ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 139 สุดแต่บุญวาสนาของเจ้าแล้ว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 139 สุดแต่บุญวาสนาของเจ้าแล้ว

มองเรือใหญ่เวทกิ้งก่าทะเลข้างหน้าลำนี้ จิตใจสวี่ชิงเกิดคลื่นซัดโถม

เขาเคยเห็นกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐาน

และเพราะเคยเห็น ดังนั้นตอนนี้หลังจากที่เขาเห็นเรือใหญ่เวทของตนถูกจางซานหลอมเป็นรูปร่างเหมือนกิ้งก่าทะเล และรับรู้จากประสาทสัมผัสแล้ว เรือใหญ่เวทของตนกับกิ้งก่าทะเลของจริงแม้จะมีความแตกต่างอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ทางด้านกลิ่นอายแทบจะไม่แตกต่างกันเลย

ตัวเรือห้าสิบจั้ง ขาที่มีกรงเล็บคมกริบสี่ข้าง และยังมีหัวที่สมจริงมีชีวิตชีวา อีกทั้งหางที่ยังกำลังส่ายไปมาเบาๆ

สิ่งเหล่านี้เหมือนกับกิ้งก่าทะเลทุกประการ

ที่ไม่เหมือนกันคือมีปีกเนื้อเพิ่มขึ้นมา

ปีกเนื้อนั่นใหญ่มาก สวี่ชิงกะด้วยสายตาหากมันกางออกอย่างน้อยๆ ก็กว้างเท่ากับตัวเรือ สามารถจินตนาการเมื่อกางสยายจะต้องเกิดเป็นพายุลมกรดอย่างแน่นอน

ส่วนตำแหน่งในตัวเรือซึ่งก็คือหลังของกิ้งก่าตัวนี้ นั่นคือหอเล็กสามชั้นนั่น ดูแล้วไม่ได้งดงามวิจิตรอะไร แต่กลับให้ความรู้สึกแข็งแรงทนทาน

“เรือเวทของยอดเขาที่เจ็ดแบ่งเป็น เรือเล็ก เรือใหญ่ เรือศึก และเรือกล สี่ประเภท เรือของเจ้าลำนี้ยกระดับถึงเรือใหญ่เวทแล้วโดยสมบูรณ์ ถึงขั้นที่สามแล้ว แต่เนื่องจากคราบกิ้งก่าคุณสมบัติเวทและเลือดเนื้อจวีอิง ดังนั้นพลังบางส่วนเหนือกว่าที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอก”

จางซานอยู่ข้างๆ กวาดสายตามองท่าทางตื่นตะลึงของสวี่ชิง ในใจรู้สึกเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง เชิดหน้าขึ้นอย่างได้ใจ มองผลงานชิ้นเอกที่อยู่ข้างหน้าพลางเอ่ยขึ้น

“จุดที่แย่คือส่วนกระดูกงูกับวัสดุบางอย่างของตัวเรือ แล้วก็แหล่งกำเนิดพลังหลัก เลือดเนื้อจวีอิงแม้จะล้ำค่า แต่นายกองให้มากน้อยมากๆ อีกทั้งคุณสมบัติเทพในนั้นยังไร้รากฐาน ดังนั้นข้าคิดว่าหากเจ้าสามารถหาหัวใจของสิ่งมีชีวิตประเภทเทพมาได้ เรือเวทลำนี้จะมีมูลค่าสูงยิ่งขึ้น

“แต่ว่า วัตถุดิบของเรือเวทระดับสร้างฐานราคาสูงกว่าระดับรวมปราณมากๆ อีกทั้งชิ้นส่วนที่เรือเวทต้องใช้ก็ซับซ้อนกว่า โดยพื้นฐานแล้วราคาทั้งหมดที่ต้องใช้ในการยกระดับหนึ่งขั้นโดยใช้วัสดุระดับสร้างฐานที่ราคาต่ำที่สุด ก็ต้องใช้หินวิญญาณสามถึงห้าหมื่นก้อน

“หากเปลี่ยนเป็นวัสดุราคาสูงอย่างกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานของเจ้า ยกระดับหนึ่งขั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้หินวิญญาณหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนขึ้นไป ซึ่งข้าไม่มีความสามารถหลอมมันได้แล้ว…หากระดับสูงยิ่งกว่านั้นก็จะเป็นมูลค่ามหาศาล ดังนั้น คิดจะยกระดับเรือใหญ่เวท เจ้าต้องหาเงินแล้วสวี่ชิง

“นอกจากนั้น เหตุที่เรือใหญ่เวทระดับสร้างฐานน่าตื่นตะลึงก็เพราะหลังจากที่ถึงขั้นแปดแล้วก็จะมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวะแสงนภา เพียงแต่ประโยชน์ของมันคือควบคุมสภาวะแสงนภาของฝ่ายศัตรู และยิ่งวัสดุของเรือดีมากเท่าไร ผลของการควบคุมก็จะมากขึ้นเท่านั้น!”

สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้จิตใจก็ตื่นตะลึง

ก่อนหน้านี้นายกองเปิดสภาวะแสงนภาก็ทำให้ความร้อนรุ่มของเขารุนแรง ตอนนี้ได้ยินพลานุภาพของเรือใหญ่เวท ในดวงตาของเขาก็ฉายประกายวาววับออกมา

“อึ้งเลยล่ะสิ ไม่อย่างนั้นทำไมผู้บำเพ็ญยอดเขาที่เจ็ดพอถึงระดับสร้างฐานแล้ว จะยังคงพยายามยกระดับเรือเวทของตัวเองกันเล่า เจ้าต้องรู้ว่าพวกเรายอดเขาที่เจ็ดถูกคนข้างนอกเรียกว่าผู้บำเพ็ญเรือนะ” จางซานหัวเราะพลางเอ่ย

“แล้วก็ยังคำนึงถึงว่าเรือเวทของเจ้าเมื่อครั้งที่แล้วเสียหายไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ครั้งนี้ในด้านความแข็งแกร่งและการป้องกันข้าก็ได้เพิ่มไปอีกไม่น้อย ตอนนี้เรือใหญ่เวทของเจ้าลำนี้ร้ายกาจกว่าก่อนหน้านี้มากโขเลยทีเดียว

“ไม่ว่าจะเป็นเดินสมุทร บิน ดำน้ำล้วนแต่สำแดงพลังน่าตื่นตะลึงออกมาได้ทั้งนั้น

“สุดท้ายข้ายังเพิ่มเกราะชั้นนอกให้เรือเวทของเจ้าลำนี้อีกชั้นหนึ่ง แรงบันดาลใจมาจากคราบกิ้งก่าทะเล เรือเวทของเจ้าเมื่อเจอกับการโจมตีที่ไม่อาจหักล้างได้ เกราะชั้นนอกก็จะระเบิดออกเป็นเศษซากประดุจนางฟ้าโปรยดอกไม้ ดูแล้วอยากให้น่าสังเวชเท่าใดก็น่าสังเวชได้เท่านั้น แบบนี้คนอื่นก็คงเสียดายพลังเวทไม่ลงมือเป็นครั้งที่สองแล้ว

“แต่ความจริงแล้วมันสามารถประกอบขึ้นใหม่ได้เพียงเสี้ยวนึกคิด แต่ทักษะนี้ตอนนี้ข้ายังไม่ชำนาญนัก ดังนั้นจะทำหลายครั้งไม่ได้ ข้าลองวิเคราะห์ดูแล้ว เรือของเจ้าลำนี้สามารถทนการแยกส่วนแล้วประกอบใหม่ได้สองครั้ง

“ถึงตอนนั้นไม่ว่าเจ้าจะแกล้งตายหรือจะโจมตีกลับ ล้วนแต่เหนือความคาดหมายทั้งสิ้น”

สวี่ชิงมองจางซานพลางมองเรือใหญ่เวทของตัวเอง เขาสัมผัสได้ว่าจางซานทุ่มเทกายใจเพื่อช่วยตนหลอมเรือจริงๆ เรื่องนี้ในสภาพแวดล้อมอย่างสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแบบนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่านัก

สวี่ชิงประสานหมัด โค้งคารวะสุดตัว

“ขอบคุณศิษย์พี่จางซานมากขอรับ!”

“เกรงใจอะไร ข้าก็ลงทุนเหมือนกัน ตอนนี้ดูเจ้ากับนายกองข้าเลือกลงทุนถูกแล้ว ดังนั้นก็หวังว่าความเป็นไปได้ที่พวกเจ้ามีชีวิตรอดจะมากหน่อย ในเมื่อ…ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าสองคนบ้าระห่ำมาก แต่ข้าก็คิดว่านายกองน่าจะตายเร็วกว่าเจ้า” จางซานถอนหายใจ

สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า

“วัตถุดิบทำโลงที่เตรียมให้นายกอง ยังอยู่ในเรือใหญ่เวทหรือไม่”

“อยู่สิ นั่นมันของดีเชียวนะ ครั้งที่แล้วเสียหายไปเล็กน้อย ที่เหลืออยู่จะสิ้นเปลืองไม่ได้” จางซานกระแอมเล็กน้อย ยิ้มพลางมองสวี่ชิง

สวี่ชิงไม่พูดอะไร ประสานหมัดคารวะอีกครั้ง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอาหินวิญญาณสองหมื่นก้อนออกมาแล้วยื่นไปให้

จางซานก็ไม่เกรงใจ การหลอมครั้งนี้ วัตถุดิบที่เขาใช้ไม่ได้มีแค่ของพวกนี้ หลังจากเก็บลงไปก็โบกมือให้สวี่ชิง ก่อนที่ทั้งสองคนแยกย้ายกันไป

สวี่ชิงเก็บเรือใหญ่เวทของตัวเองลงไป มองมหาสมุทรที่อยู่ไกลๆ ในใจเต็มไปด้วยความวาดหวัง

“พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางก็เดินเรือออกทะเลทันที!” หลังจากที่สวี่ชิงตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็ไปจากกรมขนส่ง ระหว่างทางในใจก็คำนวณหินวิญญาณของตัวเอง

“ระดับสร้างฐานมีค่าใช้จ่ายมากมายเหลือเกิน ตอนนี้ในกระเป๋าก็เหมือนว่าจะเหลือหินวิญญาณไม่ถึงห้าหมื่นก้อนแล้ว แล้วก็มีตะเกียงดับวิญญาณต้องรีบขายออกไป ถ้าขายไปได้ก็จะรวยแล้ว”

สวี่ชิงระหว่างครุ่นคิดก็บินมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่เจ็ด ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ผู้คนสัญจรไปมาในเมืองหลักไม่มีแล้ว ดูแล้วว่างโล่ง มีเพียงจิตชั่วร้ายในค่ำคืนที่แผ่ลามไประหว่างลูกศิษย์ล่างเขาด้วยกันเอง

แต่ว่าเรื่องพวกนี้ตอนนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสวี่ชิง ลำพังเพียงแค่ฆ่าคนร้ายประกาศจับไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขาแล้ว ทว่าร่างของเขาในยามที่อยู่กลางเมืองหลักจู่ๆ ก็หยุดชะงักกลางอากาศ

สวี่ชิงก้มหน้ามองคนที่นอนอยู่บนถนนว่างโล่งข้างล่าง

นั่นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีเทา ในนั้นมีชุดหนังสุนัขสวมทับเอาไว้ เลือดอาบย้อมเสื้อหนัง ซึมไปบนชุดนักพรต มองเห็นที่ท้องเหมือนมีบาดแผลที่ถึงแก่ชีวิตอยู่

ส่วนร่างที่เผยออกมาก็เต็มไปด้วยรอยแผล เหมือนจะผ่านการทำร้ายอย่างแสนสาหัสมา

โดยเฉพาะมือทั้งสองข้าง เล็บทุกเล็บถูกถอดออก นอกจากนี้ฟันที่เหมือนใบเลื่อยคู่นั้นยังถูกถอนออกไปด้วย

เป็นเจ้าใบ้นั่นเอง

ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัสไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจรวยริน หน้าอกมีป้ายฐานะวางเอาไว้อยู่ แต้มอุทิศบนนั้นไม่เหลือแล้ว คำนวณจากเวลา น่ากลัวว่าทันทีที่ฟ้าสว่าง ก็จะเป็นเวลาที่เขาถูกค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิตสังหาร

สวี่ชิงมองเจ้าใบ้จากกลางอากาศ เดินลงมาอย่างเงียบงัน มายืนอยู่ข้างเด็กหนุ่มใบ้ พลางก้มหน้ามองอีกฝ่าย

เจ้าใบ้ตอนนี้อยู่ในขั้นวิกฤต ทั้งคนนอนอยู่ตรงนั้นเหมือนว่าไม่ต้องรอให้ถึงเช้าก็จะตายแล้ว กระเป๋าในตัวก็ไม่มี เรือเวทก็ถูกคนชิงเอาไปแล้ว

วิธีการทำให้อีกฝ่ายใกล้ตายแล้ววางป้ายฐานะไว้บนหน้าอก สวี่ชิงรู้เป็นอย่างดีว่าเป็นวิธีของคนล่างเขาที่ใช้เป็นประจำ โดยปกติแล้วล้วนใช้วิธีนี้แก้แค้น

เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าใบ้ปกติในกรมปราบพิฆาตโหดเหี้ยมเกินไป ดังนั้นแล้วจึงถูกคนใช้วิธีนี้ลงมือแก้แค้น

สวี่ชิงตอนนี้มองเจ้าใบ้นึกถึงตอนที่อีกฝ่ายมอบนักโทษประกาศจับกับตัวเองและการสะกดรอยตามของอีกฝ่ายเมื่อครั้งหลังการแข่งขันครั้งใหญ่สิ้นสุดวันนั้น และการเตือนเรื่องเงาประโยคนั้นด้วย ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

นานหลังจากนั้น สวี่ชิงก็หยิบป้ายฐานะของเจ้าใบ้ขึ้นมาแล้วโอนแต้มอุทิศจำนวนหนึ่งก้อนหินวิญญาณไป จากนั้นก็บีบปากที่เลือดเนื้อเละเทะของเจ้าใบ้แล้วโยนลูกกลอนลงไปเม็ดหนึ่ง

ทำเรื่องพวกนี้เรียบร้อย สวี่ชิงก็คว้าเสื้อของเจ้าใบ้ลากจากไป เมื่อถึงที่พักอาศัยที่เหมือนรังสุนัขของอีกฝ่ายที่เขาเคยไปในครั้งนั้น สวี่ชิงก็โยนเจ้าใบ้เข้าไป

จากนั้นก็หมุนตัวไปจากที่นี่

เขาทำเรื่องพวกนี้ได้ในโลกาวินาศเช่นนี้ก็นับว่าทำดีมีเมตตาที่สุดแล้ว ทว่าเป็นตายสุดแล้วแต่โชคชะตา มีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่ก็สุดแต่บุญวาสนาของเจ้าใบ้แล้ว

สวี่ชิงไปแล้ว เขารู้ว่าเจ้าใบ้ฟื้นตั้งแต่ระหว่างทางแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ

ตอนนี้หลังจากที่เขาจากไป เด็กหนุ่มใบ้ก็ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ร่างกายสั่นสะท้านรุนแรง จับจ้องร่างที่จากไปไกลของสวี่ชิง นานหลังจากนั้นดวงตาทั้งสองก็ปิดลงอีกครั้ง ร่างขดกลม

สวี่ชิงกลับมาถถึงยอดเขาที่เจ็ด ในตอนที่เขาเห็นถ้ำของตัวเองมาจากที่ไกลๆ ใต้แสงจันทร์เขาก็สังเกตุเห็นที่นอกถ้ำ ข้างหน้าผามีเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งนั่งอยู่

เป็นหวงเหยียนนั่นเอง

เขานั่งอยู่บนหน้าผา สองขาแกว่งไกวไปมา มือถือไข่ใบหนึ่งกำลังโคลงศีรษะดื่มอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากสังเกตเห็นเงาร่างของสวี่ชิงบินมาจากท้องฟ้า หวงเหยียนก็ตาเป็นประกาย รีบกวักมือทันที

“ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที ข้ารอเจ้าอยู่ตั้งนานแล้ว” หวงเหยียนพูดพลางหยิบไข่ออกมจากอกเสื้อแล้วโยนไป

สวี่ชิงรับเอาไว้ ลอยต่ำมาข้างกายเขา ไม่มีท่าทีที่แตกต่างจากแต่ก่อนเพราะตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานแล้วแต่อย่างใด นั่งลงมาเหมือนกัน เจาะไข่แล้วดื่มอึกหนึ่ง

ก็ยังคงเป็นรสชาตินั้น

“เมื่อวานข้าได้ยินคนบอกว่าเจ้าทะลวงระดับสร้างฐานแล้ว วันนี้ก็เลยมาดูเจ้าเสียหน่อย เป็นอย่างไร ข้าสุดยอดไปเลยใช่ไหม ยอดเขาที่เจ็ดนี้ตอนนี้ข้าอยากขึ้นเขาก็ขึ้น ค่ายกลขวางข้าไม่ได้” หวงเหยียนเอ่ยอย่างได้ใจ

“องค์หญิงสองดีกับเจ้าจริงๆ” สวี่ชิงยิ้มน้อยๆ สำหรับหวงเหยียน ความรู้สึกดีๆ ของเขามีมาก ในใจของเขา หากคนที่ได้เจอในยอดเขาที่เจ็ดเหล่านี้บอกว่าเป็นสหายที่แท้จริง หวงเหยียนนับเป็นหนึ่งในนั้น

พูดถึงองค์หญิงสอง เจ้าอ้วนน้อยก็ตบอกอย่างฮึกเหิมขึ้นมาทันทีจนมีตุบๆ ดังออกมา

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้นะสวี่ชิง ศิษย์พี่หญิงดีกับข้ามากเลย ยังมอบป้ายให้ข้าป้ายหนึ่งด้วย ข้ามาหานางได้ทุกเวลา”

สวี่ชิงยิ้ม ดื่มไข่ต่อ

พวกเขาทั้งสองยังคงเหมือนตอนอยู่ที่ท่าเรือเจ็ดสิบเก้าในอดีต สวี่ชิงส่วนมากล้วนนั่งฟัง ส่วนหวงเหยียนนั้นก็บอกเล่าไม่หยุดว่าศิษย์พี่หญิงดีกับเขาอย่างไรภายใต้แสงจันทร์เช่นนี้เอง

จวบจนหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หวงเหยียนก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่ก้นแล้วยิ้มพูดกับสวี่ชิง

“จริงสิสวี่ชิง ครั้งที่นี้ข้ามายังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเอาตะเกียงดับวิญญาณของเผ่าเงือกไป เจ้าจะขายให้ข้าหรือไม่ ข้าคิดว่าจะมอบให้กับศิษย์พี่หญิง

“ระหว่างสหาย ข้าก็ไม่เอาเปรียบเจ้า ข้าซื้อด้วยหินวิญญาณห้าแสนก้อน แต่ว่าตอนนี้ข้ามีไม่มากขนาดนั้น ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเพื่อรวมให้ครบ หากเจ้าตกลง พวกเราก็ตกลงกันตามนี้” หวงเหยียนมองสวี่ชิงอย่างวาดหวัง

สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าตกลง

หวงเหยียนได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก ก่อนจากเขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนมาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำทุ้มว่า

“สวี่ชิง ข้าได้ยินศิษย์พี่บอกว่าช่วงนี้สำนักจะมีเรื่องใหญ่!

“ศึกเผ่าเงือกวันนั้น พลังบำเพ็ญของบรรพจารย์เจ็ดเนตรโลหิตทะลวงขั้นสังหารบุกไปประกาศศักดาในเผ่าสิงซากสมุทร เรื่องนี้น่ากลัวว่าจะมีเรื่องตามมา ในเมื่อ…พลังบำเพ็ญไม่เหมือนกันแล้ว โครงสร้างเขตทะเลจะต้องแบ่งใหม่

“ไม่แน่ว่าอาจเกิดสงครามขึ้น นี่เป็นเรื่องที่ดี สงครามทุกครั้งเหมือนกับการแข่งขันครั้งใหญ่ ล้วนแต่เป็นโอกาสที่ทุกคนจะร่ำรวย เพียงแต่อันตรายยิ่งขึ้นก็เท่านั้น แต่ผลเก็บเกี่ยวก็ได้มากกว่าเช่นกัน” หวงเหยียนพูดจบก็เอ่ยลาจากไป

สวี่ชิงมองเงาแผ่นหลังหวงเหยียน แล้วมองไปทางทะเล ก่อนจะหรี่ตาลง

“สงครามหรือ……”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท