ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 209 แม่มีผู้ชายคนอื่นเหรอ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 209 แม่มีผู้ชายคนอื่นเหรอ?

ตอนที่ 209 แม่มีผู้ชายคนอื่นเหรอ?

เฉินเจียเหอไม่ได้แวะเข้าไปที่ร้านตัดผมเลยจนกระทั่งช่วงบ่าย

หลินเซี่ยกำลังดัดผมให้ลูกค้าผู้ชายคนหนึ่ง

หลังจากผ่านมาหลายวัน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้ชายมาใช้บริการดัดผมที่ร้าน

เฉินเจียเหออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาหลายต่อหลายครั้ง

หลินเซี่ยแนะนำ “นี่เรียกว่าการดัดผมด้วยฟอยล์ เส้นผมของน้องชายคนนี้ค่อนข้างบางและนุ่มเป็นพิเศษ ถ้าดัดแล้วจะยิ่งทำให้เส้นผมฟูและดูทันสมัยมากขึ้น อีกไม่นานเราก็จะได้เห็นผลลัพธ์กันแล้ว”

หลังจากกระบวนการอบร้อนเสร็จสิ้น เธอก็พาเขาไปสระผมล้างน้ำยา แล้วเป่าไดร์ให้แห้ง ชุนฟางถึงกับอุทาน “ว้าว ดูดีกว่าเดิมมาก ๆ เลย”

ชายหนุ่มคนนั้นมองตัวเองในกระจก ใบหน้าเปื้อนยิ้มเพราะความพึงพอใจ “ทรงผมออกมาค่อนข้างดีเลยครับ แต่ว่าทรงนี้จะอยู่กับผมไปได้อีกกี่วันเหรอ?”

“ขึ้นอยู่กับการดูแลด้วยค่ะ หลังจากสระผมเสร็จต้องรีบเป่าผมให้แห้ง แล้วปาดเจลสักหน่อย ถ้าที่บ้านคุณไม่มี จะซื้อจากร้านเรากลับไปสักขวดก็ได้นะคะ ฉันยินดีขายให้ในราคาขายส่งค่ะ”

“ได้ ขอบคุณครับ”

เขาน่าจะยังเป็นนักศึกษาอยู่ สังเกตจากสายตาที่สดชื่นแจ่มใสและมีความเป็นสุภาพชน เขาจ่ายเงินซื้อเจลแต่งผมกลับไปด้วยหนึ่งขวด แล้วออกจากร้านไปอย่างมีความสุข

หลินเซี่ยรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมากทุกครั้งที่เธอมองดูลูกค้าเดินออกจากร้านตัดผมด้วยรอยยิ้ม

เธอเดินออกไปส่งลูกค้าถึงหน้าประตูอย่างกระตือรือร้น ไม่ลืมที่จะโฆษณาว่า “สุดหล่อ ในอนาคตอย่าลืมแนะนำเพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัยให้มาทำผมที่ร้านฉันด้วยนะ”

“หยุดตะโกนได้แล้ว เขาเดินไปไกลแล้ว”

น้ำเสียงเจือความหึงหวงของเฉินเจียเหอดังขึ้นจากข้างหลัง

ชุนฟางกวาดเส้นผมไปด้านข้าง มองดูสีหน้าอิจฉาของเฉินเจียเหอแล้วกลั้นยิ้ม หลังจากกวาดเสร็จก็เดินเลี่ยงออกไปทิ้งขยะนอกร้านอย่างรวดเร็ว

หลินเซี่ยหันกลับไป เดินไปหาเขาพลางกลอกตาใส่ “อะไรกัน ดูคุณซิ ฉันแค่พูดคุยกับลูกค้าใหม่สักสองสามคำก็ไม่ได้”

เฉินเจียเหอกระแอมไอเบา ๆ ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่ได้เป็นคนขี้หึงขนาดนั้น “เปล่าเลย ผมไม่ใช่คนแบบนั้น”

เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา รายงานกำหนดการเดินสายทำธุระของวันนี้ให้หลินเซี่ยฟัง “ตอนเช้าผมแวะไปที่บ้านของเหล่าฟางมา หมอเย่มาถึงไห่เฉิงตั้งแต่ช่วงบ่าย ผมก็เลยพาเจียวั่งไปหาหมอพร้อมกับคุณปู่”

“หมอเทวดาเย่มาที่ไห่เฉิงเหรอคะ?” หลินเซี่ยถามอย่างกระตือรือร้น “แล้วเขาว่ายังไงบ้างหลังจากที่ตรวจดูอาการของเจียวั่งแล้ว พอจะใช้ศาสตร์แพทย์แผนจีนรักษาเขาได้ไหม?”

เฉินเจียเหอตอบว่า “เขาบอกว่าอาจใช้วิธีรักษาโดยการฝังเข็มได้ แต่ไม่มีการรับประกันว่าจะสามารถรักษาให้หายขาด แค่อาจช่วยบรรเทาอาการและลดความน่าจะเป็นในการกำเริบ ไม่น่าจะมีปัญหา”

หลินเซี่ยมีความสุขมากเมื่อได้ยินข่าวดี “แค่ลดการกำเริบของอาการลงได้ก็ดีมากแล้วค่ะ ตราบใดที่ไม่ถูกปัจจัยอื่นกระตุ้น และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง การกำเริบก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ แล้ว”

มีหมอเย่คอยดูแลเฉินเจียวั่งด้วยความเอาใจใส่ทั้งคน และคนในครอบครัวร่วมมือกันใส่ใจคำแนะนำของเขา ชะตากรรมของเฉินเจียวั่งในชาตินี้จะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

“จากนี้เขาจะต้องรับการฝังเข็มทุก ๆ สามวัน”

เฉินเจียเหอพูดกับหลินเซี่ยต่อไป “จริงสิ หมอเซี่ยกับแม่ของหล่อนก็ไปเยี่ยมหมอเย่ด้วยเหมือนกัน พวกหล่อนตั้งใจว่าจะเชิญหมอเย่ให้ไปที่โรงพยาบาล เพื่อวินิจฉัยและรักษาอาการของเสิ่นอวี้หลง”

“จริงเหรอคะ? คงดีไม่น้อยเลยถ้าหมอเย่สามารถช่วยรักษาเสิ้นอวี้หลงจนหายดีอีกครั้งได้”

หลินเซี่ยจำไม่ได้ว่าหมอเย่คนนี้เคยรักษาเสิ่นอวี้หลงในชาติที่แล้วหรือเปล่า

ถ้าเป็นไปตามนี้จริง ๆ ดูเหมือนว่าหลังจากเธอเกิดใหม่ หลายสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ

ถ้าหมอเทวดาเย่สามารถช่วยชุบชีวิตใหม่ให้วัยรุ่นทั้งสองคนนี้ได้จริง ๆ นั่นหมายความว่าเขาสามารถช่วยได้ถึงสองครอบครัว

วาระสุดท้ายของหมอเย่ไป๋ก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีเช่นเดียวกัน

ชาติที่แล้ว คนไข้ในความดูแลของเขาทั้งสองคนทยอยเสียชีวิตตาม ๆ กัน หมอเย่ไป๋สูญเสียความมั่นใจอย่างมาก ในที่สุดก็เลือกที่จะแขวนเสื้อกาวน์อย่างถาวร

“หมอเย่มีชื่อเสียงพอสมควร ทักษะทางการแพทย์ของเขาเป็นที่เชื่อถือได้ วันนี้ผมไปพูดคุยกับเขาที่บ้าน พอได้ยินว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กเหมือนลูกหนูที่เขาเคยรักษาในตอนนั้นถูกสลับตัวแต่เด็ก เขาก็เสียใจมาก”

หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอด้วยความประหลาดใจ “เขายังจำเสิ่นอวี้อิ๋งได้อยู่เหรอคะ?”

“จดจำได้ขึ้นใจเชียวล่ะ” เฉินเจียเหอตอบกลับ “เขาบอกว่าตัวเองและหลินต้าฝูพ่อของคุณเคยเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก หลังจากเขารักษาโรคให้เสิ่นอวี้อิ๋งได้จนหายดี พ่อตาก็มักจะไปอวยพรปีใหม่ให้เขาทุกปี ผมยังได้ยินเขาเอ่ยชื่นชมนิสัยของพ่อตาด้วย ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองค่อนข้างดี”

“ตอนที่เขาพูดแบบนั้น เซี่ยหลานอยู่ฟังด้วยหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถามเฉินเจียเหอ

เฉินเจียเหอตอบ “อยู่สิ ก็เพราะหมอเซี่ยและอาจารย์จางแม่ของหล่อนอยู่ร่วมวงสนทนาด้วยนี่แหละ ผมก็เลยจงใจพูดเรื่องพ่อตากับเสิ่นอวี้อิ๋งในวัยเด็กโดยเฉพาะ”

หลินเซี่ยเข้าใจทันทีว่าเฉินเจียเหอหมายถึงอะไร เมื่อเห็นว่าชุนฟางไม่อยู่ตรงนั้น เธอจึงโผเข้าไปจูบแก้มของเฉินเจียเหออย่างรวดเร็ว “เฉินเจียเหอ คุณดีกับฉันเหลือเกิน ขอบคุณที่ช่วยชี้แจงความจริงแทนพ่อแม่ของฉันนะคะ หมอเย่พูดขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้หมอเซี่ยกับแม่ของหล่อนคงไม่หลงเชื่อคำโกหกของเสิ่นอวี้อิ๋งอีกต่อไปว่าก่อนหน้านี้หล่อนเคยถูกพวกเขาทารุณกรรมในชนบท”

“อืม หมอเซี่ยเป็นคนมีเหตุผล วันนี้หล่อนได้ยินกับหูตัวเองแล้ว หมอเย่เล่าเรื่องของเสิ่นอวี้อิ๋งสมัยแรกเกิดว่าตอนนั้นหล่อนเกือบจะตายแล้ว พอได้ยินหล่อนก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้และขอบคุณหมอเย่ยกใหญ่”

จากนั้นหมอเย่ก็ตอบว่าคนที่หล่อนควรไปขอบคุณมากที่สุด ก็คือหลินต้าฝูและหลิวกุ้ยอิงต่างหาก

เฉินเจียเหอพูดต่อ “จริงสิ หมอเย่ยังถามถึงคุณด้วยนะ”

“ฉันเหรอ?” หลินเซี่ยชี้ไปที่ตัวเองด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ หลังจากที่เขารู้ว่าเสิ่นอวี้อิ๋งไม่ใช่ลูกสาวของหลินต้าฝู เขาก็รีบถามถึงคุณทันที พอเขาได้ยินว่าเซี่ยหลานเลี้ยงดูคุณมาตั้งแต่เกิด และตอนนี้คุณก็แต่งงานเป็นภรรยาของผมแล้ว เขาก็ตกใจมาก พร้อมกันนั้นก็โล่งใจมากอย่างเห็นได้ชัด”

เมื่อเฉินเจียเหอพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเหมือนผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ราวกับเขารู้จักคุณยังไงอย่างนั้น”

หลินเซี่ยยิ้มพลางพูดว่า “ฉันไม่เคยรู้จักเขาแน่ ๆ ค่ะ”

เธอคิดว่าเหตุผลที่หมอเย่ถามถึงเธอ อาจเพราะประสบการณ์ชีวิตในอดีตของเธอก็เป็นได้

เขาอาจจะรู้ว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนอื่น แล้วเขาก็เป็นวีรบุรุษสงครามด้วย ดังนั้น เขาจึงมีความเอาใจใส่และสอบถามเกี่ยวกับเธอเป็นพิเศษ

ขณะนี้ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเพิ่ม หลินเซี่ยจึงตั้งใจว่าจะปิดร้านเลิกงาน

ชุนฟางใช้เวลาเรียนทำผมในร้านนานขึ้นกว่าเดิมในแต่ละวัน

“ไปเถอะค่ะ ไปกินข้าวมื้อเย็นที่บ้านแม่ฉันกัน ฉันบอกท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว ท่านจะได้มีเวลาเตรียมอาหารไว้ให้เราสองคน”

“ได้”

พวกเขาทั้งสองเดินไปจนถึงตรอกถนนโฮ่วช่าง

ทันทีที่พวกเขาเดินผ่านเข้าประตูไป หลินจินซานก็เล่าให้พวกเขาฟังถึงการเผชิญหน้ากับเสิ่นอวี้อิ๋งในวันนี้

หลินเซี่ยรู้สึกประหลาดใจและโกรธในเวลาเดียวกัน “อะไรนะ? เสิ่นอวี้อิ๋งมาที่แผงขายอาหารเหรอ?”

หลินเยี่ยนยังตอบด้วยอารมณ์โกรธ “ใช่ หล่อนบอกเราว่าเจิ้งต้าหมิงมาที่ไห่เฉิงและตามคุกคามหล่อน และยังยุยงต่อหน้าแม่ด้วยว่าพี่เป็นคนสร้างปัญหาทั้งหมด”

“ฉันทำอะไรผิด? ฉันไปยุยงผู้ชายคนนั้นให้วิ่งแจ้นไปหาหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่?” ใบหน้าของหลินเซี่ยเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีเมื่อพูดถึงผู้หญิงเจ้าเล่ห์ไร้ยางอายคนนั้น

หล่อนไม่ต่างอะไรจากแมลงวัน ตามหาพวกเขาจนเจออย่างรวดเร็วเหมือนแมลงวันตามกลิ่นสิ่งปฏิกูล

ทันทีที่เจอหน้า หล่อนก็เริ่มหว่านความไม่ลงรอยกันภายในครอบครัวต่อหน้าหลิวกุ้ยอิง ทั้งยังใส่ร้ายป้ายสีเธอเพื่อเอาชนะใจอีกฝ่าย

หลินจินซานกัดฟันพูด “เธอรู้ไหมว่าอะไรน่าขยะแขยงที่สุด หลังจากที่หล่อนเจอหน้าฉัน หล่อนก็พยายามแก้ตัวว่าตอนนั้นตัวเองเข้าใจผิดไป คิดว่าฉันแอบถ้ำมองตอนหล่อนหลับ เพราะคิดว่าหล่อนกับฉันไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน เลยไม่ใช่พี่ชายและน้องสาวแท้ ๆ เธอคิดว่านังแพศยานั่นกำลังดูถูกแม่เราอยู่หรือเปล่า?”

“ไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน นั่นถือเป็นการกล่าวหาว่าแม่มีผู้ชายคนอื่นไม่ใช่เหรอ?”

หลินเยี่ยนจ้องมองไปที่หลินจินชาน “พี่ชาย ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”

“เสี่ยวเยี่ยน แม้ว่าคำพูดจะดูน่าเกลียดไปหน่อย แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เสิ่นอวี้อิ๋งหมายถึง เธอไม่ได้ยินเหรอ? ฉันอยากจะตบหน้าหล่อนสักครั้งสองครั้งจริง ๆ”

หลินเซี่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปที่หลินจินซานและหลินเยี่ยน “เธอพูดแบบนั้นจริงเหรอ?”

หลินจินซานโกรธมากจนหน้าแดงก่ำลามไปถึงลำคอเป็นปื้น จากนั้นก็พยักหน้า “ใช่ ทั้งแม่กับเสี่ยวเยี่ยนได้ยินชัดเจน แต่แม่ไม่ได้ตอบโต้อะไรหล่อน ฉันว่าแม่เราอ่อนต่อโลกเกินไป ท่านไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกผู้หญิงคนนั้นดูหมิ่นเกียรติทางอ้อม แถมยังไม่ยอมให้ฉันสอนบทเรียนให้นังเด็กเวรนั่นอีก”

หลินจินซานบ่นเสียงดังถึงหลิวกุ้ยอิงอยู่กลางลาน หลิวกุ้ยอิงที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวเดินออกมาโดยที่ยังสวมผ้ากันเปื้อน อธิบายว่า “หล่อนแค่พยายามจะขอโทษลูกก็เท่านั้น แต่กลับหยิบยกเรื่องไร้สาระมาคุยเพื่อหาข้อแก้ตัว ปล่อยหล่อนไปเถอะ จากนี้พวกเราก็อยู่ให้ห่างจากหล่อนแล้วกัน”

หลังจากหลิวกุ้ยอิงพูดจบ เธอก็มองไปที่เฉินเจียเหอและหลินเซี่ย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เจียเหอ เซี่ยเซี่ย ทำไมหู่จือถึงไม่มาด้วยล่ะ?”

เฉินเจียเหอตอบ “คุณแม่ หู่จือไปใช้เวลาวันหยุดที่บ้านของปู่ทวดกับย่าทวดของเขาครับ”

“อ้อ เข้ามานั่งก่อนเร็วเข้า”

“กับข้าวจวนจะเสร็จแล้ว เสี่ยวเยี่ยน ไปยกออกมาได้เลย” หลิวกุ้ยอิงวิ่งกลับเข้าไปในครัวหลังจากพูดจบ

หลินจินซานและหลินเยี่ยนตามหล่อนเข้าไปที่ห้องครัว ในขณะที่หลินเซี่ยรู้สึกซับซ้อนมากหลังได้ยินคำพูดของหลินจินซาน

ชาติก่อน เธอเป็นคนไร้เดียงสาและโง่เขลาที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ในเวลาเดียวกันเสิ่นอวี้อิ๋งได้ตรวจสอบตัวตนของพ่อผู้ให้กำเนิดของเธออยู่ลับ ๆ

วันนี้เสิ่นอวี้อิ๋งจงใจทดสอบปฏิกิริยาของหลิวกุ้ยอิง เพราะอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเธอ

สันนิษฐานว่า เนื่องจากหล่อนกลับมาในเมืองนานแล้ว หล่อนคงเคยได้ยินคำบอกเล่าจากตระกูลเสิ่นมาบ้างว่าเธอหน้าตาเหมือนเซี่ยอวี่

ก่อนจะเริ่มค้นหาภูมิหลังที่แท้จริงของเธอตั้งแต่นั้น

ผู้หญิงคนนั้นเจ้าเล่ห์มากจริง ๆ

เพิ่งจะอายุยี่สิบก็มีความคิดอ่านแยบยลขนาดนี้แล้ว ถ้าเธอไม่ได้รับโอกาสให้เกิดใหม่ เห็นทีคงตามกลอุบายของหล่อนไม่ทันแน่

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

หมอเย่เท่านั้นที่จะเป็นความหวังของเรื่องอันซับซ้อนนี้

ยัยอวี้อิ๋งมันร้ายมาก แต่ชาตินี้หล่อนไม่ได้เกิดหรอกจ้ะเพราะเซี่ยเซี่ยรู้ทันหล่อนแล้ว

ไหหม่า(海馬)

—————————————–

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท