ตอนที่ 213 ใช่ ลูกไม่ใช่ลูกสาวของหลินต้าฝู
ตอนที่ 213 ใช่ ลูกไม่ใช่ลูกสาวของหลินต้าฝู
พอพูดชื่ออิงจื่อขึ้นมา หลิวกุ้ยอิงก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ มองไปที่เฉินเจียเหอและหลินเซี่ย
เฉินเจียเหอพูดต่อว่า “พี่ใหญ่ของเซี่ยไห่เคยอยู่ในกองกำลังเขตเทศมณฑลซีเหอ ต่อมาก็ร่วมรบในสงคราม ท้ายที่สุดเขาต้องสูญเสียอวัยวะและสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป ตอนนี้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่ฮ่องกงเพื่อพักฟื้น ยี่สิบปีต่อมา เซี่ยไห่เลยไปตามหาคนที่ชื่ออิงจื่อในเทศมณฑลซีเหอ คาดว่าหล่อนน่าจะเป็นสหายเก่าของพี่ชายเขา”
เฉินเจียเหอผู้คุยกับคนอื่นไม่เก่ง ตอนนี้กลับสามารถเล่าเรื่องโดยลำดับเหตุการณ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
หลิวกุ้ยอิงได้ยินเฉินเจียเหอบอกว่าพี่ชายคนโตของเซี่ยไห่เคยรับราชการในเทศมณฑลซีเหอ และต่อมาก็ไปร่วมรบในสงคราม จึงโพล่งถามโดยไม่รู้ตัว “พี่ใหญ่ของเขาชื่ออะไรล่ะ?”
“เซี่ยเหลย”
ทันทีที่เฉินเจียเหอพูดจบ ไม้คลึงแป้งในมือหลิวกุ้ยอิงก็ร่วงหลุดมือและกลิ้งไปกับพื้น
หลินเยี่ยนที่กำลังทำเกี๊ยวก้มลงไปหยิบไม้คลึงแป้งขึ้นมา แล้วพูดอย่างสงสัย
“แม่ เป็นอะไรไป? ไม้คลึงแป้งอันเดียวยังทำหลุดมือซะได้”
หลินเซี่ยชะลอการเคลื่อนไหวในการทำเกี๊ยวของตัวเอง จินตนาการถึงความคิดของหลิวกุ้ยอิงในตอนนี้ โดยสังเกตสีหน้าของหล่อนอย่างใจเย็น
หลิวกุ้ยอิงดูตกตะลึงและตื่นตระหนก มองไปที่เฉินเจียเหอด้วยความไม่เชื่อ “เซี่ยเหลย? เธอบอกว่าพี่ใหญ่ของเซี่ยไห่ชื่อเซี่ยเหลยงั้นเหรอ?”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “ใช่ครับ เขาชื่อเซี่ยเหลย”
“เขาเคยอยู่ในกองกำลังเขตเทศมณฑลซีเหอใช่ไหม?” หลิวกุ้ยอิงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมอารมณ์ตัวเอง แสร้งทำเป็นสงบและมองไปที่เฉินเจียเหอเพื่อขอคำยืนยันอีกครั้ง
“ครับ ได้ยินมาว่าฉันอยู่ที่นั่นนานกว่าครึ่งปี จากนั้นเข้าร่วมทำสงครามในแนวหน้า เขารอดมาได้แต่ก็เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้พักฟื้นอยู่ในฮ่องกง อยู่ในสภาพกึ่งความจำเสื่อมครับ”
“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?” หัวใจของหลิวกุ้ยอิงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย พูดพึมพำคำเดิมด้วยความไม่เชื่อ “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
“แม่ เป็นอะไรไป?” หลินจินซานที่กำลังแทะเมล็ดแตงโมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของหลิวกุ้ยอิง จึงถามอย่างสงสัย “แม่รู้จักคนที่น้องเขยของผมพูดถึงด้วยเหรอ?”
“แม่จะเข้าไปต้มน้ำทำเกี๊ยว”
หลิวกุ้ยอิงไม่ยอมตอบคำถามของหลินจินซาน วิ่งไปที่ห้องครัวด้วยความตื่นตระหนก เดินอย่างเร่งรีบทำให้ย่างก้าวไม่มั่นคง เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูไปแล้วก็แทบจะล้มคะมำลงไป
“จู่ ๆ แม่เราก็เป็นอะไรไปน่ะ?”
“ไม่เป็นไรหรอก เธออาจได้ยินว่ามีคนได้รับบาดเจ็บจากสงคราม เลยรู้สึกสะเทือนใจเพราะเห็นใจเขา”
“เสี่ยวเยี่ยน ห่อเกี๊ยวคนเดียวไปก่อนนะ ฉันจะยกชุดแรกเข้าไปก่อน” หลินเซี่ยยกถาดใส่เกี๊ยวไปที่ห้องครัว
เมื่อเธอไปถึงห้องครัว ก็เห็นหลิวกุ้ยอิงนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นและร้องไห้สะอึกสะอื้นเพียงลำพัง
หลินเซี่ยรีบวางถาดเกี๊ยวลงแล้วไปช่วยประคองหล่อนขึ้นมา “แม่ ร้องไห้ทำไมคะ?”
หลิวกุ้ยอิงรีบเช็ดน้ำตาและฝืนยิ้ม “เปล่า เมื่อกี้ฝุ่นน่าจะปลิวเข้าตา”
หล่อนลุกขึ้น หันกลับไปหาหลินเซี่ยและทำงาน “เดี๋ยวแม่ต้มน้ำเอง รีบไปจัดการของที่เหลือเร็วเข้า จวนจะเย็นแล้ว”
เมื่อเห็นว่าแม่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเธอ หลินเซี่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกจากครัว
ระหว่างมื้ออาหาร หลิวกุ้ยอิงยังคงคิดฟุ้งซ่านไม่รู้จบ ถึงอย่างนั้นหลินเซี่ยก็ไม่ได้ถามอะไรอีก กินเกี๊ยวอย่างมีความสุขพลางพูดคุยกับทุกคน
เธอคิดว่าควรรอให้แม่เป็นฝ่ายพูดเองน่าจะดีที่สุด
เห็นได้ชัดว่าแม่ของเธอกำลังต่อสู้ดิ้นรนกับศีลธรรมภายในใจอย่างหนัก
ไม่นานหล่อนคงเต็มใจที่จะสารภาพ
หลังจากกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ เมื่อหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ กำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน หลิวกุ้ยอิงก็หยุดหลินเซี่ยไว้ ทันที
“เซี่ยเซี่ย คืนนี้… มานอนค้างกับแม่สักคืนสิ”
“ค้างที่นี่เหรอคะ?” ดวงตาของหลินเซี่ยสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นหันมองไปที่เฉินเจียเหอ
หลิวกุ้ยอิงคิดว่าหลินเซี่ยกำลังขอความเห็นจากเฉินเจียเหอ ดังนั้นหล่อนจึงพูดกับเฉินเจียเหอว่า
“เจียเหอ ให้เซี่ยเซี่ยอยู่กับแม่สักคืนเถอะนะ เธอพาหู่จือกลับบ้านก่อนเถอะ”
เฉินเจียเหอตอบกลับอย่างให้ความร่วมมือ “ได้ครับ”
แต่หู่จือยังอยากจะอยู่ต่อ “คุณยาย ผมขอนอนค้างที่นี่ด้วยได้ไหมฮะ?”
หลิวกุ้ยอิงผู้รักและเอ็นดูหู่จือมากที่สุด ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อนุญาต “หู่จือ ไว้ครั้งต่อไปค่อยมานอนกับยายแล้วกันนะ พรุ่งนี้หนูยังต้องไปโรงเรียนอีกไม่ใช่เหรอ”
“โอ้ ก็ได้ครับ”
เฉินเจียเหอพาหู่จือออกไป “งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ”
หลินเยี่ยนมีความสุขมากเมื่อรู้ว่าหลินเซี่ยจะอยู่ต่อ “พี่สาว ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พี่มานอนกับฉันเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปจัดเตียงให้”
หลิวกุ้ยอิงพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเยี่ยน วันนี้ปล่อยให้พี่สาวนอนกับแม่สองคนเถอะ”
“หืม? ทำไมให้พี่นอนกับฉันไม่ได้ล่ะ?” หลินเยี่ยนกอดแขนหลิวกุ้ยอิงอย่างออดอ้อน “งั้นเราสามคนแม่ลูกนอนด้วยกันก็ได้”
“ห้องนอนแม่แออัดเกินไปสำหรับสามคน ลูกไปนอนคนเดียวก่อนเถอะ แม่ขอนอนกับพี่สาวลูกแค่คืนเดียวเท่านั้น”
ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก หลินจินซานยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องหลักต่อไป บอกว่าเขาอยากใช้เวลาพุดคุยกันในครอบครัวให้นานขึ้นอีกหน่อย
แต่หลิวกุ้ยอิงแทบอดทนรอไม่ไหว เริ่มไล่เขาออกไป “จินซาน ไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้”
หลินจินซานเอาแต่นั่งนิ่ง “แม่ นี่เพิ่งจะสองทุ่มเอง ผมจะนอนหลับได้ยังไง? ไม่ง่ายเลยนะกว่าเซี่ยเซี่ยจะได้มานอนค้างที่บ้านเราอย่างพร้อมหน้า ในฐานะครอบครัวเดียวกัน เราควรคุยกันให้มากกว่านี้สิ”
หลิวกุ้ยอิงกระสับกระส่ายทันที ถ้าลูกชายเธอไม่ยอมจากไปซะอย่าง หล่อนก็ไม่สามารถขับไล่เขาออกไปได้
หลินเซี่ยแกล้งหาวแล้วพูดว่า “พี่ชาย วันนี้เราเหนื่อยกันมามากแล้ว ฉันอยากเข้านอนเร็วหน่อย ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะ วันคืนยาวนาน และยังมีเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับครอบครัวเราที่จะได้อยู่ด้วยกัน”
หลินจินซานมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ย “ทำไมฉันรู้สึกว่าพวกคุณสองคนทำตัวลึกลับยังไงชอบกล? กำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากพวกเราหรือเปล่า?”
“ไม่ซะหน่อย รีบไปนอนเร็วเข้า”
หลินเซี่ยผลักหลินจินซานที่ยังโวยวายเสียงดังออกไป จากนั้นก็ปิดประตู
เธอถอดเสื้อคลุมออก แล้วนั่งลงที่ขอบเตียง
หลิวกุ้ยอิงนั่งบนเก้าอี้ด้วยอาการเหม่อลอย ไม่แม้แต่จะมองหน้าหลินเซี่ย ทันใดนั้นทั้งห้องก็เงียบลง
“แม่ ตอนนี้เหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว ถ้าแม่อยากพูดอะไรกับฉันก็บอกมาตามตรงเถอะค่ะ”
หลิวกุ้ยอิงยังคงก้มหน้าลงไม่ยอมปริปาก
หลินเซี่ยมองไปที่หลิวกุ้ยอิงซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม ถามเบา ๆ “ฉันรู้ว่าแม่กำลังซ่อนความลับบางอย่างจากฉัน และตอนนี้ก็กำลังดิ้นรนชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ แม่อยากจะบอกความจริงกับฉันไหม?”
หลิวกุ้ยอิงหลีกเลี่ยงการจ้องมองของหลินเซี่ย ยังคงไม่กล้ามองหน้าเธอตรง ๆ
หลินเซี่ยไม่ให้โอกาสหล่อนหลบหนี ยื่นมือออกไปเพื่อยึดใบหน้าให้หล่อนมองตรงมาที่ตัวเอง จากนั้นพูดอย่างจริงจังว่า
“แม่ ตลอดเวลาที่แม่คลุกคลีอยู่ร่วมกับฉันมา แม่คงรู้แล้วว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบสูง ไม่ว่าแม่จะมีความลับอะไรแอบแฝงเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต ฉันรับปากว่าจะทำความเข้าใจ และจะไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ในเชิงตำหนิเพียงเพราะพ่อแท้ ๆ ของฉันเป็นคนอื่น ฉันเคารพอดีตของแม่ แล้วหวังว่าแม่จะเคารพฉันด้วย ไม่ว่ายังไงฉันก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริงทั้งหมด”
พูดถึงเรื่องประสบการณ์ชีวิตของเธอ หลินเซี่ยได้เคยลองหยั่งเชิงถามหล่อนสองสามครั้ง ก่อนหน้านี้หลิวกุ้ยอิงตอบอย่างประหม่ามาโดยตลอด แต่เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยคาดคั้น หลิวกุ้ยอิงก็ตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยิ่งเมื่อได้ยินคำถามของหลินเซี่ยในวันนี้ ดูเหมือนจะไม่มีทางหลีกหนีความจริงได้แล้ว
หล่อนเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง มองที่หลินเซี่ย ถามว่า “เซี่ยเซี่ย ทำไมลูกถึงสงสัยว่าตัวเองไม่ใช่ลูกสาวของหลินต้าฝู?”
หลินเซี่ยตอบอย่างครุ่นคิด “อืม… คงเป็นตอนที่ฉันเห็นไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋งมั้งคะ”
เธอไม่สามารถบอกหลิวกุ้ยอิงได้ว่าตนเคยใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มาสองชาติแล้ว ชาติก่อนเธอใช้ชีวิตอย่างประมาทเพราะโง่เขลา จนกระทั่งเธอตายถึงรู้ว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนอื่น นี่คือเหตุผลที่เธอตายด้วยน้ำมือของเสิ่นอวี้อิ๋ง
“ในไดอารี่เล่มนั้นเขียนไว้ว่ายังไงบ้าง?”
หลินเซี่ยตอบ “หล่อนบันทึกบางอย่างที่ชวนขบคิดไว้ในสมุดบันทึกเล่มนั้น บอกว่าหล่อนบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างพ่อกับหมอเย่ในระหว่างรับการรักษา พวกเขาคุยกันว่าพ่อแท้ ๆ ของฉันคือวีรบุรุษที่เสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ”
หลังจากที่หลินเซี่ยพูดจบ เธอก็มองไปที่หลิวกุ้ยอิงแล้วถามว่า “แม่ มันเป็นเรื่องจริงไหมคะ?”
การจ้องมองของหลินเซี่ยทั้งเฉียบคมและแฝงความกดดันมากเกินไป ทำให้หลิวกุ้ยอิงไม่มีโอกาสหาทางบ่ายเบี่ยง หลิวกุ้ยอิงเงียบไปสองสามวินาที ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าแล้วพยักหน้า “ใช่ ลูกไม่ใช่ลูกสาวของหลินต้าฝู”
หลังจากพูดอย่างนั้น หล่อนก็ถอนหายใจยาว ราวกับความแข็งแกร่งทั้งมวลภายในร่างกายหมดไปกับประโยคเดียว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
การเผชิญความจริงมันอาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าผ่านไปได้มันก็จะโล่งนะคะ
ไหหม่า(海馬)