ตอนที่ 196 เลี้ยงเธอเหมือนเลี้ยงลูกสาว
ตอนที่ 196 เลี้ยงเธอเหมือนเลี้ยงลูกสาว
แขนขาวผ่องเรียวของหญิงสาวโอบรอบคอของชายหนุ่ม ดวงตาของเธออ่อนระโหยหยาดเยิ้ม ถามเสียงกระเส่า “เมื่อกี้พวกเขาได้ยินหรือเปล่าคะ?”
เฉินเจียเหอจับหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนอย่างพึงพอใจ หอบหายใจเข้าเล็กน้อย “ครั้งต่อไปถ้าพวกเขามารบกวนเราอีก คุณส่งเสียงดังกว่านี้ก็ได้ ผมชอบ”
“ลามก”
“พรุ่งนี้เราสองคนตื่นนอนแต่เช้ากันเถอะ กลับบ้านกันเร็วหน่อย ฉันไม่อยากเจอหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมย”
ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นคงคิดใช้การตั้งครรภ์ของตัวเองเพื่อวางอำนาจบาตรใหญ่ในเช้าวันพรุ่งนี้แน่นอน ซึ่งเธอปฏิเสธที่จะให้โอกาสนั้นแก่หล่อน
“ได้”
เขาดึงเธอเข้ามากอดในอ้อมแขน แล้วจูบเธอเบา ๆ ที่หน้าผาก “นอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าผมจะปลุกคุณเอง”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” หลินเซี่ยจูบตอบเขาด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้า ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไป
……..
วันรุ่งขึ้น บรรยากาศนอกหน้าต่างยังมืดอยู่ แต่เฉินเจียเหอกลับเขย่าตัวเธอเบา ๆ
“เซี่ยเซี่ย ถึงเวลาต้องตื่นแล้ว”
หลินเซี่ยง่วงมากจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เธอหันกลับมาและบ่นพึมพำ “ดูเหมือนฉันเพิ่งจะหลับเมื่อไม่นานนี้เอง ไม่ทันไรก็เช้าแล้วเหรอ?”
เฉินเจียเหอบอกว่า “หกโมงแล้ว คุณบอกว่าอยากตื่นแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”
“โอ้ งั้นลุกก็ได้ อีกไม่นานคงถึงเวลาที่ผู้หญิงคนนั้นตื่นนอนเหมือนกัน ถ้าวันนี้ฉันเจอหน้าหล่อน คงเป็นวันที่โชคร้ายมาก” หลินเซี่ยพูดพร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้น ใบหน้ายังคงง่วงงุนตาปิด
เธอเหยียดแขนมาออกจากผ้าห่ม “ช่วยแต่งตัวให้ฉันหน่อยสิคะ”
เฉินเจียเหอตอบกลับอย่างมีน้ำใจ “ได้ ผมจะใส่เสื้อผ้าให้”
“คืนนี้ฉันไม่ค่อยอยากนอนค้างที่นี่เลยค่ะ”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “ไม่มีปัญหา เรากลับไปอยู่ในบ้านหลังน้อยของเรากันดีกว่า”
เขาอุ้มเธอขึ้นมาจากเตียงเป็นอันดับแรก หยิบชุดชั้นในขึ้นมาพันรอบเนินเนื้ออวบขาวเย้ายวนอย่างชำนาญ จากนั้นก็ติดตะขอด้านหลังให้เธอด้วยทักษะอันช่ำชอง
จากนั้นก็คว้าเสื้อสเวตเตอร์มาสวมทับ
รูปร่างของเธอทั้งสมบูรณ์แบบและทรงเสน่ห์ ทุกสัดส่วนดูเหมือนเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ สำหรับเขาที่ถูกปลุกเร้าได้ง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้มาแต่งตัวให้เธอแบบนี้ ก็นับว่าเป็นทั้งพรและความทรมานสำหรับเขา
หลินเซี่ยอ้าปากหาวติดต่อกันหลายครั้ง ในที่สุดก็ตื่นเต็มตา หลังจากแต่งตัวเสร็จก็ไปล้างหน้า แล้วทั้งสองคนก็วางแผนว่าจะออกไปข้างนอก
ตอนนี้ยังไม่มีใครในครอบครัวตื่นนอน ดังนั้นเฉินเจียเหอจึงพูดเบา ๆ ว่า “รอผมสักเดี๋ยว ผมจะไปบอกเจียวั่งว่าก่อนเขาไปเรียนในตอนเช้า ช่วยพาหู่จือไปส่งที่โรงเรียนระหว่างทางด้วย พวกเราจะออกไปกันก่อน”
“ค่ะ”
เฉินเจียเหอเคาะประตูห้องเฉินเจียวั่ง พูดกับเขาจากหน้าประตูสองสามคำ จากนั้นก็จับมือของหลินเซี่ยแล้วออกจากบ้าน
ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะเปิดร้านตัดผม ทั้งสองจึงตรงดิ่งกลับไปอาคารพักอาศัยของโรงงานทันที
เมื่อพวกเขาไปถึงอาคารพักอาศัยก็เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว บรรยากาศในลานกว้างเริ่มเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
บางคนออกไปซื้อวัตถุดิบอาหาร บางคนก็เพิ่งกลับมาจากกะกลางคืน
ลุงหลี่กำลังจะยกเครื่องเล่นเทปออกไปข้างนอกตัวอาคาร บอกว่าวันนี้เขานึกอยากเต้นแอโรบิก
เมื่อลุงหลี่เห็นหลินเซี่ยกลับมา เขาก็ชวนเธอให้มาเต้นออกกำลังกายยามเช้าด้วยกันอย่างกระตือรือร้น
ครั้นตระหนักถึงความเจ็บปวดในร่างกายตัวเอง หลินเซี่ยจึงยิ้มอย่างเชื่องช้าและปฏิเสธ “ลุงหลี่ รอให้ร้านของฉันเข้าที่เข้าทางกว่านี้จะปลีกตัวมาเต้นเป็นเพื่อนนะคะ ช่วงนี้ฉันยังต้องจัดการงานที่ร้านเพียบเลย”
น้ำเสียงของลุงหลี่เต็มไปด้วยความเสียดาย “ไม่เป็นไร พวกเธอหนุ่มสาวต่างก็มีอาชีพการงาน งานยุ่งถือเป็นเรื่องดี ไม่เหมือนพวกเรา หลังเกษียณก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์”
ชายชราถอนหายใจ จากนั้นก็เดินไปเคาะประตูบ้านลุงหนิว
หลังจากกลับถึงบ้าน เฉินเจียเหอก็พาเธอกลับไปที่ห้องนอน “นอนต่ออีกสักพักเถอะ ผมจะเตรียมอาหารเช้าให้”
เธอโอบแขนไว้รอบคอเขาอีกครั้ง ท่าทางออดอ้อน “ฉันอยากกินโจ๊กฝีมือคุณมากกว่า”
“ได้ งั้นผมจะทำโจ๊กให้นะ” ชายหนุ่มจูบหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนโยน ตอบรับคำขอของเธอโดยไม่อิดออด
เมื่อกี้ตอนหลินเซี่ยเพิ่งลุกจากเตียง เธออยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนมาก จึงเดินโงนเงนไปมาตลอดทาง แต่ตอนนี้เธอไม่ง่วงแล้ว หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เริ่มทำความสะอาดบ้าน จากนี้ไปเธอน่าจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่
การใช้ชีวิตในบ้านหลังน้อยของพวกเขานับว่าสะดวกสบายกว่ามาก
เสิ่นเสี่ยวเหมยกำลังตั้งท้อง ตอนนี้จึงนับว่าเป็นคนที่ตระกูลเฉินควรทะนุถนอมมากที่สุด จากนิสัยเสียของผู้หญิงคนนั้น หล่อนต้องใช้การตั้งท้องของตัวเองมาเป็นเครื่องแสดงอำนาจอย่างไม่ต้องสงสัย กลัวว่าถึงเวลานั้นเธออาจทนไม่ได้จนเผลอเตะคนท้องเข้า
บอกเลยว่าหลินเซี่ยก็รู้จักเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
หลังจากที่เสิ่นเสี่ยวเหมยตื่นนอนในตอนเช้า หล่อนก็จงใจสวมกางเกงยีนส์แบบมีสายเอี๊ยมที่ตัวหลวมโพรกเป็นพิเศษ ทำให้ดูเหมือนหญิงตั้งครรภ์
แม้แต่ตอนจะเดินลงไปชั้นล่าง ยังเรียกร้องการประคองจากเฉินเจียซิ่ง
จากนั้นก็เดินไปที่ห้องอาหารด้วยท่าทางกรีดกราย
ถึงอย่างนั้น เมื่อมาถึงห้องอาหาร หล่อนเห็นแค่ผู้อาวุโสทั้งสองคนนั่งอยู่ที่นั่น นอกจากนั้นก็เป็นเฉินเจียวั่งและหู่จือที่กำลังกินข้าวมื้อเช้า
เมื่อคุณย่าเฉินเห็นพวกเขาลงมาแล้ว นางก็ส่งยิ้มให้พลางพูดว่า “เจียซิ่ง เสี่ยวเหมย ตื่นแล้วเหรอ? มานั่งกินซาลาเปาด้วยกันสิ”
“คนอื่น ๆ ไปไหนกันหมดคะ?” สีหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมยเต็มไปด้วยความผิดหวังอีกครั้งขณะถามคุณย่าเฉิน
คุณย่าเฉินตอบว่า “แม่สามีของเธอเพิ่งจะออกไปทำงานเมื่อกี้นี้เอง”
เสิ่นเสี่ยวเหมยเหลือบมองไปยังห้องนั่งเล่น เห็นว่ามันเงียบผิดปกติ ก็ทราบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านอีก
หล่อนยังคงมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เต็มใจ ใจจริงอยากเอ่ยปากถาม แต่กลัวพวกเขาจะมองออกว่าจงใจ
เฉินเจียวั่ง ‘มองเจตนาออก’ เขามองหล่อนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงมีความหมาย “พี่สะใภ้รองกำลังจะถามหาพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใช่ไหมล่ะ? น่าเสียดาย พวกเขาออกจากบ้านไปแต่เช้าแล้ว”
“หู่จือ กินข้าวเสร็จหรือยัง? ไปกันเถอะ” เฉินเจียวั่งเช็ดปากก่อนจะลุกยืนขึ้น
“เสร็จแล้วฮะ” หู่จือยัดซาลาเปาอีกครึ่งหนึ่งเข้าปากในคราวเดียว แล้วรีบเดินตามเขาออกไป
หู่จือเคยทักทายเฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างสุภาพเสมอเมื่อเห็นพวกเขา แต่ด้วยความที่เสิ่นเสี่ยวเหมยและหลินเซี่ยมีความขัดแย้งกันหลายประการ แถมเสิ่นเสี่ยวเหมยก็แสดงท่าทางก้าวร้าวทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว หู่จือจึงเลือกที่จะไม่ทักทาย
“คุณปู่ทวด ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ”
ผู้เฒ่าเฉินถาม “เจียวั่ง ตอนเช้าพอจะมีเวลาไหม? ถ้าไม่ว่าง เดี๋ยวปู่จะออกไปส่งหู่จือที่โรงเรียนเอง”
“เดี๋ยวผมไปส่งเขาเองครับปู่”
ว่าแล้วเฉินเจียวั่งก็พาหู่จือออกไป ทันใดนั้นภายในบ้านก็เหลือแค่ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลเฉินเท่านั้น
“เสี่ยวเหมย ได้ยินเจียซิ่งบอกว่าหนูกำลังท้องอยู่ใช่ไหม?”
คุณย่าเฉินลุกขึ้นยืนอย่างมีความสุข เดินไปดึงมือหล่อน “มาเร็ว นั่งลงกินข้าวก่อนเร็วเข้า คนท้องต้องเสริมสร้างโภชนาการทางอาหารให้มาก จากนี้ไปไม่ว่าอยากกินอะไรก็บอกได้เลย”
ผู้เฒ่าเฉินเห็นด้วย “ใช่ อยากกินอะไรก็บอกแม่สามีบอกย่าเขาเถอะ พวกหล่อนจะได้เข้าครัวทำให้”
“ฉันไม่กินค่ะ ต้องออกไปทำงานแล้ว”
เสิ่นเสี่ยวเหมยพลันทำหน้าบึ้งตึง รู้สึกเบื่ออาหารขึ้นมาทันที หันหลังกลับอย่างไร้มารยาทเพื่อออกไปข้างนอก
ในเมื่อหล่อนไม่ยอมกินอะไร เฉินเจียซิ่งจึงจำใจต้องตามออกไปส่งหล่อน
…………
ตอนเที่ยง เฉินเจียเหอแวะมาที่ร้านเพื่อส่งอาหารให้หลินเซี่ย แต่ก่อนจะเข้าร้านตัดผมก็ถูกเซี่ยไห่ขวางทางไว้
เซี่ยไห่จ้องมองไปที่กล่องอาหารกลางวันซึ่งถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันในมือ ดวงตาเปล่งประกาย “เฮ้ ในนั้นมีของอร่อยบ้างไหม? ฉันเริ่มหิวแล้ว”
ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือไปหยิบกล่องอาหารกลางวันด้วย
เฉินเจียเหอหลบเลี่ยง “ไม่ใช่ของนาย”
“ขี้เหนียวดีจริง ๆ นายก็รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ไม่คิดจะซื้อของอร่อย ๆ มาฝากกันบ้างเลยหรือไง?”
“มีแต่ภรรยาฉันเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษแบบนี้” เฉินเจียเหอถึงกับกอดกล่องอาหารกลางวันเอาไว้ ด้วยกลัวว่าเซี่ยไห่จะแย่งเอาไป
เซี่ยไห่ “…”
เขากลอกตาไปที่เฉินเจียเหอด้วยความรังเกียจ “ภรรยาประสาอะไรกัน? เห็น ๆ อยู่ว่านายเลี้ยงดูหล่อนเหมือนเลี้ยงลูกสาว ไม่งั้นจะถือกล่องข้าวมาส่งหล่อนทุกวันทำไม? เมื่อก่อนนายชอบพาลูกชายไปกินข้าวในโรงอาหารไม่ใช่เหรอ?”
เฉินเจียเหอไม่สนใจเขา เดินจ้ำอ้าวตรงไปที่ร้านตัดผม
“จริงจังไปกันใหญ่แล้ว ฉันกินข้าวแล้วต่างหาก เหลียงเฝิ่นฝีมือแม่ยายของนายไงล่ะ” เซี่ยไห่เอามือล้วงกระเป๋า เชิดคางขึ้น และส่งสัญญาณให้เขา “ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย เสร็จธุระแล้วก็รีบออกมาเร็วเข้า”
เฉินเจียเหอเดินเข้าไปในร้านตัดผม ส่วนเซี่ยไห่ยืนอยู่นอกประตูเพื่อรอเขา
ขณะนี้มีลูกค้าอยู่ในร้านตัดผมเนืองแน่น หลินเซี่ยยังไม่มีเวลาปลีกตัวมากินข้าวได้ในเร็ว ๆ นี้แน่ เฉินเจียเหอจึงวางกล่องอาหารกลางวันทิ้งไว้ แล้วเดินออกไปถามเขา “มีเรื่องอะไร?”
เซี่ยไห่พูดอย่างจริงจังว่า “ฉันมาขอความช่วยเหลือจากนายในเรื่องที่สำคัญมาก”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีแล้วค่ะ คนประเภทเสี่ยวเหมยหลบเลี่ยงได้ก็หลบ ไม่งั้นก็จะเจอแต่พลังงานลบ ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิต
ไหหม่า(海馬)