บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 183 Evaluation Period

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

“ไหนลองอธิบายมาให้ฉันฟังหน่อยสิคะท่านนัวร์… ว่าทำไมท่านถึงได้ไปสนใจเสาส่งสัญญาณที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจของพวกเราในตอนนี้แบบนั้นน่ะ?”

เพียงไม่ทันไรหลังจากที่อลิซเพิ่งจะจัดการเหล่าแฟรี่สาวใช้ทั้งสามคนไปได้นั้นเอง ที่อีกฟากหนึ่งของผืนป่าก็ได้มีเสียงของ นูลิส สาวใช้ผมสีเทาประจำกลุ่มของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดั่งเช่นเคย

 

แต่ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะยังคงเรียบเฉยเหมือนกับทุกครั้ง สีหน้าของเธอในคราวนี้ก็กลับขมวดคิ้วเล็กน้อยแตกต่างจากสีหน้าเรียบๆ ตามปกติจนทำให้ นิโคล

สาวใช้ผมสีดำผู้ที่มีแววตาว่างเปล่าที่เคยแอบลอบเข้าไปในปราสาทรีมินัสเพื่อวางระเบิดห้องเก็บผลงานของเอริกะที่ถูกจับมานั่งคุกเข่าราวเด็กน้อยที่โดนทำโทษอยู่ข้างกายนัวร์ด้วยอีกคนหนึ่งต้องก้มหน้าลงเล็กน้อย

 

ส่วนทางด้านนัวร์ที่ถูกนูลิสพูดถามขึ้นมานั้นก็ได้ยกมือขึ้นมาเขี่ยแก้มของตนก่อนที่เธอจะทำเป็นใจดีสู้เสือและพูดตอบกลับไป

 

“อา… เอ่อ… ก็แบบพอดีว่าเห็นก่อนหน้านี้เอริกะเขาส่งคนมาเฝ้าดูมันเป็นระยะๆ แถมยังไม่ซ้ำหน้ากันสักรอบฉันก็เลยคิดว่าเสานั่นมันน่าจะสำคัญกับแผนของเอริกะเขาจนถึงขั้นต้องหมุนคนมาเฝ้าเอาไว้อ้ะ…”

 

“แล้วถ้าเกิดว่าจะโจมตีส่วนสำคัญทั้งทีทำไมถึงส่งไปแค่พัพเพ็ตสี่ตนกับแฟรี่อีกแค่สามล่ะคะ? ท่านนัวร์ก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอว่าถ้าเกิดมันถูกโจมตีท่านเอริกะก็น่าจะส่งคนมาป้องกัน แล้วถึงต่อให้จะไม่ใช่ท่านเซซิเรียก็เถอะ พวกน้องๆ แฟรี่รุ่นหัวหน้าโดรนของพวกฉันก็รับมือมือดีของท่านเอริกะไม่ไหวหรอกนะคะ”

 

“ก็… ก็… ก็แบบใครจะไปคิดล่ะว่าเอริกะเขาจะส่งคนนั่งรถแว๊นมาป้องกันในทันทีแบบนั้นอ่ะ แล้วอีกอย่างนึงพวกเธอเองก็ติดภารกิจกันอยู่ซะทุกคนเลยไม่ใช่หรอ ฉันก็เลยไม่มีทางเลือกต้องส่งพวกนั้นไปแทนพวกเธอไง~”

 

“…แล้วใครคือคนที่มอบหมายภารกิจพวกนั้นจนพวกฉันไม่ว่างกันสักคนกันล่ะคะ?”

 

“ก็ฉันเองนี่ไง~”

 

โป๊ก!!

 

“แอ๊ก—”

 

คำตอบของนัวร์ที่พูดตอบนูลิสกลับไปด้วยสีหน้าระรื่นใจนั้นได้ทำให้สาวใช้ตัวน้อยเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ที่กลางกบาลของเด็กสาวผมยุ่งสีดำเข้าอย่างแรงจนทำให้นัวร์ร้องโวยวายออกมาเสียงดัง

 

“เจ็บอ่าาาา ไม่เห็นต้องทำร้ายกันแบบนี้เลยก็ได้ไม่ใช่หรอ!”

 

“เทียบกับที่น้องๆ ของฉันต้องเจอแล้วมันยังน้อยกว่าเยอะนะคะ ถึงพวกเขาจะไม่มีความรู้สึกอะไรนักก็เถอะ แต่ว่าอย่างน้อยก็ช่วยอย่าให้พวกเขาต้องจากไปอย่างไร้ค่าแบบนี้จะได้หรือเปล่าคะ”

 

“ไร้ค่าซะที่ไหนกันล่ะ ชีวิตของพวกเขาทำให้พวกเราได้รู้ความคืบหน้าของอาวุธของพวกเอริกะเขาเลยนะ!”

 

“หมายถึงยูนิตรุ่นเก่าที่พวกเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าท่านเอริกะกำลังนำพวกมันมาพัฒนาต่อ แลกกับพัพเพ็ตสี่ตน แฟรี่โดรนสองคน แล้วก็แฟรี่หัวหน้าโดรนอีกหนึ่งคนในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะคะ?”

 

คำพูดแก้ตัวของนัวร์ได้ทำให้นูลิสต้องยกมือขึ้นมาบีบขมับตนเองด้วยท่าทีเหนื่อยใจ และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่ถูกจับให้นั่งสำนึกผิดอยู่กับพื้นดีดตัวขึ้นมาและรีบพุ่งไปหลบอยู่ด้านหลังนิโคลที่นั่งอยู่ข้างๆ กันพร้อมกับเอ่ยปากพูดเถียงกลับไป

 

“เรียกว่าเราได้รู้สมรรถนะของอาวุธของศัตรูต่างหากล่ะ ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่ล่อให้เอริกะขนของออกมาใช้งานแบบนี้พวกเราก็คงจะไม่รู้หรอกใช่มั้ยล่ะว่าเอริกะเขาสร้างยูนิตสำหรับบินความเร็วสูงแบบนั้นออกมาสำเร็จแล้วน่ะ!”

 

“เฮ้อ… ถ้าท่านนัวร์ว่างั้นก็ตามนั้นเถอะค่ะ… ส่วนนิโคล วันหลังเธอไม่ต้องไปทำตามคำสั่งของท่านนัวร์แล้วก็ได้นะ”

 

“………”

 

คำพูดของนูลิสที่หันไปพูดกับนิโคลแทนนั้นไม่ได้ทำให้สาวใช้ผมดำที่มีแววตาว่างเปล่าพูดตอบอะไรกลับไปและทำเพียงแค่เอียงคอมองไปทางนูลิสเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนูลิสที่ได้รับข้อความผ่านการสื่อสารช่องทางพิเศษที่ดูคล้ายกับโทรจิตของเหล่าแฟรี่และรับรู้ถึงสิ่งที่นิโคลบอกเธอผ่านทางนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดตอบกลับไปด้วยความเหนื่อยใจ

 

“ไม่ใช่คำสั่งแต่ว่าเป็นคำของั้นหรอ…? ให้ตายสิ เธอเนี่ยนะ…”

 

นูลิสที่พูดตอบนิโคลกลับไปผ่านวิธีทางกายภาพนั้นได้ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปขมวดคิ้วใส่นัวร์ที่กำลังนั่งลูบหัวนิโคลอยู่ที่ทางด้านหลังของเด็กสาวอีกครั้งหนึ่งและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตามเดิม

 

“ถ้าอย่างงั้นรบกวนท่านนัวร์ช่วยกลับไปเขียนรายงานเกี่ยวกับยูนิตรุ่นใหม่ของท่านเอริกะด้วยค่ะ ส่วนเรื่องเสาสัญญาณนั่นช่างมันไปเถอะค่ะ เพราะต่อให้เราทำลายไปเดี๋ยวท่านเอริกะก็คงจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อยู่แล้ว แถมเผลอๆ อาจจะติดตั้งระบบป้องกันเพิ่มขึ้นมาให้มันยุ่งยากกว่าเดิมอีกด้วย… แล้วก็สำหรับตอนนี้ฉันมีคำถามให้ท่านนัวร์ตอบสักหน่อยค่ะ”

 

“ถึงไม่รู้ว่าจะถามอะไรก็เถอะแต่รู้ก็สึกไม่ดีเลยน๊า~”

 

นัวร์ที่อยู่ๆ ก็โดนนูลิสพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมานั้นได้แกว่งแขนเสื้อกาวน์ยาวเกินตัวของเธอไปมาด้วยท่าทีร่าเริงไม่สมกับคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนูลิสก็กลับไม่สนใจท่าทีของนัวร์และพูดถามคำถามของเธอขึ้นมาตรงๆ

 

“ทำไมตอนนี้ท่านนัวร์ถึงพยายามไม่ให้พวกฉันไปที่แพนเทร่างั้นหรอคะ?”

 

“อ่ะ— รู้ตัวกันด้วยหรอเนี่ย”

 

คำถามของนูลิสได้ทำให้นัวร์แสดงท่าทีประหลาดใจอันสุดแสนจะเสแสร้งออกมา และนั่นก็ทำให้นูลิสต้องหรี่ตาจ้องมองนัวร์ด้วยท่าทีจับผิดพร้อมกับเอ่ยปากจี้ถามซ้ำขึ้นมา

 

“ใช่จริงๆ ด้วยสินะคะ… เพราะตามปกติแล้วระดับหัวหน้าอย่างพวกฉันจะถูกส่งกระจายตัวกันไปปฏิบัติหน้าที่ให้ครอบคลุมทั่วทั้งทวีป แต่ว่าหลังจากที่ท่านนัวร์มารับหน้าที่แทนหัวหน้าแบบนี้แล้วก็ไม่มีใครถูกส่งไปทำงานแถวๆ แพนเทร่าอีกเลย”

 

“แหะๆ เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอก ฉันก็แค่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นที่แพนเทร่าก็เท่านั้นแหล่ะ~”

 

“เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นที่แพนเทร่างั้นหรอคะ?”

 

“ช่าย~ แต่ถึงจะไม่อยากยุ่งก็คงจะต้องเข้าไปยุ่งสักหน่อยแล้วล่ะ เพราะว่าตอนนี้พวกเราต้องการอาจารย์ฝีมือดีมาฝึกสอนรากูน่าเขา แล้วก็บังเอิญว่าตอนก่อนที่พัพเพ็ตของฉันจะขาดการติดต่อไปมันดันไปเจอไคเลอร์ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ นั้นเข้าพอดีน่ะสิ~”

 

นัวร์พูดตอบนูลิสกลับไปพลางเหล่ตามองไปทางสาวใช้ตัวน้อยจนทำให้นูลิสที่เห็นแบบนั้นต้องถอนหายใจออกมา

 

“เฮ้อ… ก็แปลว่าท่านนัวร์กำลังคิดอยากจะสั่งให้ฉันไปตามตัวท่านไคเลอร์ที่อยู่แถวแพนเทร่ามาฝึกสอนให้รากูน่าแต่ก็ไม่มีอำนาจจะทำได้งั้นสินะคะ?”

 

“อ้าวๆ ฉันยังไม่ได้สั่งอะไรพวกเธอสักคำนึงเลยนะ~ ฉันก็แค่พูดขึ้นมาเผื่อว่าจะมีใครอยากรับหน้าที่ไปตามไคเลอร์มาแทนพวกน้องๆ ผู้น่ารักที่น่าจะโดนไคเลอร์เขาระเบิดทิ้งทันทีที่เห็นหน้าสักหน่อยก็แค่นั้นเอง~”

 

“จะให้ไปตามหาตัวท่านไคเลอร์ในเขตพื้นที่แพนเทร่า… ทั้งๆ ที่ท่านนัวร์เพิ่งจะบอกว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งแถวๆ นั้นเนี่ยนะคะ?”

 

คำพูดเฉไฉของนัวร์นั้นไม่ได้ทำให้นูลิสใส่ใจอะไรเลยแม้แต่น้อยและพูดถามกลับไปด้วยความข้องใจ และนั่นก็ทำให้นัวร์เผยรอยยิ้มร่าออกมาก่อนที่เธอจะพูดอธิบายให้นูลิสที่ดูเหมือนจะตกลงรับงานนี้แล้วฟัง

 

“แหม่ มันก็มีเรื่องบางเรื่องที่ต่อให้ไม่อยากขนาดไหนก็ต้องฝืนใจทำอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ~ ถึงจะให้ฮานะฝึกให้รากูน่าเขาก็ได้ แต่ว่าคนชอบโอ๋แบบนั้นจะไปสอนเก่งสู้ไคเลอร์เขาได้ยังไงล่ะจริงมั้ย~”

 

“……”

 

คำพูดอธิบายของนัวร์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่นูลิสอยากรู้เลยนั้นได้ทำให้สาวใช้ตัวน้อยต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้นัวร๋ที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะใช้นิ้วที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อยาวเกินตัวของเธอจิ้มไปที่แก้มของนิโคลพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ถ้าเธอไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวฉันขอร้องนิโคลเขาแทนก็ได้เนอะ~”

 

“ฉันแค่กำลังคิดว่าทำไมท่านไคเลอร์ถึงไปอยู่ที่แพนเทร่าในเวลาแบบนี้อยู่ต่างหากล่ะคะ ท่านนัวร์ไม่ต้องยกนิโคลขึ้นมาขู่ฉันก็ได้ค่ะ”

 

“ถ้าแบบนั้นก็หมายความว่าเธอจะยอมไปงั้นสินะ~ พี่นูลิสใจดีที่สุดเลย~”

 

“ขยะแขยงค่ะ…”

 

คำพูดตอบกลับของนัวร์ที่กำลังจะพุ่งเข้ามากอดเธอด้วยท่าทีออดอ้อนนั้นได้ทำให้สีหน้าของนูลิสดำทะมึนลงไปพร้อมๆ กับที่เธอได้ยืนมือออกไปยันหน้าผากของนัวร์เอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ก่อนที่เธอจะพูดสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมา

 

“แล้วท่านนัวร์รู้หรือเปล่าคะว่าท่านไคเลอร์ไปทำอะไรที่แถวๆ แพนเทร่าน่ะ ฉันจะได้จำกัดขอบเขตการค้นหาได้ถูก”

 

“ก็ไม่รู้สิ เพราะไคเลอร์เขาเล่นเป่าพัพเพ็ตของฉันกระจุยในทันทีที่เห็นตัวเลยน่ะ แต่ไหนๆ เธอก็จะไปแถวๆ นั้นแล้ว ฉันขอเตือนเอาไว้ว่าถ้าเป็นไปได้เธอก็อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นที่นั่นเลยก็แล้วกันนะ ในเมื่อพวกเขาเป็นคนก่อปัญหากันเองก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองไปเถอะเนอะ~”

 

“….นั่นเป็นคำสั่งหรือเปล่าคะ?”

 

“แหม่~ ฉันไม่ได้มีอำนาจสั่งการพวกเธอแล้วสักหน่อย เพราะงั้นก็คิดซะว่าเป็นแค่คำแนะนำก็แล้วกันเนอะ~”

 

ในขณะเดียวกัน ทางด้านเหล่าเด็กนักเรียนจากกลุ่มดอว์นและเหล่าอาจารย์จากโรงเรียนรีมินัสนั้นก็ได้เดินทางกลับไปจนถึงโรงเรียนกันแล้ว โดยมีอาที่รู้เรื่องแพทย์พยาบาลและช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับอลิซไปแล้วระหว่างการเดินทางนั้นก็ได้หิ้วร่างของเด็กสาวเข้าไปทำการรักษาต่อที่ด้านในห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว

 

ส่วนทางด้านเอริซาเบธนั้นก็ได้พาซิลเวสและคอนแนลไปพักผ่อนที่เขตหอพักของทางโรงเรียนก่อนที่เธอจะติดต่อไปหาเอริกะเพื่อรายงานผลภารกิจ และนั่นก็ทำให้เอริกะที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับพวกอีฟและนากาต้องรีบบึ่งตรงมายังโรงเรียนในทันที

 

และนั่นก็ทำให้เอริกะได้พบเข้ากับร่างของอลิซที่กลับมาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลเหมือนกับเมื่อครั้งแรกที่พวกเธอได้เจอกัน และยูนิตสำหรับการบินของอลิซที่ค่อนข้างจะเรียกได้ว่ายับเยินเข้าให้

 

ซึ่งเอริกะก็ได้หยิบเอาโล่สีใสที่แตกร้าวของอลิซขึ้นมาส่องดูสลับกับร่างของอลิซที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาตรงๆ

 

“พอเห็นแบบนั้นแล้วอลิซเขาก็พุ่งเข้าไปรับจรวดตรงๆ จนมีสภาพแบบที่เห็นนี่น่ะนะ?”

 

“ก็ใช่น่ะสิคะ! ฉันก็เข้าใจว่าพวกเราต้องป้องกันเสาส่งสัญญาณเอาไว้ แต่ถ้าเกิดว่าอลิซเขาทำอย่างงี้บ่อยๆ เข้าเดี๋ยวสักวันนึงก็ได้ตายขึ้นมาจริงๆ หรอกค่ะ! ต่อให้คำสั่งจะเป็นการให้ป้องกันเสาส่งสัญญาณเอาไว้ให้ได้แต่ว่าแบบนี้มันเกินไปแล้วนะคะคุณเอริกะ!!”

 

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เสาส่งสัญญาณหรอก เพราะอลิซเองก็รู้ว่าต่อให้เสาพวกนั้นพังไปฉันก็มีทางออกอื่นเตรียมเอาไว้แล้ว… เพราะงั้นสาเหตุน่าจะเป็นเพราะพวกคอนแนลที่อยู่ในเส้นทางของจรวดนั่นเหมือนกันซะมากกว่า เพราะเห็นเธอบอกว่าซิลเวสผลีผลามจนทำให้ตัวเองบาดเจ็บไป แถมพวกเขาเองก็เพิ่งจะต่อสู้กันเสร็จด้วยใช่มั้ยล่ะ”

 

“คุณเอริกะจะบอกว่าอลิซเขา… ไม่ไว้ใจว่าพวกเด็กๆ จะสามารถหลบการโจมตีนั่นได้งั้นหรอคะ?”

 

มีอาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้พูดถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยจะมั่นใจนัก ซึ่งคำถามของเธอนั้นก็ได้ทำให้เอริกะส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่เธอจะพูดแก้ไขความเข้าใจผิดของพยาบาลสาวออกมา

 

“ไม่ใช่หรอก มันก็แค่… สำหรับอลิซแล้วความปลอดภัยของตัวเธอเองมันสำคัญน้อยที่สุด เพราะงั้นอลิซเขาก็เลยตัดมันทิ้งไปในทันที… แล้วถ้าเกิดตัดเรื่องความปลอดภัยของตัวเองทิ้งไปแล้วการเอาตัวเองเข้าไปรับกระสุนตรงๆ เพื่อหยุดการโจมตีเอาไว้มันก็ได้ผลกว่าการสั่งให้พวกเด็กๆ รีบหลบไปโดยไม่รู้ว่าพวกเขาจะหลบทันหรือเปล่าแล้วก็อาจจะยังเสี่ยงทำให้เสาสัญญาณเสียหายด้วยใช่มั้ยล่ะ”

 

“ตัดเรื่องความปลอดภัยของตัวเองทิ้งไปงั้นหรอคะ…?”

 

คำพูดอธิบายของเอริกะได้ทำให้มีอาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะสำหรับเธอที่ไม่ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของอลิซนั้นทำให้เธอไม่สามารถทำความเข้าใจการกระทำของเด็กสาวได้เลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้มีอาตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ทีหลังก่อนที่เธอจะพูดถามเกี่ยวกับเรื่องของยูนิตรุ่นใหม่ของอลิซที่เธอสังเกตเห็นว่ามันเหมือนจะสร้างภาระในการใช้งานให้กับร่างกายของเด็กสาวมากพอตัวอยู่ขึ้นมา

 

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันขอถามหน่อยเถอะค่ะคุณเอริกะ ยูนิตแฮตเตอร์ของอลิซเขามันพร้อมที่จะใช้งานจริงแล้วแน่ๆ หรือเปล่าน่ะคะ? จากที่ฉันดูข้อมูลในจอแล้วอลิซเขาไม่ได้ฝืนใช้งานจนเกินขีดจำกัดความสามารถของมันเลยไม่ใช่หรอคะ แต่ทำไมสภาพของอลิซเขาถึงดูแย่ยิ่งกว่าซิลเวสจังที่ใช้งานยูนิตผิดวัตถุประสงค์อีกล่ะคะ?”

 

“โอ๊ะๆ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็เธอน่าจะสังเกตเห็นแล้วไม่ใช่หรอว่าข้อมูลในจอมันมีบอกแค่ว่าไอพ่นกำลังทำงานอยู่กี่เปอร์เซ็นต์แต่ว่าไม่มีบอกเรื่องความเร็วสูงสุดเอาไว้น่ะ~?”

 

“นี่คุณเอริกะพูดแบบนี้อย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วคุณเอริกะไม่ได้จำกัดความเร็วสูงสุดของมันเอาไว้น่ะ?”

 

“แหม่~ ก็ใช่น่ะสิ ต้องบอกว่าที่อลิซเขาไม่อ้วกเอาเครื่องในออกมากองกันอยู่ข้างนอกแบบนี้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้วล่ะ~”

 

“ล–แล้วทำไมคุณเอริกะถึงสร้างอะไรแบบนั้นออกมากันคะเนี่ย!?”

 

มีอาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะนั้นได้หลุดปากร้องขึ้นมาด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะรีบหันกลับไปตรวจร่างกายของอลิซเพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่งในทันที

 

ส่วนทางด้านเอริกะที่เพิ่งจะพูดสารภาพออกมานั้นก็ได้กดไปที่ขาแว่นของเธอสองสามครั้งเพื่อให้มันฉายภาพที่ถูกบันทึกเอาไว้โดยกล้องของยูนิตแฮตเตอร์ขึ้นมารับชมโดยมีเสียงพูดบ่นของมีอาดังขึ้นมาประกอบไปด้วย

 

“ถ้าเกิดรู้ว่ามันอันตรายขนาดนี้ทำไมคุณเอริกะไม่เอายูนิตเชสเชียร์ไปให้อลิซเขาใช้ไปก่อนกันล่ะคะ!?”

 

“แหม่~ ฉันก็พยายามจะห้ามแล้วนะแต่อลิซเขายืนยันว่าจะใช้ของใหม่แบบนั้นแล้วจะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะ~ แถมอลิซเขายังบอกด้วยนะว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วจะได้ถือโอกาสเก็บข้อมูลไปเลยว่าจะปรับแต่งมันยังไงให้คนทั่วๆ ไปใช้งานมันได้น่ะ”

 

“แต่—แต่ว่า—”

 

มีอาที่ได้ยินว่าอลิซเป็นคนเลือกที่จะใช้ยูนิตรุ่นใหม่ด้วยตนเองโดยไม่ได้ถูกบังคับนั้นได้แต่อ้ำอึ้งพูดอะไรออกมาต่อไม่ถูก และนั่นก็ทำให้เอริกะยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมาต่อ

 

“ที่อลิซเขาทำไปแบบนั้นมันเป็นเพราะเขาก็รู้ว่าพวกเราไม่มีอะไรจะไปต่อการกับศัตรูที่บินได้นอกจากยูนิตแฮตเตอร์นั่นแหล่ะ เพราะต่อให้เป็นยูนิตที่เด่นเรื่องการยิงอย่างยูนิตเชสเชียร์มันก็ยังมีแต่ปืนกลเบาที่ยิงเจ้าพวกนั้นที่บินอยู่บนฟ้าแทบจะไม่โดนเลยใช่มั้ยล่ะ”

 

“มันก็จริงนั่นแหล่ะค่ะ… ถึงยูนิตเชสเชียร์จะติดปืนเอาไว้ก็เถอะ แต่ว่าจะให้เอาไปยิงคนที่บินบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระแบบนั้นมันก็คงจะยากหน่อย…”

 

“ก็นั่นแหล่ะ เพราะแบบนั้นอลิซเขาเลยเลือกจะเอายูนิตแฮตเตอร์ไปใช้แทน เผื่อว่าจะต้องเจอกับศัตรูที่บินได้ขึ้นมาไง เสร็จแล้วก็กลับมานอนโทรมอย่างที่เห็นเนี่ยล่ะ~”

 

“แต่ถึงคุณเอริกะจะพูดแบบนั้นก็เถอะ มันไม่มีวิธีอื่นนอกจากการปล่อยให้อลิซเขาเอาตัวไปเสี่ยงแบบนี้แล้วงั้นหรอคะ?”

 

คำพูดของเอริกะที่ฟังดูไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยนั้นได้ทำให้มีอาต้องขมวดคิ้วพูดถามกลับไปตรงๆ และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เคยเลี้ยงดูมีอามาตั้งแต่ยังเด็กอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา เพราะเธอรู้ดีว่าปกติแล้วมีอาไม่ค่อยจะแสดงท่าทีเป็นห่วงใครนอกจากเทียที่เป็นพี่สาวฝาแฝดของเธอและเอริซาเบธที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กสักเท่าไหร่นัก และนั่นก็หมายความว่ามีอาคงจะนับอลิซเป็นเพื่อนหรือพวกพ้องของตนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

 

“น่าๆ ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นห่วงอลิซเขา แต่ว่าในเมื่อนี่เป็นการตัดสินใจของอลิซเองแล้ว เธอที่เป็นโอเปอเรเตอร์ของเขาก็ควรจะเชื่อใจอลิซเขาจะดีกว่านะ~”

 

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ! แล้วฉันเองก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรอลิซเขาด้วย!”

 

“จ้าๆ ถ้าเธอว่างั้นก็ตามนั้นแหล่ะจ้ะ แต่ถ้ายังไงก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้าเกิดว่าเอริมาได้ยินเข้าเดี๋ยวเขาก็หึงแย่หรอก~”

 

“คุณเอริกะพูดเรื่องอะไรกันคะเนี่ย!?”

 

ก๊อก ก๊อก

 

“มีอาจ๋า~ อยู่ข้างในนี้หรือเปล่าเอ่ย~?”

 

ในขณะที่มีอากำลังหันไปพูดโวยวายใส่เอริกะอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเคาะประตูห้องพยาบาลดังขึ้นมาเบาๆ พร้อมๆ ที่ได้มีเสียงหวานๆ ของเอริซาเบธดังขึ้นมาจนทำให้มีอาสะดุ้งไป

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริซาเบธก็กลับไม่รอให้คนด้านในพูดตอบกลับไปก่อนและค่อยๆ เลื่อนเปิดประตูเข้ามาภายพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาภายในทันทีที่เธอสังเกตเห็นเส้นผมสีขาวของเพื่อนสนิทของตน

 

“ถ้าอยู่ก็ตอบกันหน่อยสิ~ ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวแบบนี้ฉันเหงา— อ่ะ คุณเอริกะก็อยู่ด้วยงั้นหรอคะ~”

 

“สวัสดีจ้ะเอริ แล้วพวกคอนแนลกับซิลเวสจังล่ะ?”

 

“สองคนนั้นโดนไดเอน่าจังลักพาตัวไปเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ~”

 

“งั้นหรอ ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ~”

 

เอริกะที่ได้ยินคำตอบของเอริซาเบธนั้นได้ยิ้มพูดตอบเธอกลับไปก่อนที่เธอจะยกกล่องที่บรรจุยูนิตแฮตเตอร์ที่มีสภาพยับเยินขึ้นมาถือเอาไว้จนทำให้เอริซาเบธต้องพูดถามขึ้นมา

 

“คุณเอริกะจะกลับแล้วหรอคะ? ให้ฉันช่วยขนของให้มั้ยคะ?”

 

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ว่าแต่วันนี้คุณผู้อำนวยการเขาอยู่หรือเปล่าน่ะเอริ? ฉันเคยบอกเขาไปว่าถ้าพวกเด็กๆ ได้ทดลองใช้งานยูนิตจริงกันเมื่อไหร่จะรีบไปรายงานให้เขาฟังให้เร็วที่สุดน่ะ”

 

“ท่านผู้อำนวยการน่ะหรอคะ? ต่อให้เป็นวันหยุดก็น่าจะยังอยู่ในห้องทำงานเลยล่ะมั้งคะ หรือต่อให้ไม่อยู่พอมีคนไปยืนรออยู่ที่หน้าห้องสักพักนึงเดี๋ยวท่านผู้อำนวยการเขาก็รีบกลับมาเองแหล่ะค่ะ”

 

“ต่อให้เป็นวันหยุดก็ยังมาทำงานอีกหรอน่ะ คนยังหนุ่มยังสาวนี่แรงดีกันจริงจังเลยน๊า~”

 

เอริกะพูดบ่นออกมาด้วยคำพูดราวกับคนแก่ที่ฟังดูไม่เข้ากับร่างกายที่ยังคงสาวสะพรั่งของเธอเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับเดินยกกล่องใส่ยูนิตตรงไปทางประตู แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เธอจะได้ก้าวเท้าออกไปจากห้องพยาบาลเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยและหันไปทางมีอาที่ยังคงนั่งหันหน้าหนีเอริซาเบธไปทางอื่นพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยแววตาแพรวพราว

 

“อ่ะ จริงด้วยสิเกือบลืมไปเลย~ ถึงวันนี้จะเป็นวันหยุดจนไม่น่าจะมีใครเข้ามาในห้องพยาบาลแล้วก็เถอะ แต่พวกเธอก็อย่าเผลอทำอะไรที่มันส่งเสียงดังจนรบกวนอลิซเขาละกันเนอะมีอาจัง~”

 

“ใครเขาจะไปทำอะไรแบบนั้นกันล่ะคะ!!”

 

 

หลังจากที่เอริกะได้พูดแหย่เด็กๆ ของเธอจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็ไม่รอช้าที่จะขนกล่องใส่ยูนิตแฮตเตอร์ขึ้นไปหาท่านผู้อำนวยการบนห้องทำงานที่ชั้นห้าในทันที

 

ซึ่งเอริกะก็ได้หยิบเอาเครื่องฉายภาพสามมิติที่เธอเคยมอบให้ท่านผู้อำนวยการออกมาจัดการเสียบสายต่างๆ เข้ากับยูนิตแฮตเตอร์จนทำให้มันฉายภาพการต่อสู้ของอลิซกับเหล่าสาวใช้ผู้มีปีกแสงทั้งสามคนขึ้นมาให้ท่านผู้อำนวยการที่ยังคงสวมใส่ชุดเกราะเต็มตัวสีขาวอยู่เช่นเคยได้ดู

 

และหลังจากที่ท่านผู้อำนวยการดูภาพการต่อสู้จนจบแล้วเขาก็ได้พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาโดยที่เอริกะที่ไม่เห็นสีหน้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ชุดเกราะแบบเต็มตัวนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกยังไงอยู่กันแน่

 

“ฮึ่ม…”

 

“คิดว่ายังไงบ้างล่ะคะท่านผู้อำนวยการ ยูนิตแฮตเตอร์อันนี้คือสเปคสูงสุดเท่าที่วิทยาการของพวกคุณในตอนนี้จะสร้างได้แล้วล่ะคะ แล้วสำหรับฉันแล้ว ฉันว่ามันก็ออกมาไม่ได้แย่สักเท่าไหร่เลยนะคะ”

 

“ถ้าเกิดว่ามันไม่แย่… แล้วตอนนี้อาจารย์อลิซที่เป็นคนใช้ยูนิตเครื่องนี้ไปอยู่ซะที่ไหนแล้วล่ะ?”

 

“กำลังนอนพักฟื้นอยู่ที่ห้องพยาบาลเลยค่ะ~”

 

“…….”

 

คำตอบของเอริกะได้ทำให้ท่านผู้อำนวยการนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดถามเอริกะขึ้นมาตรงๆ

 

“นี่เธอกะจะให้นักเรียนของฉันใช้ยูนิตที่อาจจะทำให้ผู้ใช้ได้รับอันตรายแบบนี้ก็ได้จริงๆ หรอเอริกะ… ถ้าดูจากความเร็วในการบินที่มันทำได้แล้วไม่น่าจะมีมนุษย์คนไหนสามารถทนรับความเร็วระดับนั้นได้หรอกนะ…”

 

“แหม่~ ท่านผู้อำนวยการคงจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปหน่อยนึงนะคะ เจ้ายูนิตแฮตเตอร์เนี่ยมันเป็นยูนิตรุ่นต้นแบบสำหรับให้อาจารย์อลิซเขาใช้โดยเฉพาะน่ะค่ะ เพราะงั้นก่อนที่จะเอาไปผลิตให้พวกเด็กนักเรียนใช้กันมันก็ต้องมีการ…เอ่อ… ปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับให้มนุษย์ทั่วไปใช้งานกันอยู่แล้วล่ะค่ะ”

 

“…ถ้างั้นก็ทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยมาให้ฉันตรวจสอบก่อนที่จะเริ่มให้พวกนักเรียนได้ใช้งานกันด้วย”

 

“ค่าๆ พอเป็นเรื่องความปลอดภัยของพวกเด็กนักเรียนแล้วเคร่งจังเลยนะคะท่านผู้อำนวยการเนี่ย~”

 

เอริกะที่ดูเหมือนจะคาดเดาคำตอบของท่านผู้อำนวยการในชุดเกราะสีขาวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วนั้นสามารถพูดตอบกลับไปได้อย่างไม่ติดขัดก่อนที่เธอจะจัดการเก็บกวาดอุปกรณ์ฉายภาพที่ถูกติดตั้งเอาไว้โดยมีเสียงพูดถามของท่านผู้อำนวยการดังขึ้นมาไปด้วย

 

“ว่าแต่… แล้วยูนิตของอาจารย์อลิซนี่จะได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมด้วยหรือเปล่า?”

 

“เรื่องนั้นมันก็แล้วแต่ว่าอลิซเขาจะขอมาหรือเปล่านั่นแหล่ะค่ะ แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะฝึกให้ร่างกายสามารถใช้งานมันไหวมากกว่าจะขอปรับลดสเปคมันลงมามากกว่าล่ะมั้งคะ”

 

“…ร่างกายของมนุษย์จะสามารถรับภาระหนักขนาดนั้นได้จริงๆ งั้นหรอ?”

 

คำพูดคาดเดาของเอริกะได้ทำให้ผู้อำนวยการต้องพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และนั่นก็ทำให้เอริกะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“ฮะฮะ แต่ไหนแต่ไรมาการโบยบินบนท้องฟ้ามันก็ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์ควรจะทำได้อยู่แล้วแหล่ะค่ะ… แต่ถึงอย่างนั้นพวกฉันก็เคยได้เห็นมนุษย์เดินดินธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีพลังวิซที่แสนวิเศษอย่างพวกคุณก้าวข้ามขีดจำกัดและขึ้นไปโบยบินบนท้องฟ้าหรือแม้แต่ดินแดนที่สูงกว่านั้นมาแล้ว… เพราะงั้นที่เหลือก็มีแค่การรอให้ลูกนกน้อยทั้งหลายกล้าที่จะกางปีกของพวกเขาออกเพื่อโบยบินไปบนท้องฟ้าเท่านั้นแล้วล่ะค่ะ”

 

“ก็คงจะได้แต่หวังว่าพวกเด็กๆ จะไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังก็แล้วกัน…”

 

ท่านผู้อำนวยการที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาประสานกันเอาไว้และเอ่ยปากพูดถามคำถามใหม่ขึ้นมา

 

“ว่าแต่เมื่อกี้นี้ที่เธอพูดถึงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังวิซนั่น ฉันมีคำถามอยากจะถามเธออยู่เหมือนกัน…”

 

“ท่านคงจะหมายถึงอาวุธปืนยาวที่แฟรี่ปีกสีแดงสองคนนั้นใช้ใช่มั้ยล่ะ?”

 

“ใช่… ถ้าดูจากกระสุนที่พวกเขายิงออกมานั่น ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็คือกระสุนพลังงานวิซไม่ใช่หรอ?”

 

“เท่าที่ดูแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปได้หรอกค่ะ ดูท่าทางว่าคนที่พยายามจะพัฒนาตัวเองคงจะไม่ได้มีแต่พวกเราแล้วล่ะมั้งคะเนี่ย~”

 

เอริกะพูดตอบท่านผู้อำนวยการกลับไปโดยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงความกังวลใจอะไรเลยแม้แต่น้อยและนั่นก็ทำให้ท่านผู้อำนวยการต้องพูดถามซ้ำขึ้นมา

 

“พวกเราควรเป็นห่วงหรือเปล่า…?”

 

“เรื่องนั้นฉันคิดว่ายังไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะถ้าดูจากหน้าตาแล้วมันน่าจะเป็นปืนวิซรุ่นเก่าๆ ที่ถูกดัดแปลงให้พวกแฟรี่สามารถใช้งานได้เท่านั้นแหล่ะค่ะ แล้วถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องวิซแล้วล่ะก็พวกเราก็ค่อนจะได้เปรียบพวกเขาเยอะอยู่นะคะ~”

 

“เธอหมายถึงโล่วิซที่พวกเด็กๆ ที่ไปเฝ้ากำแพงได้ไปใช้กันนั่นสินะ…”

 

ท่านผู้อำนวยการที่ได้ยินสิ่งที่เอริกะบอกนั้นได้เหลือบตาไปมองโล่สีใสของอลิซที่สามารถทนรับกระสุนวิซของพวกสาวใช้สวมหน้ากากได้อย่างไม่สะทกสะท้านเล็กน้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะจะเอ่ยปากพูดกำชับขึ้นมา

 

“แต่เอาเป็นว่าถ้าเกิดท่านผู้อำนวยการได้ข่าวเกี่ยวกับอาวุธอะไรใหม่ๆ ที่พวกเด็กๆ อาจจะต้องไปเจอมาก็ส่งข้อมูลมาให้ฉันสักหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะลองหาวิธีรับมือให้พวกเด็กๆ ให้เอง”

 

“แต่สำหรับตอนนี้จะกังวลไปก็เสียเปล่าเปล่างั้นสินะ… เอาเป็นว่าถ้าได้ข่าวอะไรมาฉันจะฝากไดเอน่าไปบอกเธออีกทีนึงก็แล้วกัน”

 

“อ่ะ– จริงด้วยๆ ไหนๆ ก็พูดถึงไดเอน่าจังขึ้นมาแล้ว ฉันฝากท่านผู้อำนวยการไปบอกอะไรเขาสักหน่อยสิคะ”

 

“……”

 

คำพูดของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้ผู้อำนวยการเงียบเสียงลงไปอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะขยับมานั่งประสานมือกันอีกครั้งและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเคย

 

“ถ้าแค่ฝากข้อความไปบอกล่ะก็ได้ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคำสั่งที่เธอจะมอบให้ไดเอน่าล่ะก็ฉันคงจะต้องขอฟังก่อนก็แล้วกัน…”

 

“ก็แค่ฝากบอกไปเฉยๆ ก็พอแล้วล่ะค่ะไม่ใช่คำสั่งให้ไดเอน่าไปทำสักหน่อย~ แต่ถ้าเกิดว่าไดเอน่าเขาไม่โอเคก็ช่วยส่งคนมาบอกฉันสักหน่อยก็แล้วกันนะคะ ฉันจะได้ลองหาทางอื่นดูน่ะ~”

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท