บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 170 Broken Clockwork

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

“คล็อกเวิร์ค แคทเธอรีน…? ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ เธอคือนักประดิษฐ์ที่เก่งที่สุดในเมืองกราวิทัสที่ว่ากันว่าฝีมือเทียบเคียงได้กับคุณเอริกะสุดยอดนักประดิษฐ์แห่งเมืองรีมินัสนั่นเลยไม่ใช่หรอ แต่ฉันเห็นในรายงานบอกว่าเขาเสียชีวิตไปตั้งนานแล้วเพราะเหตุเพลิงไหม้นี่”

“ใช่แล้วล่ะครับ แล้วสาเหตุที่มันมีปัญหามันก็เป็นเพราะว่าความจริงแล้วหอนาฬิกาแห่งนี้มันเป็นฝีมือการออกแบบของเธอคนนั้นทั้งหมดเลยน่ะสิครับ”

 

ทีออสพูดตอบเซียกลับไปพลางหันไปมองกล่องกลไกนาฬิกาขนาดใหญ่ที่เขายังไม่สามารถจัดการมันให้เสร็จสิ้นได้สักทีด้วยท่าทีหนักใจก่อนที่เขาจำเป็นจะต้องพูดอธิบายขึ้นมาต่อเมื่อเขาเหลือบไปเห็นท่าทีเหมือนกับว่าจะไม่เข้าใจในคำตอบของเขาจากเซีย

 

“คือว่ามันเป็นอย่างนี้น่ะครับ เรื่องกลไกของอุปกรณ์ต่างๆ เนี่ย ช่างฝีมือแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์การวางชิ้นส่วนกลไกต่างๆ กันไป ชนิดที่ว่าบางทีต่อให้เป็นคนที่ถนัดในเรื่องเดียวกันก็ยังมองกลไกของคนอื่นไม่ออกเลยน่ะสิครับ… แล้วถ้าจะมีใครที่สามารถอ่านแบบแปลนที่ซับซ้อนอย่างของแคทเธอรีนเขาได้เข้าใจทะลุปรุโปร่งก็คงจะมีแค่ตัวเธอเองกับลูกศิษย์คนสนิทเท่านั้นแหล่ะครับ”

 

“แต่ถ้าฉันจำไม่ผิดเหมือนในรายงานจะเขียนเอาไว้ว่าแคทเธอรีนเสียชีวิตในเหตุเพลิงไหม้ไปพร้อมกับลูกศิษย์เพียงคนเดียว… ถ้าเป็นแบบนี้ที่แผนการสร้างหอนาฬิกานี่ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีมันก็พอจะเข้าใจได้อยู่ล่ะ เพราะว่าในเมื่อไม่สามารถหาคนที่อ่านแบบแปลนมาได้แล้วก็เลยต้องรื้อแบบแปลนเขียนใหม่หมดเลยงั้นสินะ”

 

“เรื่องรื้อแบบแปลนใหม่นั่นทางวังหลวงไม่คิดจะทำหรอกนะครับ เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ ‘หอนาฬิกาที่จะสามารถบอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรงไปตลอดกาล’ ที่นอกจากจะเป็นฝีมือการออกแบบของแคทเธอรีนคนนั้นแล้วคงจะไม่มีใครสามารถทำมันได้แล้วยังไงล่ะครับ”

 

ทีออสพูดตอบเซียกลับไปด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มเยาะเย้ยให้กับสิ่งที่ทางวังหลวงกราวิทัสต้องการจากแคทเธอรีน เพราะว่าสำหรับช่างทำนาฬิกาอย่างเขาแล้ว เขารู้ดีว่าสิ่งประดิษฐ์ใดๆ ในโลกนี้ไม่มีทางที่จะคงอยู่ไปได้ตลอดกาลอยู่แล้ว ในไม่ช้าก็เร็วหลังจากที่หอนาฬิกาแห่งนี้สร้างเสร็จมันก็จะทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา เพียงแค่ว่าด้วยฝีมือการออกแบบของแคทเธอรีนมันก็คงจะทรุดโทรมลงไปช้ากว่าที่ควรจะเป็นมากจนแทบจะเรียกได้ว่า ‘ตลอดกาล’ เท่านั้นเอง

 

ซึ่งทางด้านเซียที่ได้ยินแบบนั้นเองก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยให้กับความต้องการของทางวังหลวงที่เธอสังกัดอยู่ด้วยเช่นเดียวกันก่อนที่เธอจะสะกิดใจอะไรแบบอย่างและพูดถามทีออสขึ้นมาตรงๆ

 

“แต่ถ้าในเมื่อไม่มีใครอ่านแบบแปลนของแคทเธอรีนออกนอกจากเจ้าตัวกับลูกศิษย์แล้วทำไมวังหลวงถึงส่งตัวนายมาทำงานนี้แทนที่จะเป็นนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ล่ะ แถมนายเองก็ยังดูเหมือนว่าจะทำงานได้ดีด้วยนี่”

 

“…….”

 

คำถามในคราวนี้ของเซียได้ทำให้ทีออสเผยรอยยิ้มที่ดูเย็นชาออกมาก่อนที่เขาจะพูดตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“ก็พอดีดูเหมือนว่าคนที่ทำรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุของแคทเธอรีนจะทำงานพลาดไปสักหน่อยน่ะสิครับ”

 

“นายหมายความว่ายังไง?”

 

“ก็เพราะว่าที่จริงแล้วแคทเธอรีนเธอไม่ได้มีลูกศิษย์เพียงแค่คนเดียว แต่ว่ายังมีผมอยู่ด้วยอีกคนนึงยังไงล่ะครับ… ถึงผมจะไม่ได้มีฝีมือมากมายจนสามารถสร้างชื่อเสียงได้เหมือนกับลูกศิษย์อีกคนนึง แต่ว่ายังไงผมก็เคยเรียนกับแคทเธอรีนมามากพอจนสามารถอ่านแบบแปลนของเธอออกได้บ้างนั่นแหล่ะครับ”

 

ทีออสพูดอธิบายกลับไปให้เซียฟังด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนทำให้เดริคที่ได้ยินแบบนั้นเริ่มคิดที่จะขอตัวออกไปจากที่นี่เพื่อลากเซียที่ไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตออกไปเพื่อเป็นการตัดบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่ทีออสไม่ค่อยจะอยากพูดถึงดีหรือไม่

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เดริคจะได้ลงมือทำอะไร ทางด้านเซียที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรก็ได้พยักหน้าให้กับทีออสพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อเสียก่อน

 

“ถ้างั้นสาเหตุที่นายยอมเปิดเผยตัวว่าเป็นลูกศิษย์ของแคทเธอรีนก็เพื่อที่จะสานต่องานของอาจารย์ของนายให้สำเร็จงั้นสินะ”

 

“ฮะฮะ… มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าชื่นชมแบบนั้นหรอกครับ… ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วล่ะก็ที่ที่ผมเกลียดที่สุดในเมืองนี้ก็คือที่นี่เนี่ยแหล่ะครับ…”

 

“นายเกลียดที่นี่…?”

 

“ใช่ครับ… ทั้งตัวอาคารนี่ ทั้งอิฐทุกก้อนที่สร้างมันขึ้นมา ทั้งฟันเฟืองบ้าๆ ทุกตัวที่อัดแน่นอยู่ในกล่องนั่น… หรือแม้แต่แบบแปลนของหอนาฬิกางี่เง่านี่… ผมเกลียดพวกมัน… เกลียดพวกมันทั้งหมดเลย…”

 

ทีออสพูดตอบเซียกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลางก้มลงไปมองดูแหวนกลมเกลี้ยงสีทองทั้งสองวงที่เขาสวมใส่มันเอาไว้คู่กันในนิ้วมือข้างซ้ายอย่างเงียบๆ

 

ซึ่งถึงแม้เซียจะคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่ผู้ชายคนหนึ่งอย่างทีออสที่ดูไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้ออะไรจะสวมใส่แหวนทองเอาไว้ในนิ้วเดียวกันถึงสองวง แต่ว่าจากท่าทีที่ดูเศร้าๆ ของเขาแล้ว เธอก็ตัดสินใจที่จะพูดถามถึงเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของแหวนทั้งสองวงนั่นขึ้นมาแทน

 

“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นทำไมนายถึงยอมเปิดเผยตัวว่าเป็นลูกศิษย์ของแคทเธอรีนแถมยังช่วยร่วมมือสร้างมันขึ้นมาอีกล่ะ”

 

“ก็เพราะว่าหอนาฬิกานี่มันคือสิ่งที่เธอคนนั้นรักแล้วก็อยากจะเห็นมันเสร็จสมบูรณ์ยังไงล่ะครับ…”

 

ทีออสพูดตอบคำถามของเซียกลับไปพลางยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบแหวนสีทองทั้งสองวงของเขาด้วยท่าทีอ่อนโยนจนทำให้เซียต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง

 

“เธอคนนั้นที่ว่านี่หมายถึงแคทเธอรีน—”

 

แปะๆ

 

“เอาล่ะๆ หมดเวลาถามตอบร้อยคำถามกันแล้ว ทีออสนายนั่งกินข้าวไปก่อนไป เดี๋ยวขอฉันคุยกับเซียจังเขาเรื่องงานก่อน”

 

แต่แล้วในขณะที่เซียกำลังจะพูดถามขึ้นมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เดริคก็ได้ตบมือเสียงดังและพูดขัดขึ้นมาจนทำให้เซียถูกเรียกด้วยคำลงท้ายอีกครั้งหนึ่งแล้วต้องหันไปมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

 

“นี่นายเรียกใครว่าจังอีกแล้วหะ!?”

 

“เอาน่าๆ เธอเดินมาทางนี้ปล่อยให้ทีออสเขาได้กินข้าวก่อนมา”

 

คำพูดของเดริคในคราวนี้นั้นได้ทำให้เซียต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่ว่าจะดูยังไงการกระทำของเขานั้นก็คือการพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องไม่ให้เธอได้มีโอกาสพูดสอบถามทีออสต่อไปอย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้เธอไม่รอช้าที่จะเดินตรงเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัยในทันที

 

ซึ่งทางด้านเดริคที่เห็นว่าเซียยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีนั้นก็ได้เหลือบไปมองทางด้านทีออสที่หันไปนั่งกินข้าวแล้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันกลับมาพูดให้เซียฟังเบาๆ

 

“นี่เซีย ถ้าเป็นไปได้เธออย่าถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้กับทีออสเขาเพิ่มได้มั้ย ถือว่าฉันขอล่ะ”

 

“หา? เผื่อว่านายจะไม่เห็นนะ แต่ว่าทีออสเขาตัดสินใจว่าจะเล่าให้ฉันฟังเองไม่ใช่หรอ?”

 

เซียที่ได้ยินคำขอด้วยน้ำเสียงจริงจังของเดริคได้เลิกคิ้วเล็กน้อยและพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย และนั่นก็ทำให้เดริคได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไป

 

“ก็ถึงเธอจะเห็นเจ้าทีออสยอมพูดง่ายๆ แบบนั้น แต่เอาจริงๆ หมอนั่นก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องนั้นสักเท่าไหร่หรอกน่ะสิ”

 

“เอ้า ก็พอฉันถามอะไรไปเขาก็ตอบง่ายๆ แบบนั้นแล้วฉันจะไปรู้มั้ยล่ะว่าที่จริงแล้วเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นน่ะ?”

 

“ก็หมอนั่นก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วฉันก็เลยนึกว่าเธอจะรู้แล้วน่ะสิ หมอนั่นน่ะชอบคิดว่าตัวเองทำใจได้แล้ว แต่พอมีคนพูดถึงหรือถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นมาทีไรก็กลับไปนั่งซึมเป็นวันๆ ได้ซะทุกรอบน่ะ”

 

เดริคพูดอธิบายขึ้นมาให้เซียฟังจนทำให้ขุนนางสาวต้องเหลือบตาไปมองทีออสที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งอีกครั้ง และเมื่อเธอได้เห็นว่าเด็กหนุ่มสวมแว่นคนนั้นกำลังนั่งเขี่ยข้าวในกล่องของตัวเองอยู่ด้วยท่าทีหงอยๆ เธอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

 

“เฮ้อ… เป็นพวกที่ชอบคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วทั้งๆ ที่ที่จริงแล้วยังทำใจไม่ได้เลยงั้นสินะเนี่ย… แต่ถ้าวันหน้าวันหลังมีเรื่องอะไรที่ต้องระวังก็หัดบอกกันก่อนซะบ้างสินายน่ะ”

 

“ก็ฉันไม่นึกว่าอยู่ดีๆ เธอจะไปถามเจ้าทีออสเอาแบบนั้นนี่ แล้วฉันก็ไม่คิดว่าหมอนั่นจะดันยอมตอบเธอกลับมาด้วย…”

 

“หมายความว่าปกติเขาแล้วจะไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้ แล้วต่อให้จะมีใครถามถึงก็จะไม่ยอมตอบกลับมาว่างั้น? แล้วไหงคราวนี้เขาถึงยอมตอบฉันกลับมาซะล่ะ…?”

 

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าจะให้ฉันเดาก็น่าจะเป็นเพราะสีผมกับสีตาของเธอล่ะมั้ง…”

 

“แล้วสีผมกับสีตาของฉันมันเกี่—”

 

ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง!!

 

“ให้ตายสิดันมาชุมนุมกันเอาซะเวลานี้ซะได้ น่ารำคาญชะมัด… เฮ้ย! หัวหน้างาน! อยู่หรือเปล่า!?”

 

ในขณะที่เซียกำลังเลิกคิ้วแปลกใจว่าสีผมสีขาวและดวงตาสีแดงสดของเธอไปเกี่ยวข้องอะไรกับสาเหตุที่ทีออสยอมพูดตอบคำถามของเธอกลับมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังลั่นดังขึ้นมาขัดคำพูดของเธอไปพร้อมๆ กับที่ได้มีเสียงห้วนๆ ของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกโดยไม่รอเสียงตอบรับ และมีชายสองคนในชุดทหารยามของเมืองกราวิทัสก้าวเท้าเข้ามาภายใน

 

ซึ่งในทันทีที่หนึ่งในทหารทั้งสองคนสังเกตเห็นว่าทีออสกำลังนั่งพักทานข้าวอยู่นั้น เขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินตรงเข้าไปหาเด็กหนุ่มโดยไม่ทันสังเกตเห็นเซียและเดริคที่ยืนเงียบอยู่ตรงมุมห้องด้วยความแปลกใจเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาห้วนๆ

 

“มานั่งกินข้าวแบบนี้นี่งานเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไง?”

 

“เอ่อ… ยังหรอกครับ คือพอดีว่าชิ้นส่วนที่ผมบอกให้พวกคุณไปสั่งทำมาเมื่อวันก่อนมันมีปัญหาน่ะครับ ผมลองตรวจสอบดูแล้วมันน่าจะเป็นเพราะว่าวัตถุดิบมันเป็นคนละชนิดกับที่ต้องใช้เพราะงั้นก็เลยน่าจะต้อง—”

 

คำถามของทหารยามที่ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ นั้นได้ทำให้ทีออสต้องรีบวางช้อนส้อมของเขาลงพร้อมกับรีบหยิบเอาชิ้นส่วนฟันเฟืองที่เขาถอดออกมาจากกลไกออกมาให้ทหารทั้งสองคนได้ดู

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านทหารทั้งสองคนก็กลับดูเหมือนจะไม่แยแสมันเลยแม้แต่น้อยและปัดมันออกไปจากมือของทีออสอย่างแรงพร้อมกับขึ้นเสียงตะคอกกลับมาใส่เขา

 

“แล้วถ้างั้นทำไมแกถึงไม่เขียนในรายการสั่งซื้อให้มันละเอียดๆ ตั้งแต่แรกล่ะวะ!?”

 

“แต่ในใบสั่งซื้อนั่นผมระบุชนิดของวัตถุดิบรวมถึงราคาที่น่าจะเป็นไปให้พวกคุณแล้ว—”

 

“นี่แกจะบอกว่ามันเป็นความผิดของพวกฉันงั้นหรอวะ!!”

 

คำพูดของทีออสในคราวนี้นั้นได้ทำให้นายทหารที่ดูยศต่ำกว่าอีกคนหนึ่งขึ้นเสียงพูดขัดเขาขึ้นมาพร้อมกับง้างมือขึ้นสูงด้วยท่าทีไม่พอใจราวกับว่าเขาจะพุ่งหมัดเข้าใส่เด็กหนุ่ม

 

แต่ทว่าก่อนที่กำปั้นของเขาจะได้ขยับออกจากจุดเดิม ไหล่ของเขาก็กลับถูกจับเอาไว้ด้วยอุ้งมือของเดริคที่รีบรุดเข้ามาช่วยเพื่อนของตนเข้าเสียก่อน

 

หมับ—

 

“คิดจะทำอะไรเพื่อนของฉันหะ?”

 

“ใครวะ—”

 

ผัวะ!!!

 

เดริคที่ค่อนข้างจะอารมณ์ร้อนกว่าทีออสผู้เป็นเพื่อนมากพอตัวนั้นไม่ได้รอให้นายทหารเบื้องหน้าพูดเสร็จและเหวี่ยงหมัดของตัวเองพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรงจนนายทหารผู้นั้นเซถอยกลับไปชนนายทหารยศสูงกว่าเข้า

 

ซึ่งสิ่งที่นายทหารยศสูงทำนั้นก็กลับเป็นเพียงผลักลูกน้องตนออกไปอีกทางและจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่โดยไม่มีท่าทีว่าจะห้ามปรามเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่กำลังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้นายทหารที่มียศต่ำกว่าไม่รอช้าที่จะหันกลับไปหาเดริคด้วยท่าทีเอาเรื่อง

 

“แก!!”

 

“อะไร อะไร!! ถ้ายังอยากมีเรื่องต่อก็เข้ามา!”

 

“อย่าไปหาเรื่องเขาแบบนั้นสิเดริค!”

 

การกระทำของเดริคที่ดูแล้วไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนข้อหรือว่าหวาดกลัวต่อเครื่องแบบทหารยามเลยแม้แต่น้อยนั้นได้ทำให้ทีอออสต้องรีบวิ่งเข้าไปห้ามปรามเพื่อนของตน

 

และในขณะที่เหตุการณ์ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะเริ่มวุ่นวายจนบานปลายแล้วนั้นเอง เซียที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ดูอยู่อย่างเงียบๆ ก็ได้เอ่ยปากพูดบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะก้าวออกมาจากมุมห้องพร้อมกับปืนพกหนึ่งกระบอกในมือ

 

“เฮ้อ…ให้ตายสิ…”

 

แกร๊ก

 

“หยุดมือทั้งคู่นั่นแหล่ะค่ะ!”

 

“—!?”

 

“ซ—เซีย!? / คุณเซีย!?”

 

เสียงร้องสั่งของเซียและปืนพกในมือของเธอนั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนสะดุ้งสุดตัว อีกทั้งยังทำให้นายทหารยศต่ำกว่าต้องยอมก้าวถอยออกไปและชักปืนพกของเขาออกมาด้วยท่าทีระแวดระวังอีกด้วย

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนายทหารยศสูงก็กลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจโดยไม่มีท่าทีว่าจะร้อนรนอะไรเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เซียที่เห็นแบบนั้นต้องขมวดคิ้วก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ก็ในเมื่อดูเหมือนจะคุยกันดีๆ ไม่ได้งั้นก็คงจะมีแต่วิธีแบบนี้นั่นล่ะ… คุณคนนั้นน่ะ ถึงจะไม่ได้ใส่เครื่องแบบมาเต็มยศก็เถอะ แต่ดูแล้วอย่างน้อยก็คงจะเป็นระดับผู้กองใช่มั้ยล่ะคะ บอกให้ลูกน้องของคุณเก็บอาวุธไปเดี๋ยวนี้”

 

“หืม… ดูออกด้วยงั้นหรอครับเนี่ย”

 

นายทหารผู้เป็นหัวหน้านั้นได้เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะหันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องของตนเก็บอาวุธลงไปซะ ซึ่งถึงแม้ว่านายทหารคนนั้นจะดูมีท่าทีไม่พอใจสักเท่าไหร่แต่ว่าเขาก็ได้แต่ต้องยอมเก็บอาวุธของเขาไปโดยไม่มีทางเลือกมากนัก

 

และเมื่อนายทหารยศสูงเห็นดังนั้นเขาก็ได้หันกลับไปส่งยิ้มให้กับเซียพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะเกรงกลัวปืนพกในมือของเธอเลยแม้แต่น้อย

 

“ผมสั่งให้เขาเก็บอาวุธไปเรียบร้อยแล้วคุณผู้หญิงจะเอายังไงต่อล่ะครับ… แต่ผมหวังว่าคุณคงจะรู้นะว่าการหันอาวุธเข้าใส่เจ้าหน้าที่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่แบบนี้มันมีความผิดและบทลงโทษยังไงบ้างน่ะ”

 

“เฮ้อ… ถ้าเป็นกฎข้อนั้นล่ะก็ฉันเองก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะค่ะ… เพราะว่าฉันเองก็ต้องมานั่งท่องจำมันทุกข้อเหมือนกับคุณนั่นแหล่ะ”

 

เซียที่ได้ยินคำขู่ของหัวหน้านายทหารนั้นได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะล้วงมือเข้าไปหยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมาเปิดให้กับนายทหารผู้นั้นดู

 

ซึ่งเมื่อนายทหารคนนั้นได้เห็นตราประจำตำแหน่งและตราประจำตัวขุนนางของเซียที่ถูกแปะติดอยู่ด้านในสมุดเล่มเล็กนั้นเขาก็ได้ชะงักนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดออกมา

 

“ที่แท้ก็เป็นคนที่ทำอาชีพเดียวกันแถมยังเป็นขุนนางด้วยนี่เอง ถ้ายังไงผมขอทราบชื่อและตำแหน่งของคุณสักหน่อยจะได้ไหมครับ?”

 

“สังกัดหน่วยสืบราชการลับและตอนนี้กำลังอยู่ในภารกิจนอกเครื่องแบบค่ะ เพราะฉะนั้นฉันคงจะต้องขอความร่วมมือพวกคุณช่วยอย่าเข้ามาก้าวก่ายงานของฉันด้วยนะคะ”

 

“………”

 

คำพูดของเซียที่เอ่ยปากถึงตำแหน่งของเธอและข้อความที่ระบุว่าเธอกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ทำให้นายหน้าผู้เป็นหัวหน้าต้องชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะถอดหมวกของตัวออกเผยให้เห็นเส้นผมสีเทาสั้นและนัยน์ตาสีน้ำตาลพร้อมกับพูดแนะนำตัวเองขึ้นมาบ้าง

 

“ผมพันโท ฟลอยด์ ประจำหน่วยทหารยามครับ หอนาฬิกาแห่งนี้อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผมและยังไม่ได้เปิดให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเยี่ยมชม… เพราะฉะนั้นถ้าผมจะบอกว่าการที่พวกคุณเข้ามาในที่แห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการบุกรุกสถานที่ราชการคุณจะทำยังไงล่ะครับ?”

 

“คุณทีออสที่เป็นหัวหน้างานได้มอบกุญแจให้กับคนคนนี้เอาไว้ค่ะ เพราะฉะนั้นคงจะนับได้ว่าเขาได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานให้เข้ามาที่นี่ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจริงมั้ยล่ะคะ?”

 

“อื้ม… มันก็จริงนั่นล่ะครับ”

 

ฟลอยด์ที่ได้รับคำตอบจากเซียได้พยักหน้ากลับไปให้เธอแต่โดยดีก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่ว่ายังไงเรื่องการบุกรุกกับการทำร้ายเจ้าหน้าที่มันก็เป็นคนละกรณีกันอยู่ดีนะครับ”

 

“ถ้าเรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจะไปทำเรื่องให้เองค่ะ เพราะว่าในตอนนี้คนคนนี้อยู่ภายใต้ภารกิจเฝ้าระวังของฉัน ฉันเชื่อว่าพวกคุณคงจะไม่อยากต้องมาทำเรื่องยุ่งยากอย่างการต้องทำเอกสารยื่นขออนุญาตฉันที่เป็นเจ้าของคดีที่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่เหมือนกันใช่มั้ยล่ะคะ”

 

เซียพูดตอบพลโทฟลอยด์กลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่เธอจะก้มลงไปเก็บฟันเฟืองที่ถูกนายทหารปัดทิ้งลงพื้นไปขึ้นมาถือเอาไว้ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เบื้องบนอาจจะบังเอิญได้รู้ว่าพวกคุณไม่สามารถจัดหาฟันเฟืองตามมาตรฐานที่หัวหน้างานสั่งมาให้เขาได้ทั้งๆ ที่การก่อสร้างหอนาฬิกาแห่งนี้ได้งบไปไม่ใช่น้อยๆ แบบนี้น่ะ…”

 

คำพูดของเซียในคราวนี้นั้นได้ทำให้รอยยิ้มของพลโทฟลอยด์กระตุกไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ เช่นเคย

 

“เรื่องฟันเฟืองพวกนี้มันไม่เป็นต้องถึงมือของคุณหรอกครับ เดี๋ยวผมจะจัดการตรวจสอบให้เองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้เกิดข้อผิดพลาดแบบนี้ขึ้นมา… เอาเป็นว่าพวกผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ ส่วนคุณหัวหน้างานก็อย่าลืมเรื่องรายงานที่ผมขอไปเมื่อวันก่อนด้วยนะครับ”

 

หลังจากที่พลโทฟลอยด์พูดทิ้งท้ายเอาไว้จนจบแล้วเขาก็รีบเดินนำนายทหารยศต่ำคนนั้นออกไปจากห้องในทันทีโดยมีเดริคที่ได้แต่รู้สึกสงสัยกับคำพูดทิ้งท้ายของเขาจนอดไม่ได้ที่จะพูดถามทีออสขึ้นมา

 

“ที่เจ้าพวกนั้นพูดถึงนั่นมันหมายถึงเรื่องอะไรน่ะทีออส?”

 

“อ่อ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เมื่อวันก่อนฉันขอลาหยุดไปช่วยนายหาข้อมูลเรื่องของสองพี่น้องนั่นหรือไม่ก็น่าจะเป็นเรื่องจัดสรรงบประมาณที่ได้รับมาเหมือนทุกทีนั่นแหล่ะไม่มีอะไรต้องใส่ใจสักเท่าไหร่หรอก”

 

“อื้ม… ถ้านายว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ”

 

โป๊ก!!

 

“โอ๊ย—!!?”

 

ในขณะที่เดริคกำลังพูดตอบทีออสกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เซียที่เดินเข้ามาประชิดตัวเขาก็ได้ยกมือขึ้นไปเขกเข้าใส่กลางหัวของเขาอย่างแรงจนทำให้เดริคต้องหลุดเสียงร้องออกมาก่อนที่เขาจะโดนเซียตวาดเข้าใส่เป็นการซ้ำเติม

 

“นี่นายทำบ้าอะไรลงไปหะ!? ถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้อยู่ด้วยนี่มีหวังนายได้โดนโยนเข้าตารางไปแล้วนะรู้ตัวมั้ย!?”

 

“เอ้า!? ก็แล้วจะให้ฉันรอเจ้าหมอนั่นมันต่อยทีออสให้หน้าหงายก่อนแล้วเข้าไปช่วยหรือไงล่ะ!?”

 

คำพูดต่อว่าของเซียนั้นได้ทำให้เดริคขึ้นเสียงเถียงกลับไปอย่างไม่ยอมกัน และนั่นก็ทำให้เซียต้องพูดต่อว่าเขาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น! ที่ฉันจะสื่อก็คือว่านายจะไปลงมือกับเจ้าหน้าที่แบบนั้นไม่ได้!”

 

“ก็แล้วทำไมมันจะไม่ได้เล่า!? เจ้าพวกนั้นมันสมควรจะโดนมากกว่านี้ซะด้วยซ้ำ! หรือเธอจะบอกว่าการที่เจ้าพวกนั้นเอาอำนาจในมือที่ควรจะใช้ปกป้องประชาชนมารังแกคนอื่นแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เจ้าพวกนั้นสามารถทำได้กันล่ะ!? เมืองที่มีแต่คนใช้อำนาจในทางที่ผิดแบบนี้โดยไม่มีใครทำอะไรมันได้มันคือเมืองกราวิทัสที่พวกขุนนางอย่างเธออยากให้มันเป็นหรือไง!?”

 

“……….”

 

คำพูดของเดริคในคราวนี้ได้ทำให้เซียชะงักไปในทันที แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไรกลับไป ทางด้านทีออสที่เห็นว่าเพื่อนของเขาและขุนนางสาวอาจจะทะเลาะกันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้พูดห้ามปรามทั้งสองคนขึ้นมาเสียก่อน

 

“ใจเย็นลงก่อนทั้งคู่นั่นแหล่ะ!! ถ้ายังไงผมต้องขอโทษแทนเดริคเขาด้วยนะครับคุณเซีย ส่วนนายเองก็ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ด้วยเข้าใจมั้ย แค่ตอนนี้นายก็ลำบากจะแย่อยู่แล้วจะไปมีเรื่องกับพวกเจ้าหน้าที่เขาให้ลำบากชีวิตเพิ่มอีกทำไมกันเล่า”

 

“…….”

 

สิ่งที่ทีออสพูดห้ามขึ้นมานั้นได้ทำให้ทั้งเซียและเดริคหันสายตาหลบไปคนละทางก่อนที่ทางด้านเดริคจะเป็นคนที่เอ่ยปากพูดออกมาก่อนด้วยความละอายใจที่เผลอระเบิดอารมณ์ใส่เธอไป

 

“ก็นั่นสินะ… ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะเซีย ถึงเจ้าพวกนั้นมันจะทำให้ฉันฉุนขนาดไหนก็เถอะ แต่ว่ายังไงฉันก็ไม่ควรพูดแบบนั้นกับเธอเลยน่ะ… แล้วก็ขอบใจที่ช่วยฉันเอาไว้เมื่อกี้นี้ด้วยละกัน”

 

“พูดมากน่ะ ฉันแค่ทำตามหน้าที่ของฉันก็แค่นั้นแหล่ะ!”

 

“แถมทำได้ดีด้วยนะครับคุณเซีย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่ผมได้เห็นขุนนางของเมืองนี้ออกมาปกป้องชาวเมืองแบบนี้น่ะ”

 

ทีออสที่เห็นว่าบรรยากาศเริ่มที่จะดีขึ้นแล้วนั้นได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่งในขณะที่ทางด้านเดริคนั้นก็ได้พยายามที่จะหาเรื่องพูดเปลี่ยนเรื่องด้วยการหันไปพูดถามทีออสขึ้นมาแทน

 

“ว่าแต่แล้วนี่นายต้องอยู่แต่ในห้องนี้ทั้งวันเลยงั้นหรอทีออส? ไหนๆ ก็ได้ขึ้นมาอยู่ที่สูงๆ แบบนี้แล้วทั้งทีไม่คิดจะลองออกไปเดินสูดอากาศดูบ้างหรอ”

 

“ไม่ไหวหรอก แค่เดินขึ้นลงก็แทบจะหมดเวลาทำงานกันอยู่แล้ว แทนที่จะเอาเวลาไปเดินเล่นสูดอากาศฉันว่าฉันเอาเวลามารีบๆ ทำกลไกของหอนาฬิกาให้เสร็จไปดีกว่า”

 

ทีออสพูดตอบเดริคกลับไปพลางยกมือขึ้นมาเกาหัว ส่วนทางด้านเซียนั้นก็ได้โยนฟันเฟืองเจ้าปัญหาในมือกลับไปให้ทีออสพร้อมกับพูดถามขึ้นมาบ้าง

 

“แล้วในเมื่อชิ้นส่วนที่สั่งมามันใช้งานไม่ได้แบบนี้แล้วนายจะทำยังไงต่อล่ะ? ถ้าจะรอให้คุณฟลอยด์เขาจัดหาชิ้นส่วนใหม่มาให้มันก็อาจจะเป็นชิ้นส่วนที่ไม่ได้มาตรฐานอีกก็ได้นะ”

 

“ก็… ต่อให้อยากผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ เพราะถ้าไม่รอชิ้นส่วนที่ทางวังหลวงส่งมาให้ผมก็ต้องออกเงินไปจ้างช่างฝีมือของเมืองอื่นเอง แล้วถ้าทำแบบนั้นมันจะลำบากทั้งคุณเซียทั้งเดริคที่ต้องตามไปช่วยด้วยน่ะสิครับ”

 

“โว้ว… นายไม่ต้องคิดมากหรอกน่าทีออส! ได้โอกาสหลบออกไปข้างนอกเมืองเน่าๆ แบบนี้ใครเขาจะไม่อยากไปกัน นายเองก็รู้นี่ว่าถ้าไม่ติดที่ว่าฉันยังหาเงินได้ไม่ครบแล้วก็ยังมีคุณเซียคนนี้เขาคอยตามติดไม่ปล่อยอยู่ฉันก็ย้ายไปอยู่เมืองอื่นตั้งนานแล้วน่า”

 

“อย่ามาพูดเหมือนกับว่าฉันเป็นคนอยากตามนายไปทั่วแบบนั้นสิยะ!!”

 

คำตอบของเดริคที่ดังขึ้นมาแทรกการพูดคุยของทั้งสองคนนั้นได้ทำให้เซียหันไปร้องโวยวายใส่เขาในทันทีก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าเพื่อปรับอารมณ์เล็กน้อยแล้วจึงหันกลับไปทางทีออสแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“เอาเป็นว่าถ้าทางวังหลวงส่งชิ้นส่วนที่ตรงตามที่นายต้องการมาไม่ได้จนต้องสั่งมาจากเมืองอื่นจริงๆ งั้นก็มาบอกฉันก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะหาทางเจรจากับเบื้องบนเรื่องงบประมาณในส่วนนั้นให้เอง”

 

“เอ๋? แล้วแบบนั้นคุณเซียจะไม่มีปัญหาเอาหรอครับ?”

 

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันเองก็อยากจะเห็นหอนาฬิกาที่สร้างมาเป็นสิบปีนี่เสร็จสมบูรณ์สักทีเหมือนกัน”

 

เซียที่ได้ยินทีออสพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงปนดีใจได้ยกมือขึ้นมากอดและพูดตอบเขากลับไปโดยที่ไม่ยอมมองหน้า และนั่นก็ทำให้เดริคที่ได้ยินคำตอบนั้นด้วยเช่นกันอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาเสียงดัง

 

“เห็นมั้ยทีออส! ฉันเคยบอกนายแล้วว่ายัยนี่มันประหลาดกว่าพวกขุนนางคนอื่นๆ ที่เราเคยเจอกันมาน่ะ!”

 

“นี่นายอยากตายหรอไงหะ…”

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท