เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 13 แสงที่ชี้นำไปข้างหน้า (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 13 แสงที่ชี้นำไปข้างหน้า (rewrite)

ฟ้าดินสั่นสะเทือน

เผยฝานที่กำลังตระหนักผนังหิน ตกอยู่ในท่วงทำนองของ ‘กระบี่ฟาด’ เหมือนได้ยินเสียงดังสนั่นข้างหูลับๆ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนฟ้าร้อง

เด็กสาวที่หลับตาลง ในความคิดมีกระบี่ฟาดกลับไปกลับมา รู้สึกฟ้าดินมืดครึ้ม กระบี่นั้นฟาดลงมา…ทั้งโลกสว่างขึ้น

นางลืมตาขึ้น

ปรากฏว่าทั้งโลกสว่างขึ้น

หลังเส้นขอบฟ้า แสงสว่างสายหนึ่ง

ผนังหินเปิดออกช้าๆ ขณะที่หนิงอี้กับเผยฝานมองหน้ากันด้วยความตกใจ แดนสิ้นหวังแห่งนี้ก็เกิดแสงสว่างขึ้นสายหนึ่ง

หนิงอี้ก้มหน้าลงมองหญ้าแห้งในมือตน พูดงึมงำ “ข้า…ยอมแล้ว”

เผยฝานหน้าแดงเรื่อ นางลูบ ‘กระบี่ซ่อน’ ตรงระหว่างคิ้วตน ในการตระหนักรู้เมื่อครู่ พุทราแดงนั้นเหมือนได้บางสิ่งที่มหัศจรรย์ ตอนนี้สดใสอิ่มเอิบ เด็กสาวยกมือขึ้นชี้ไปกลางแสงสว่างตรงผนังหินที่เปิดออกนั้น พูดด้วยน้ำเสียงตกใจ “เป็นยันต์นั่น”

หนิงอี้เห็นยันต์ที่ลอยอยู่กลางแสงสว่างข้างหลังผนังหิน มันเหมือนกับที่ลอยอยู่หลังภูเขาทุกประการ

“เวินเทาเคยบอกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายมีระดับต่างกัน มีหลายชนิด ที่ซับซ้อนที่สุดในนั้นเรียกว่า ‘ค่ายกลมารดาบุตร’” เด็กสาวพูดพึมพำ “หยินหยางสองขั้ว ไปกลับ ค่ายกลชนิดนี้ต้องมีพรสวรรค์มิติสูงยิ่ง มักจะวางซับซ้อนและยุ่งยาก นอกจากเมืองขนาดใหญ่อย่างเมืองหลวงที่จะใช้วิธีการวางเช่นนี้แล้ว ค่ายกลมารดาบุตรต้องสั่งสมแสงดาราและปราณหยางจำนวนมาก ใช้พลังไข่มุกตะวันคร้านเติมตาค่ายกลสูงมาก”

หนิงอี้มีสีหน้าตื่นตกใจ “นี่คือค่ายกลมารดาบุตรรึ”

เผยฝานยื่นมือมาข้างหนึ่ง สัมผัสยันต์ที่ลอยอยู่นั้นก่อนจะส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่แค่ค่ายกลมารดาบุตร…”

“ยันต์นั้นที่ลอยอยู่เส้นขอบฟ้าหลังภูเขามีกลิ่นอายสังหารแรงมาก และยังซ่อนกลอุบายต้องห้ามไว้มากมาย กันคนนอกเข้าไป เกรงว่าต่อให้มีพลังบำเพ็ญสูงอย่างท่านพันกรก็ไม่อาจข้ามผ่านยันต์นั้นได้ การจะปลุกค่ายกล…มีเงื่อนไขที่ไม่มีใครรู้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ต้องปลุกอะไร”

เด็กสาวชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ยันต์ที่นี่ เป็นตาค่ายกลชี้นำที่บรรพจารย์ลู่เซิ่งวางไว้แน่นอน อบอุ่นยิ่ง ขอแค่เข้าไปในนั้น ก็จะปลุกค่ายกลทำงาน กลับไปด้านนอกหลังภูเขาได้”

นางเลิกคิ้วขึ้น มองไปรอบๆ ผนังหินเกลี้ยงเกลาไม่มีอุปกรณ์วางค่ายกลใดๆ เลย ใบธงปลุกเร้าไอวิญญาณ กระดิ่งสวรรค์ที่ห้อยอยู่ด้านบน…ไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย หลังผนังหินเปิดออก ตนเหมือนยืนอยู่หลังเส้นขอบฟ้านั้นที่มองเห็นหลังภูเขา พายุพัดมา แสงส่องสว่างไปรอบๆ

“เล่าลือว่าท่านลู่เซิ่งอยู่เหนือผู้บำเพ็ญทั้งยุคสมัยในห้าร้อยปีนี้ อยากจะประชันกับไท่จง” หนิงอี้ย่อตัวลง ใช้นิ้วบี้ดินเลนเปียกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงเบา “ผู้บำเพ็ญรุ่นนั้น อัจฉริยะที่สุดแห่งยุคของเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ล้วนเทียบกับบรรพจารย์ลู่เซิ่งไม่ได้ เจ้าเขาสู่ซานได้รับขนานนามว่ามีคุณสมบัติผู้เป็นอมตะที่หาได้ยากในพันปี”

เผยฝานกดความตกตะลึงในใจ มองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจังทีละคำ “ท่านลู่เซิ่ง เกรงว่าคงเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่มีพรสวรรค์สุดยอดคนหนึ่งเลย”

คนที่วางค่ายกลมารดาบุตรได้ ล้วนเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่มีคุณสมบัติเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเมืองหลวง ค่ายกลของเมืองหลวงมีมากมาย ห้าร้อยปีมานี้ มีแต่ปรมาจารย์จากเขาอนันต์เล็กที่วางค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลมารดาบุตรต้องการวัสดุที่ซับซ้อน ราคาต้องจ่ายสูงลิ่ว ปกติจะเลือกวางค่ายกลทางเดียวจากทั้งสองด้าน

ต่อให้เป็นตอนนี้ ผ่านการปรับให้ดีขึ้นในทุกยุคจากเขาอนันต์เล็ก ก็เพียงแค่ลดการใช้พลังของค่ายกลลง ขั้นตอนก็ยังซับซ้อน เงื่อนไขก็ยังยากยิ่ง

“ข้อได้เปรียบของค่ายกลมารดาบุตรคือความแม่นยำ แม่นยำมาก จะไม่เกิดคลื่นมิติรวมถึงความคาดเคลื่อนในการเคลื่อนย้ายแม้แต่น้อย”

ค่ายกลมารดาบุตรของบรรพจารย์ลู่เซิ่ง เรียบง่ายมากแค่ใช้ยันต์แผ่นเดียว นี่หมายความว่าอย่างไร

ความชำนาญในด้านค่ายกลของลู่เซิ่ง เมื่อห้าร้อยปีก่อนก็แซงหน้าปรมาจารย์ค่ายกลที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้ไปแล้ว

หนิงอี้ไม่ได้รีบร้อนจากไป เขาพลันใจสั่นไหว เอ่ยถาม “นี่…ยันต์นี่ทำซ้ำได้หรือไม่”

เผยฝานขมวดคิ้ว จ้องไปที่ยันต์ ในยันต์นี้แฝงพลังที่อบอุ่นยิ่ง ต่อให้ยื่นมือไปสัมผัส ดูเนื้อหาในยันต์ ก็ไม่ถูกเจตนารมณ์ของลู่เซิ่งจู่โจม

เด็กสาวพูดอย่างจริงจัง “ข้าต้องการเวลาสักหน่อย เพื่อจำลายเส้นของยันต์” 艾琳小說

หนิงอี้นั่งลงเงียบๆ เขาไม่เป็นห่วงเผยฝาน กายและจิตเข้าสู่สมาธิ เพ่งสายตาไปบนหญ้าแห้งที่ตนดึงออกมา

เด็กสาวยืนอยู่หน้ายันต์ พิจารณาลวดลายคดเคี้ยวไปมาไม่หยุดในยันต์ ‘กระบี่ซ่อน’ ของพุทราแดงใหญ่นั้นกลืนกินแสงสว่างในเส้นขอบฟ้าเหมือนวาฬกินน้ำทะเล เอกลักษณ์ทั้งตัวนางถูกกัดเซาะและผลัดเปลี่ยนไปช้าๆ แสงดาราสั่งสมเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว

หนิงอี้ไม่รู้ว่าหลังจากเผยฝานสืบทอดกระบี่ซ่อน เอกลักษณ์ของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าดิน ตอนนั้นในเทือกเขาประจิม โจวโหยวไม่คิดว่าเผยฝานโดดเด่นเท่าไร เพียงแค่ระดับกลางเท่านั้น

กระบี่ซ่อนนี้คือพลังแห่งสายเลือดที่เผยหมินฝากไว้ หลังปลุกตื่นขึ้น ตอนนั้นเผยหมินถึงขั้นทำให้ไท่จงมองเขาเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด ห่างจากก้าวนั้นอีกเล็กน้อย พลังแห่งสายเลือดจะต้องอยู่ในระดับขั้นที่แกร่งที่สุดในโลกหล้าแน่นอน

เผยหมินบ่มเพาะสายเลือดขึ้น ฝากให้สวีจั้ง นี่คือกระบี่ซ่อนที่ว่า

เด็กสาวเผยฝานที่พลังสายเลือดลดหลั่นตามมา ก็ยังมีคุณสมบัติแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่ ตอนนี้ได้รับกระบี่ซ่อนอีก จึงเหมือนเสือติดปีก

กระบี่ซ่อนกำลังฟื้นฟูช้าๆ เมื่อนางฝึกบำเพ็ญจะทลายคอขวดไปทีละก้าว จนกระทั่งถึงระดับความสูงของปราชญ์กระบี่เผยหมินในตอนนั้น สายเลือดทั้งหมดจะปลุกตื่นอย่างสมบูรณ์…นี่คือมรดกที่แข็งแกร่งมาก แม้เผยหมินจะตายแต่เขาได้ฝากเชื้อไฟไว้ให้บุตรสาวแท้ๆ ของตน

สวีจั้งบอกว่าเผยหมินหวังให้บุตรสาวของตนเป็นคนธรรมดา

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มอบกระบี่ซ่อนให้เด็กสาวมาตลอด ไม่ได้สอนเด็กสาวเรียนวิชากระบี่

จนกระทั่งตอนนั้นก่อนตาย

หากชีวิตนี้ของเผยฝานไม่ลองฝึกบำเพ็ญ เช่นนั้นกระบี่ซ่อนก็จะไม่ตื่นขึ้น พลังมหาศาลที่ซ่อนในตัวเผยฝานจะปกป้องนางไปตลอดชีวิต ไม่ต้องกังวลไปร้อยยุค

ต่อให้อยู่หลังภูเขา ‘ฟ้าดินแห้งเหือด’ ที่ลู่เซิ่งวางไว้ แสงดาราใช้ไม่ได้ กระบี่ซ่อนก็ยังมีประโยชน์

ไม่ว่าเจอสถานการณ์อับจนเพียงใด ก็จะมีแสงสว่างของกระบี่ซ่อนตลอดกาล

นี่คือเจตนารมณ์ที่ท่านเผยหมินฝากเอาไว้

……

หนิงอี้เพ่งมองหญ้าแห้ง

เขาหยิบหญ้าขึ้นมา สะบัดหัวและท้ายสองด้านแล้วมีกลิ่นอายเหี่ยวเฉาเสี้ยวหนึ่ง…ดูไม่มีไอวิญญาณใดๆ เลย และไม่มีอะไรที่คล้ายกับแสงดาราหรือความเป็นเทพ หากพิจารณาอย่างละเอียดจะรู้สึกถึงกลิ่นอายดับสูญที่ไม่รุนแรง

ก่อนที่ผนังหินหลังภูเขาจะเปิด ทั้งถ้ำภูเขาไม่มีไอวิญญาณและแสงดาราเลย ต่อให้อยู่ข้างภูเขาข้างแม่น้ำก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือพืชเลย หนิงอี้สังเกตเห็นจุดนี้มานานแล้ว…เช่นนั้นเกิดปัญหาแล้ว หญ้าต้นนี้มาจากที่ใดกัน

ตอนที่ดึงหญ้าต้นนี้ หนิงอี้เหมือนรู้สึกถึงการสั่นไหวเบาๆ

การสั่นไหวนั้น…มาจากพินิจเหมันต์ พูดให้ถูกคือ ‘ที่ราบกระดูก’ ที่มุดเข้าไปในแกนพินิจเหมันต์ ระหว่างทางมานี้ หนิงอี้รู้ดีถึงความเฉียบแหลมของที่ราบกระดูก ตอนปล้นขององค์ชายสาม มันพบไข่มุกตะวันคร้านกับไข่มุกจันทราคร้านพันปีสองเม็ดนั้นที่ซ่อนใต้ตู้รถม้า ก่อนจะปลุกตื่น ที่ราบกระดูกขาวในสภาพขลุ่ยกระดูกยังมีสัมผัสต่อแสงดาราและความเป็นเทพเฉียบคมมาก

หนิงอี้ไม่รู้สึกถึงความแปลกของหญ้าแห้ง เขาไม่ได้โยนหญ้าทิ้งไป แต่พับไว้อย่างระมัดระวัง ใส่ไว้ในกระเป๋าเอวของตน ภายภาคหน้าอาจจะได้ออกโรง

เขายืนขึ้น ตบๆ ดินตามตัว เด็กสาวเผยฝานยังเพ่งสมาธิจ้องยันต์นั้น พยายามจดจำลวดลายและกฎเกณฑ์ที่โผล่ในนั้น

หนิงอี้มองโลกหลังผนังหินที่เปิดออกไปรอบๆ ยันต์นั้นเหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของโลก หินภูเขาสองข้างตะปุ่มตะป่ำ เดินหน้าไปเหมือนยังมีอีกเส้นทาง แต่ยันต์นี้ขวางไว้ตรงนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด…หลังสัมผัสก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกจากหลังภูเขา

ตอนนั้นคุณชายเจ้าหรุยกับสวีจั้งน่าจะถูกป้ายคำสั่งนั้นหลังภูเขาเคลื่อนย้ายมาในถ้ำนี้ นำเอาคัมภีร์เต๋าออกไปมากมาย ตระหนักกระบี่ฟาด จากนั้นเปิดผนังหิน สัมผัสยันต์ตรงหน้าแล้วออกไป

ตอนนี้ดูแล้ว เส้นขอบฟ้าหลังภูเขา…ก็ยังเป็นปริศนา ยันต์สองแผ่น ค่ายกลมารดาบุตร วิชาของบรรพจารย์ลู่เซิ่งยับยั้งทุกสิ่งเหนือความคาดหมาย เชื่อมต่อฟ้าดินสองแห่ง ฝากทรัพยากรล้ำค่าให้ชนรุ่นหลังเขาสู่ซาน

แต่หนิงอี้ไม่รู้ว่าข้างหลังยันต์นี้เป็นโลกแบบใด หากเข้าไปในเส้นขอบฟ้านั้นได้จริงๆ…ข้างหลังยันต์จะเป็นเส้นทางที่บรรพจารย์ลู่เซิ่งเคยเดินไปหรือไม่ ซ่อนอะไรไว้กันแน่

เขาถอนหายใจเบาๆ คลึงระหว่างคิ้ว

เศษหญ้าออกสีเหลืองนั้นทนทานยิ่ง อยู่รอดกลางซอกหินมาไม่รู้กี่ปี หนิงอี้อดเอามาพิจารณาอย่างละเอียดไม่ได้ จ้องอยู่นานมากก็ไม่ได้อะไร ได้แต่เก็บกลับไปใหม่ ไม่อาจตระหนักได้ สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะไขข้อสงสัยไปก่อน

เด็กสาวยืนอยู่หน้ายันต์ กลั้นลมหายใจ หนิงอี้ไม่ได้ส่งเสียง นางยืนอยู่เกือบชั่วยาม ด้วยความจำของนาง ตอนสวีจั้งอ่านหนังสือในเมืองสันติ รอบเดียวก็จำข้อมูลได้ทั้งหมด ตอนนี้ยืนหน้ายันต์นานขนาดนี้ เห็นได้ว่ายันต์นี้มีข้อมูลเยอะมาก

สุดท้ายนางหลับตาลง พ่นลมหายใจยาว

หนิงอี้มองเด็กสาวพลางถามด้วยความห่วงใย “เป็นอย่างไรบ้าง”

เผยฝานเงยใบหน้ารูปไข่งดงามขึ้น สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจ นางส่ายหน้าแล้วพูดเสียงเบา “คุณชายลู่เซิ่งเป็นบุคคลที่สุดยอดมาก เนื้อหาในยันต์นี้เข้าใจยากมาก แต่ก็พอจำได้ ถ้าจะทำซ้ำจริงๆ เกรงว่าตอนนี้คงยังทำไม่ได้”

“เหลือภูเขาเขียวไว้ ไม่ต้องกลัวไม่มีฟืนใช้” หนิงอี้พูดปลอบแสร้งทำทีเป็นเจ็บปวด “จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร…”

“เดี๋ยว…เจ้าว่าอะไรนะ”

หนิงอี้ตั้งสติกลับมาได้ พูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “เจ้าจำได้หมดเลยรึ”

เผยฝานพยักหน้า ตอบอืมเบาๆ

เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าหากเด็กสาวจำไม่ได้ มารอบเดียวไม่ได้ก็มาสองรอบ สองรอบไม่ได้ก็มาสามรอบ หนิงอี้ที่สรุปไปแล้วว่าจะต้องห่อของที่บรรพจารย์ฝากไว้เอากลับไปให้หมดปลงเงียบๆ ในใจ

อะไรคือพรสวรรค์

นี่สิเรียกว่าพรสวรรค์!

เด็กสาวเป็นคลังสมบัติจริงๆ ไม่ว่าจะเลือกฝึกบำเพ็ญหรือศึกษาค่ายกล หรือเส้นทางอื่น จะต้องประสบความสำเร็จไม่น้อยแน่

หนิงอี้ยื่นมือมาวางบนบ่าเด็กสาว

สองคนสัมผัสยันต์นั้นพร้อมกัน

ฟ้าดินเปิดออก แสงสว่างสายหนึ่งที่ลู่เซิ่งฝากไว้ชี้นำเส้นทาง

…………………….

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท