเป็นทางการกว่าปกติในการเข้าหาเธอแทน
“ช–ใช่แล้วครับ! ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”
“พี่ทรินคะ หนูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าถ้าทำหน้าดุแบบนั้นคนอื่นเขาจะกลัวกันหมดน่ะค่ะ… ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะเดริค คือว่าพี่ทรินเขาชอบทำหน้าดุๆ แบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้โกรธอะไรมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วน่ะค่ะ เอ่อ… พี่ทรินไม่ได้โกรธหรือโมโหอะไรอยู่ใช่มั้ยคะ…?”
ท่าทางเกร็งๆ ของเดริคนั้นได้ทำให้ไอวี่ที่ดูภายนอกแล้วเป็นคนอ่อนโยนที่มีแววตาเศร้าๆ อยู่ตลอดเวลาแตกต่างจากพี่สาวของเธอเป็นคนละขั้วต้องรีบพูดเตือนพี่สาวของเธอขึ้นมาก่อนที่เธอจะเอ่ยปากกระซิบพูดถามหญิงสาวผู้เป็นพี่ขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ
และนั่นก็ทำให้ทรีนิตี้ที่เห็นท่าทางหวาดๆ ของน้องสาวของเธอมีท่าทีที่ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดกับเดริคขึ้นมา
“ฉันแค่ตามไอวี่เขามาด้วยเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็เท่านั้นล่ะ ก็อย่างที่นายน่าจะเห็นอยู่แล้วว่าเด็กคนนี้เขาค่อนข้างจะอ่อนต่อโลกไปสักหน่อย”
“ห…หนูไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย…”
ไอวี่ที่ได้ยินพี่สาวของเธอพูดนินทาขึ้นมาได้เอ่ยปากพูดเถียงกลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันไปทางด้านเดริคแล้วพูดถามเด็กหนุ่มขึ้นมา
“แล้วนี่คุณเซียกับคุณทีออสไม่มาด้วยงั้นหรอคะเดริค?”
“ถ้าเป็นยัยเซียล่ะก็เห็นบอกว่าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเบื้องบนก็เลยหนีกลับไปก่อนแล้วน่ะ ส่วนเจ้าเด็กดีทีออสนี่ดึกป่านนี้น่าจะหลับปุ๋ยไปแล้วมั้งเพราะเห็นพักนี้หมอนั่นบ่นอยู่บ่อยๆ ว่านอนไม่พอน่ะ”
“ก็นับว่าคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่พาคนอื่นเข้ามายุ่งด้วยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ น่ะ”
คำตอบของเดริคที่หันไปพูดตอบไอวี่นั้นได้ทำให้ทรีนิตี้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดชมเชยขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ไอวี่ที่ได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาบ้าง
“หนูคิดว่าเดริคเขาไม่ได้คิดจะไม่พาคนอื่นมาด้วยแต่ว่าโดนทิ้งให้มาคนเดียวมากกว่านะคะ… แต่ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่าพวกเรามาพูดเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะคะ ไหนล่ะคะข้อมูลที่เดริคบอกว่าได้มาแล้วน่ะ”
“โอ้… นี่ไง”
เดริคที่ได้ยินคำสั่งของนายจ้างของเขาได้พยักหน้ากลับไปให้เธอและหยิบเอาแผ่นที่เมืองกราวิทัสที่เขาพกติดตัวเอาไว้ออกมากางให้หญิงสาวทั้งสองคนดูก่อนที่เขาจะจิ้มไปที่หนึ่งในวงกลมสีแดงที่เขาวงเอาไว้ในแผนที่และเอ่ยปากพูดอธิบายขึ้นมาให้พวกเธอได้ฟัง
“เอาจริงๆ ต้องนับว่าไอวี่จังโชคดีแล้วล่ะที่จ้างฉันที่เคยเรียนอยู่ในโรงเรียนหลวงกราวิทัสไปสืบค้นเรื่องนี้ให้น่ะ เพราะถึงฉันจะไม่ได้รู้จักเด็กผู้หญิงที่ชื่อ เรเกียน่า คนที่เป็นน้องสาวเพราะว่าเธอเรียนอยู่คนละโรงเรียนกันก็เถอะ แต่ว่าพี่ชายของเธอที่ชื่อ รากูน่า นั่นน่ะเคยเรียนอยู่ปีการศึกษาเดียวกันกับฉันจริงๆ … ถึงตอนนี้เขาจะหายตัวไปหลังจากที่คุณพ่อของเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เถอะนะ”
“หมายถึงหายตัวไปในทันทีหลังจากที่คุณพ่อของเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาน่ะหรอคะ?”
“อื้ม ไม่มีอาจารย์คนไหนได้เจอหน้า ไม่ได้โผล่มาเข้าเรียน แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนๆ คนไหนเลย อย่างกับว่าหมอนั่นไม่เคยมีตัวตนมาก่อนยังไงยังนั้นแหล่ะ”
“แต่ก็ไม่เชิงว่าจะไม่มีร่องรอยว่าพวกเขาหายตัวไปไหนสินะ”
คำตอบของเดริคได้ทำให้ทรีนิตี้เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนที่เธอจะยื่นนิ้วที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยถุงมือสีดำเคาะไปยังหนึ่งในวงกลมสีแดงจำนวนหนึ่งที่เดริควงเอาไว้ในแผนที่
ซึ่งคำพูดของทรีนิตี้นั้นก็ได้ทำให้เดริคพยักหน้ากลับไปให้เธอก่อนที่เขาจะพูดอธิบายขึ้นมาต่อ
“ใช่แล้วล่ะ จากข้อมูลที่ฉันกับทีออสหามาได้ดูเหมือนว่าในช่วงก่อนที่รากูน่าจะหายตัวไปจะมีพวกรถกระบะของทางเมืองที่ถูกขับโดยทหารประจำเมืองวิ่งเข้าไปในเขตหอพักชายของทางโรงเรียนก่อนจะขับกลับออกไปในเวลาไม่นานน่ะ แล้วถ้าพูดถึงจุดที่เป็นส่วนของทางเมืองที่มักจะมีรถกระบะของทางทหารขับเข้าออกอยู่บ่อยๆ มันก็มีแค่ในจุดที่ฉันวงเอาไว้ในแผนที่พวกนี้นั่นแหล่ะ”
“อาคารที่พักทหารยามประจำเขตรอบนอกเมืองกราวิทัส เรือนจำหลวงกราวิทัส ค่ายทหารหลักประจำเมือง วังหลวงกราวิทัส แล้วก็อีกสองสามจุดที่ไม่มีในฐานข้อมูลงั้นหรอคะ… แต่ละที่ไม่น่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยสักเท่าไหร่เลยนะคะ”
“นายมั่นใจหรือเปล่าว่าสองพี่น้องนั่นจะอยู่ในหนึ่งในสถานที่ที่นายวงเอาไว้นี่น่ะ?”
ในขณะที่ไอวี่มีท่าทีกลุ้มใจเล็กน้อยให้กับสถานที่ต่างๆ ที่ถูกวงเอาไว้ในแผนที่ของเดริคนั้นเอง ทางด้านทรีนิตี้ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตัวแผนที่เพื่อพูดถามเดริคขึ้นมาตรงๆ จนทำให้เดริคได้แต่ยักไหล่ก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไปตามความเป็นจริง
“ก็ถ้าเกิดว่าเรื่องรถกระบะนั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ ล่ะก็เขาก็ควรจะอยู่ข้างในวงกลมนั่นไม่จุดไหนก็จุดนึงนั่นแหล่ะ… อ๋อ… แต่ที่ฉันพูดถึงนั่นหมายถึงแค่เรื่องของรากูน่าที่เป็นพี่ชายเท่านั้นนะ เพราะว่าทางด้านเรเกียน่าคนที่เป็นน้องสาวน่ะถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนประจำของพวกลูกคุณหนูตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แถมโรงเรียนนั้นเวลาเปิดภาคเรียนแต่ละทีก็แทบจะปิดโรงเรียนเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ใครเข้าออกเลยด้วย เพราะงั้นจนป่านนี้เด็กคนนั้นก็น่าจะยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำล่ะมั้งว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของตัวเองน่ะ”
“เอ๋…? แต่ว่าเรื่องมันใหญ่ตั้งขนาดนั้นจะไม่มีใครไปแจ้งข่าวเลยงั้นหรอคะ”
“ก็ปัญหามันน่าจะอยู่ตรงที่พี่ชายของเธอนั่นแหล่ะ เพราะจากข้อมูลที่ทางฉันได้มาเหมือนว่าในวันที่เกิดเรื่องขึ้นมา รากูน่าเขาจะขอร้องให้ทางโรงเรียนหลวงกราวิทัสปิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับทางครอบครัวของเขาเป็นความลับอย่าเพิ่งไปบอกน้องสาวที่อยู่คนละโรงเรียนกันก่อนที่เขาจะออกไปทำอะไรบางอย่างด้วยตัวคนเดียวแล้วก็หายตัวไปในเวลาหลังจากนั้นไม่นานน่ะ”
“แต่ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กผู้หญิงคนที่ชื่อว่าเรเกียน่านั่นไม่ได้ถูกจับตัวไปแล้วน่ะ?”
ในขณะที่เดริคกำลังพูดอธิบายออกมาให้ไอวี่ฟังอยู่นั้นเอง ทางด้านทรีนิตี้ก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาตรงๆ ด้วยความสงสัยเพราะว่าในเมื่อโรงเรียนที่เรเกียน่าถูกส่งเข้าไปเรียนมันเป็นโรงเรียนปิดแบบนั้นแล้วเดริคสามารถเอาอะไรมามั่นใจได้ว่าเรเกียน่าผู้เป็นน้องสาวไม่ได้ถูกจับตัวตามพี่ชายของเธอไป
ซึ่งคำถามของทรีนิตี้นั้นก็ได้ทำให้เดริคที่อยู่อาศัยในเมืองกราวิทัสมาตั้งแต่เกิดยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบคำถามของเธอออกมา
“หลักฐานที่ว่าเรเกียน่าไม่ได้ถูกจับตัวไปแล้วก็คือการที่จนถึงวันนี้ก็ยังมีทหารนอกเครื่องแบบของเมืองกราวิทัสคอยไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่แถวๆ โรงเรียนนั้นอยู่ทุกวี่ทุกวันยังไงล่ะ พวกนั้นคงจะคิดว่าไหนๆ เรเกียน่าก็ออกมาทำเรื่องวุ่นวายอะไรข้างนอกโรงเรียนไม่ได้จนกว่าจะปิดภาคเรียนอยู่แล้วก็เลยไม่คิดว่าจะต้องรีบร้อนทำอะไรล่ะมั้ง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้างนะคะ เพราะถ้าเกิดมีเด็กนักเรียนหายไปในเขตโรงเรียนที่ปิดเป็นเขตโลกส่วนตัวของโรงเรียนแบบนั้นก็คงจะปิดให้เป็นความลับได้ยากกว่ามาก เอาเป็นว่าพวกฉันขอขอบคุณเดริคที่อุตส่าห์เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงหาข้อมูลให้พวกฉันด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่าฉันไม่ได้ทำให้พวกเธอฟรีๆ สักหน่อย แต่ถ้าเกิดว่าพวกเธออยากรู้ว่ารากูน่าเขาถูกจับไปอยู่ที่จุดไหนกันแน่ก็ขอเวลาให้ฉันอีกสักสองสามวันก็แล้วกัน ถือซะว่าเป็นบริการหลังการขายอะไรแบบนั้นน่ะ”
เดริคพูดตอบไอวี่กลับไปก่อนที่เขาจะพูดข้อเสนอขึ้นมาให้กับผู้ว่าจ้างที่จ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าให้เขาเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่มีท่าทีว่าจะตุกติกแบบที่หาไม่ได้บ่อยๆ ในเมืองแห่งนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่ไอวี่จะได้พูดตอบอะไรกลับไป ทางด้านทรีนิตี้ผู้เป็นพี่สาวของเธอก็ได้ชิงเอ่ยปากพูดตอบเดริคกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้อง เดี๋ยวที่เหลือพวกฉันจัดการเอง”
“อ่ะ… ไม่ใช่ว่าฉันพูดขึ้นมาเพื่อหวังจะให้พวกเธอจ้างฉันต่อหรืออะไรนะ! เพราะถึงฉันจะไม่ได้สนิทกับเจ้ารากูน่ามากสักเท่าไหร่ก็เถอะแต่ว่ายังไงพวกฉันก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน เพราะงั้นฉันเองก็เลยอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่นเหมือนกันน่ะ!”
คำพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ของทรีนิตี้นั้นได้ทำให้เดริคชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดขึ้นมาเพราะคิดว่าสาวใช้ทั้งสองคนอาจจะเข้าใจผิดกับคำพูดของเขา
ซึ่งท่าทางร้อนรนของเด็กหนุ่มก็ได้ทำให้ไอวี่ต้องหันไปมองทางด้านพี่สาวของเธอด้วยท่าทีตำหนิเพราะว่าพี่สาวของเธอเล่นพูดขึ้นมาห้วนๆ ซะจนดูราวกับว่าเธอคิดว่าเดริคเป็นคนเห็นแก่เงินที่อยากจะรีดเงินว่าจ้างจากพวกเธออีกครั้งอย่างไรอย่างนั้นจนทำให้ทรีนิตี้ต้องพูดอธิบายออกมา
“ฉันรู้ แค่จากการที่นายกับเพื่อนยอมเสี่ยงเข้าไปหาข้อมูลเรื่องนี้มาให้กับพวกฉัน พวกฉันก็รู้ได้แล้วล่ะว่าเรื่องค่าตอบแทนมันไม่ใช่อะไรที่นายต้องการหรอก”
“ถ้างั้นแล้วทำไม—”
“ก็เพราะว่าพวกฉันคงจะปล่อยให้เด็กคนนึงอย่างคุณเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วน่ะสิคะ ยิ่งเป็นช่วงหลังจากที่พวกคุณเปิดเผยหน้าตาเข้าไปสอบถามใครต่อใครเกี่ยวกับเรื่องนี้แบบนี้แล้วด้วยน่ะ…”
ในขณะที่เดริคกำลังจะพูดถามกลับมาอยู่นั้นเอง ไอวี่ที่รู้ดีว่าพี่สาวของเธอเป็นคนพูดอะไรไม่เก่งสักเท่าไหร่ก็ได้ชิงพูดอธิบายออกมาให้เดริคได้ฟังแทน และนั่นก็ทำให้เดริคที่ในตอนแรกก็คิดที่จะตามสืบเรื่องของรากูน่าต่อได้แต่นิ่งเงียบไปเพราะว่ามันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับรากูน่าหรือว่าเรเกียน่าในช่วงเวลาหลังจากที่เขาและทีออสเพิ่งจะเที่ยวไปสอบถามข้อมูลของสองคนนั้นขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ พวกเขาก็คงจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
“เฮ้อ… ถ้าเกิดนายจ้างทั้งสองคนยืนยันแบบนั้นฉันก็คงจะได้แต่ทำตามเท่านั้นแหล่ะ ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าการว่าจ้างของพวกเธอก็จบลงเท่านี้เลยก็แล้วกัน”
“อื้ม ตัดสินใจได้ดี”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะเดริค”
“งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนเลยก็แล้วกัน หวังว่าจะได้มีโอกาสทำงานให้กับพวกเธออีกนะไอวี่จัง”
เดริคยิ้มพร้อมพูดตอบสาวใช้ทั้งสองคนกลับไปก่อนที่เขาจะเดินหายออกไปจากห้องรับรองสุดหรูในขณะที่สองพี่น้องสาวใช้อย่างไอวี่และทรีนิตี้ก็ได้หันกลับไปพูดคุยกันเอง
“ก็นับว่าเป็นคนที่คุยให้เข้าใจได้ง่ายดี นับว่าเธอเลือกคนมาทำงานด้วยได้ดีแล้วล่ะไอวี่”
“ขอบคุณค่ะพี่ทริน แต่ถ้าเกิดว่าเรื่องมันเกี่ยวข้องกับทางกองกำลังของเมืองกราวิทัสแบบนี้เราคงจะต้องส่งงานต่อให้กับพวกพี่ฮานะเขาแทนแล้วใช่หรือเปล่าคะ?”
“ถ้าตามแผนการเดิมก็ใช่ ระหว่างที่คุยกันอยู่เมื่อกี้นี้พี่ก็ส่งข้อมูลไปให้ทางด้านนั้นแล้ว— นั่นไง… มีการเปลี่ยนคำสั่งของเธอแล้วนั่นน่ะ เธอลองตรวจสอบดูสิไอวี่”
“อ่ะ— ขอเวลาสักครู่นะคะ”
คำพูดของทรีนิตี้นั้นได้ทำให้ไอวี่ต้องรีบพูดตอบกลับไปก่อนที่เธอจะนิ่งเงียบไปเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่งที่ถูกส่งตรงเข้ามาในหัวของเธออันเป็นช่องทางการสื่อสารหลักของเหล่าแฟรี่ผู้มีปีกแสงสีต่างๆ อย่างพวกเธอ
แต่ทว่าในทันทีที่ไอวี่ได้รับรู้คำสั่งใหม่ที่ถูกส่งตรงมาเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติภารกิจในเมืองกราวิทัสนั้น สีหน้าของเธอที่มักจะออกแววเศร้าๆ อยู่เสมอก็กลับกลายเป็นการขมวดคิ้วด้วยท่าทีไม่ชอบใจเสียแทนก่อนที่เธอจะพูดถามพี่สาวของเธอขึ้นมาเสียงดัง
“ที่พี่ฮานะบอกว่าจะส่งซัมเมอร์มาเป็นหัวหน้าทีมช่วยเหลือแทนตัวเองนี่มันหมายความว่ายังไงกันคะพี่ทริน…!? ไม่ว่าจะดูยังไงซัมเมอร์เขาก็ไม่ค่อยจะ…ไม่ค่อยจะเสถียรสักเท่าไหร่เลยไม่ใช่หรอคะ!? นี่พวกเราจะมาช่วยคนกันไม่ใช่จะมาทำภารกิจทำลายล้างนะคะ!”
“ก็ใช่ แต่ที่พี่ฮานะบอกว่าการส่งซัมเมอร์ที่เป็นมนุษย์มาจัดการเรื่องของมนุษย์ด้วยกันมันเป็นเรื่องที่สมควรทำมันก็เป็นเหตุผลที่พอจะรับฟังได้อยู่ แถมแผนการนี้ก็ได้รับการอนุมัติมาเรียบร้อยแล้วด้วย พวกเราคงจะเปลี่ยนแปลงกันเองไม่ได้หรอกนะ”
“ถึงพี่ทรินจะพูดแบบนั้นก็เถอะค่ะ แต่ไม่ใช่ว่ามันยังเร็วเกินไปสำหรับเด็กที่รู้จักแต่การแก้แค้นอย่างซัมเมอร์อยู่ดีไม่ใช่หรอคะ!? ดูอย่างในรายงานภารกิจคราวที่แล้วสิคะ ทั้งๆ ที่ภารกิจช่วยเหลือสำเร็จแล้วแต่เด็กคนนั้นก็ยังเที่ยวไปไล่ฆ่าพวกอัศวินคนอื่นๆ ทิ้งไปทั้งๆ ที่มันไม่มีความจำเป็นไปตั้งกี่รายก็ไม่รู้ไม่ใช่หรอคะ!?”
“ถ้าเธอคิดว่าซัมเมอร์ไม่เหมาะที่จะมาทำงานนี้งั้นที่พวกเราทำได้ก็คงจะมีแค่การรีบทำภารกิจนี้ให้เสร็จก่อนที่ซัมเมอร์จะมาถึง ไม่ก็จำกัดขอบเขตที่ซัมเมอร์ต้องลงไปในพื้นที่ให้น้อยที่สุดเท่านั้นล่ะ เพราะถ้าเด็กคนนั้นมาถึงแล้วไม่มีอะไรเหลือให้ทำเธอก็คงจะก่อเรื่องอะไรไม่ได้”
ทรีนิตี้ที่ได้ยินความกังวลใจของไอวี่ผู้เป็นน้องสาวนั้นได้พูดเสนอทางออกที่ไม่เป็นการขัดคำสั่งที่ได้รับออกมา และนั่นก็ทำให้ไอวี่ได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไป
“….เข้าใจแล้วค่ะ วิธีที่พี่ทรินว่ามาน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้แล้วล่ะค่ะ… ถึงที่จริงแล้วถ้าเป็นไปได้หนูจะไม่อยากให้ซัมเมอร์เขามาที่นี่ตั้งแต่แรกเลยก็เถอะ…”
“ถ้างั้นวันนี้ฉันฝากอีฟเขาไว้กับเธอหน่อยละกันนะเอริกะ แล้วถ้าเป็นไปได้เธอก็อย่าไปแกล้งอีฟเขามากนักล่ะ”
ในช่วงเช้าของวันถัดมานั้นเอง ที่หน้าบ้านของเอริกะก็ได้มีเสียงของนากาที่พูดบอกนักประดิษฐ์สาวเจ้าของบ้านขึ้นมาในขณะที่เขากำลังดันหลังของอีฟให้เดินเข้าไปหาเอริกะโดยที่ข้างกายของเขาก็มีคอนแนลกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างๆ เด็กสาวด้วยความเป็นห่วงอยู่อีกคนหนึ่ง
ซึ่งท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจนเกินเหตุของคอนแนลนั้นก็แทบจะทำให้เอริกะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“แหม่ เรื่องแกล้งกันนี่ถ้าเกิดว่าอีฟจังเขาทำตัวเป็นเด็กดีมันก็ไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นหรอกจริงมั้ยจ๊ะ~”
“ยังไงก็พยายามเชื่อฟังคุณเอริกะเขาสักหน่อยละกันนะครับอีฟ”
“~~~”
คำพูดด้วยความเป็นห่วงของคอนแนลหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดเตือนของเอริกะนั้นได้ทำให้อีฟหันไปพยักหน้าให้กับเขาเป็นเชิงรับรู้อย่างว่าง่าย ในขณะที่ทางด้านเอริกะเองก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เธอจะพูดถามเด็กหนุ่มทั้งสองคนขึ้นมา
“ว่าแต่พวกเธอแวะมาทางฝั่งนี้ของเมืองก่อนนี่ไม่กลัวจะไปสายกันเลยหรอ ถึงจะบอกว่าไดเอน่าจังเขาใจดีก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าพวกเธอทำผิดกฎโรงเรียนขึ้นมาจะหาว่าเขาใจร้ายไม่ได้นะ~”
“เรื่องไปสายนั่นคงจะมีแค่คอนแนลคนเดียวเท่านั้นล่ะ เพราะว่าวันนี้ฉันทำเรื่องขอหยุดเรียนไปช่วยดูแลโมโกะเขาที่บ้านแล้วน่ะ”
“นั่นสินะครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวไปโรงเรียนก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ นากาเองก็อย่าลืมเตือนให้โมโกะเขาทานยาที่คุณมีอาจัดเอาไว้ให้ด้วยนะครับ”
“ฉันไม่ลืมอยู่แล้วล่ะน่า นายรีบไปโรงเรียนก่อนเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็ได้ไปสายกันพอดี”
นากาที่โดนคอนแนลพูดเตือนขึ้นมานั้นได้พูดเตือนอีกฝ่ายกลับไปด้วยเช่นเดียวกันจนทำให้คอนแนลที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินแยกตัวออกไปทางโรงเรียนรีมินัสเพื่อเดินทางไปยังโรงเรียน
ส่วนทางด้านเอริกะที่ยืนฟังเหล่าเด็กๆ คุยกันอยู่นั้นก็ได้แต่โคลงหัวไปมาก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดบอกเด็กหนุ่มขึ้นมา
“ถ้างั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวพอฉันตรวจสอบเรื่องวิซให้เจ้าหนูอีฟนี่เสร็จแล้วจะพาไปส่งให้ที่บ้านก็แล้วกันนะ”
“อ่า ถ้างั้นฉันขอตัวกลับก่อนเลยก็แล้วกันนะ”
นากาพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะก้มลงไปลูบหัวลูบแก้มของอีฟเล่นเพื่อเป็นการบอกลา ในขณะที่ทางด้านเอริกะที่ได้ยินว่านากากำลังจะกลับบ้านไปแล้วนั้นก็ได้มีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดเอ่ยปากรั้งเด็กหนุ่มเอาไว้ก่อน
“อื้ม… ขอเวลาให้ฉันแป๊บนึงสินากาคุง”
คำพูดของเอริกะนั้นได้ทำให้มือของนากาที่กำลังลูบหัวอีฟอยู่ชะงักไปด้วยความแปลกก่อนที่เขาจะหันไปพูดถามนักประดิษฐ์สาวขึ้นมา
“มีอะไรหรอเอริกะ?”
“คือว่าหลังจากวันที่พวกเธอกลับมาจากหมู่บ้านแล้วเธอกับโมโกะจังได้— เอ่อ… ไม่มีอะไรหรอก… เอาเป็นว่าฉันขอฝากยานี่ไปให้โมโกะจังเขาหน่อยสิ บอกโมโกะจังเขาว่าให้กินวันละหนึ่งเม็ด เม็ดแรกจะกินตอนไหนก็ได้แต่ว่าตั้งแต่เม็ดที่สองเป็นต้นไปให้กินในช่วงเวลาเดียวกันทุกวันน่ะ ส่วนวิธีกินก็กินไล่เรียงตามตัวเลขที่เขียนเอาไว้บนแผงเลย”
เอริกะที่ในตอนแรกทำท่าเหมือนกับว่าจะถามอะไรนากาขึ้นมานั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะล้วงเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์ของเธอและหยิบเอายาเม็ดแผงหนึ่งออกมายื่นให้กับนากาพร้อมกับพูดอธิบายวิธีการใช้งานออกมาให้เขาฟัง
ซึ่งทางด้านนากาที่ได้รับมันไปนั้นก็ได้หยิบมันมาพลิกดูและได้พบว่าบนแผงยาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแผ่นโลหะบางเฉียบนั้นได้มีตัวเลขถูกเขียนระบุเอาไว้จริงๆ อีกทั้งมันยังมีถึงยี่สิบแปดหมายเลขด้วยกัน และนั่นก็ทำให้นากาที่เห็นว่ามันเป็นยาเม็ดจำนวนมากที่แทบจะต้องให้โมโกะกินตลอดเดือนจนกว่าจะหมดนั้นต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ถ้าให้กินวันละเม็ดกว่าจะหมดมันก็เกือบจะตั้งเดือนนึงเลยไม่ใช่หรอน่ะเอริกะ นี่อาการของโมโกะเขาน่าเป็นห่วงขนาดนั้นเลยหรอ?”
“มันก็ไม่เชิงหรอกจ้ะ ฉันแค่อยากจะให้โมโกะเขากินเผื่อเอาไว้ก่อนเฉยๆ น่ะ แล้วก็ฝากบอกโมโกะจังเขาด้วยนะว่าถ้าเกิดกินยานี่เข้าไปแล้วมีอาการผิดปกติอะไรที่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังก็ให้มาบอกฉันได้เลยน่ะ ฉันจะได้ปรับตัวยาหรือว่าให้คำปรึกษาได้ไง”
“อาการผิดปกติงั้นหรอ?”
“แหม่~ มันเป็นเรื่องของสาวๆ เขาน่ะจ้ะ นากาคุงถามขึ้นมาแบบนี้มันเสียมารยาทนะจ๊ะ~”
คำถามของนากาในคราวนี้ได้ทำให้เอริกะยกมือขึ้นไปกุมแก้มของเธอและบิดตัวไปมาด้วยท่าทีเขินอายแบบเกินจริง อีกทั้งการกระทำของเอริกะก็ยังทำให้อีฟที่เงยหน้ามองดูการพูดคุยของเหล่าผู้ปกครองของเธออยู่ยกมือขึ้นมากุมแก้มของตัวเองและโคลงหัวไปมาด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ เพื่อเลียนแบบอีกด้วย
ซึ่งท่าทางของสาวๆ ทั้งสองคนนั้นก็ได้ทำนากาได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะตัดสินใจที่จะไม่พูดถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องยาเม็ดนี่ขึ้นมาอีกและพูดถามถึงเรื่องอื่นที่เขาเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ขึ้นมาแทน
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะไปบอกโมโกะให้ละกันว่าถ้าเกิดกินแล้วรู้สึกผิดปกติอะไรก็ให้มาหาเธอน่ะ… ว่าแต่แล้วนี่ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ ไม่ได้ทำอะไรวุ่นวายใช่มั้ย?”
“เธอหมายถึงผู้หญิงคนที่เคยมีตำแหน่งเป็นเดรคคนนั้นใช่มั้ย ถ้าเป็นเด็กคนนั้นล่ะก็ออกจะว่านอนสอนง่ายอยู่นะ ตอนฉันบอกให้ไปอาบน้ำก็ยอมไปอาบ ตอนฉันบอกให้กินอะไรสักหน่อยก็กิน ติดแค่ว่าไม่ยอมพูดแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่คิดจะทำอะไรนอกเหนือจากคำสั่งที่ได้รับเลยแค่นั้นแหล่ะ”
“หมายความว่าเขาไม่ได้คิดจะหนีหรือมีท่าทีว่าจะทำเรื่องอะไรวุ่นวายเลยงั้นหรอ?”
“ก็ไม่นะ… แต่ว่าเรื่องของเด็กคนนั้นเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันมีความคิดอะไรดีๆ เตรียมเอาไว้แล้วล่ะ แค่ว่าตอนนี้ต้องรอให้เด็กคนนั้นยอมเปิดใจมากกว่านี้ก่อนแค่นั้นเอง”
“งั้นหรอ…”
นากาที่ได้ยินว่าเอริกะมีแผนในการจัดการกับหญิงสาวไร้ชื่อที่เคยมีตำแหน่งเดรคอยู่ในใจแล้วนั้นได้พยักหน้าพูดตอบเธอกลับไปเบาๆ ด้วยความโล่งใจ เพราะถึงแม้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะเคยเป็นศัตรูของพวกเขาและต่อสู้กับโมโกะและรีซาน่ามาก่อน แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพราะว่าเธอเพียงแค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาเท่านั้น อีกทั้งสีหน้าที่ดูราวกับว่าโลกทั้งใบและตัวตนของเธอได้พังทลายลงมาในตอนที่เธอถูกชิโยะสั่งปลดลงจากตำแหน่งนั้นมันก็ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารหญิงสาวคนนั้นขึ้นมา
“ถ้าเธอว่าแบบนั้นงั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน เอาเป็นว่าฉันขอตัวกลับไปหาโมโกะก่อนละกันนะ ส่วนเธอเองก็อย่าซนแล้วก็เชื่อฟังเอริกะเขาด้วยนะอีฟ”
“….!”
คำพูดเป็นเชิงบอกลาของนากานั้นได้ทำให้เด็กสาวผมสีขาวที่ไม่ยอมลืมตาพยักหน้าหงึกๆ กลับมาให้เขาอย่างว่าง่ายก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาโบกไปโบกมาเป็นการบอกลาจนทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะต้องยื่นมือออกไปลูบหัวของเธอไปมา
และหลังจากที่นากาบอกลาอีฟจนเสร็จแล้วเขาก็ได้เดินจากไปตามท้องถนนของเมืองรีมินัสในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้เดินจูงมืออีฟกลับเข้าไปด้านในตัวบ้านพร้อมกับพูดหลอกล่อให้เด็กสาวมาลองทำการทดสอบเกี่ยวกับเรื่องพลังวิซแต่โดยดี
“เอาล่ะๆ พวกเราเข้าไปด้านในบ้านกันเถอะนะอีฟจัง แล้วเดี๋ยวพี่มีของเล่นสนุกๆ มาให้ลองเล่นดูด้วยนะ”
“….!!”
คำพูดหลอกล่อของเอริกะนั้นได้ทำให้อีฟแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เธอจะชะงักไปเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดานตรงส่วนที่เป็นพื้นห้องนอนบนชั้นสองแล้วจึงก้มกลับมามองหน้าของเอริกะด้วยท่าทีสงสัย
ซึ่งท่าทีของเด็กสาวนั้นก็พอจะทำให้เอริกะคาดเดาได้ว่าเด็กสาวคงจะสัมผัสได้ถึงตัวตนของหญิงสาวไร้ชื่อที่ในขณะนี้กำลังนั่งนิ่งอยู่ในห้องนอนบนชั้นสองได้นั่นเอง เธอจึงจำเป็นที่จะต้องพูดอธิบายขึ้นมาให้เด็กสาวได้ฟัง
“พี่สาวคนนั้นคนนั้นเขาไม่สบายน่ะจ้ะก็เลยลงมาเล่นข้างล่างไม่ได้ เพราะงั้นอีฟจังต้องเป็นเด็กดีแล้วก็อย่าเพิ่งไปรบกวนพี่เขาก็แล้วกันเนอะ เอาเป็นว่าเธอมีอะไรอยากจะได้ก่อนที่พวกเราจะมาเล่นกันมั้ยเอ่ย”
“…..!!”
คำพูดของเอริกะที่ฟังดูเหมือนว่าหญิงสาวนักประดิษฐ์จะนำอะไรก็ตามที่เด็กสาวอยากได้มาให้เธอนั้นได้ทำให้อีฟมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะสะบัดมือให้หลุดออกจากอุ้งมือของเอริกะและเดินตรงไปยังชั้นวางหนังสือของห้องนั่งเล่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองไหคุกกี้ประจำบ้านเอริกะที่กลับมาเต็มไปด้วยคุกกี้ชิ้นเล็กอีกครั้งหนึ่งแล้วสลับกับใบหน้าของเอริกะด้วยท่าทีคาดหวังจนแทบจะทำให้เอริกะหลุดหัวเราะออกมา
“ไหคุกกี้งั้นหรอ นี่เธอจำได้แค่ว่าที่นี่มีคุกกี้ให้กินหรือไงกันเนี่ยเจ้าหนูจอมตะกละเอ๊ย ฮะฮะ”