ตอนที่ 59 วัตถุแห่งมหาสุริยะ (rewrite)
สุสานในโลกนี้ล้วนเป็นหยิน
ต่อให้ค่ายกลของทุ่งหญ้าแห่งนี้จะสูงส่งกว่านี้ก็ยังกลบจุดนี้ไม่ได้
ดังนั้นก่อนที่อู๋เต้าจื่อจะเดินก้าวนี้ สุสานได้ถูกค่ายกลไม่รู้นามปกคลุมไว้อย่างดีมาก กลิ่นอายพลังแทบจะไม่รั่วไหลออกไปเลย ดูแล้วก็เหมือนอยู่กลางแสงตะวันร้อนแรง อยู่ในที่ที่วิจิตรงดงามไม่มีพลังสังหารใดๆ
ทว่าโลกนี้มีเรื่องดีขนาดนั้นเชียวหรือ
เมื่อเดินหนึ่งก้าว เมฆลมพลันเปลี่ยนไป
ทหารเงามืดหลายหมื่นบุกเข้ามา โลกนี้แทบจะไม่มีวิชาค่ายกลสังหารใดรุนแรงกว่าพลังชั่วร้ายนี้แล้ว
ทั้งทุ่งหญ้ามีหมอกเงามืดปกคลุม บนฟ้าเป็นเงามืดมหึมาคลุมลงมา
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น
หนิงอี้นำหญ้าแห้งนั้นออกมาจากกระเป๋าเอว…หมอกเงามืดบางๆ รอบตัวสลายหายไปในทันทีที่เขาชูหญ้าแห้งขึ้น
ภายในระยะสามฉื่อสงบเงียบ
ยอดขุนพลที่ดูนุ่มนวลและง้างคันศรเล็งมาทางหนิงอี้ไกลๆ คนนั้นเลิกคิ้วขึ้น ร้องเบาๆ ก่อนจะปล่อยนิ้วมือที่จับลูกธนูไว้ เส้นสีดำลากผ่านกลางฟ้าดินอีกครั้ง
ลูกธนูนี้ทะลวงผ่านหมอกเงามืด เส้นสีดำเล็กแคบยิ่งขยับวูบผ่าน ชั่วพริบตาเดียว ทุกสิ่งที่ขวางหน้าถูกทำลาย ม้าเหล็กที่บังเอิญขวางธนูนี้ระหว่างทาง เพียงแค่หันหัวมาเล็กน้อยก็ถูกทะลวงระเบิดโดยไม่มีสัญญาณใดๆ คนกับม้าระเบิดเลือดกระจายเต็มฟ้า
อานุภาพของธนูนี้ ต่อให้นักบวชใช้ทุกอย่างก็ไม่มีทางต้านไหว
ม้าวิ่งห้อเข้ามา…
ทหารเงามืดที่เงยหน้าปาหอกยาวและยังเหยียดแผ่นหลังตรงมีสีหน้าเฉยชา สายตามองตามหอกยาวพุ่งไปตกไกลๆ พร้อมกัน
เสียงฟิ้วๆ ที่ตกลงมาข้างบนทำให้คนขนหัวลุก
ธนูของยอดขุนพลคนนั้นยิงออกมา พายุสายฟ้าสั่นสะเทือน
ความเร็วของปลายธนูเหนือกว่าเสียง เศษหญ้าลอยล่อง ทั้งแผ่นดินถูกธนูลากเป็นร่องยักษ์ ก่อเกิดคลื่นยักษ์สองลูก
เวลาทั้งหมดถูกหยุดนิ่ง
เด็กหนุ่มที่ชูหญ้าแห้งตัวสั่นไปทั้งตัว มีเพียงห้านิ้วมือซึ่งกำรากหญ้าที่ยังแน่วแน่ยิ่ง
ปราณหยินทั้งหมดในโลกมีศัตรูธรรมชาติอยู่
อู๋เต้าจื่อล้มลงนั่งกับพื้น มองหญ้าแห้งนั้นสว่างขึ้นช้าๆ ราวกับแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ดวงตาเขาเหม่อลอย จ้องเศษหญ้าแห้งนั้นพลางพูดงึมงำ “วัตถุแห่งมหาสุริยะ…”
ลูกธนูที่หยุดอยู่ตรงหน้าหนิงอี้ หุ้มด้วยพายุสายฟ้าและทำให้มิติรอบตัวเกิดรอยแตกสีดำนั้น ความเร็วที่พุ่งเข้ามากลายเป็น ‘ช้ายิ่ง’ หมอกดำท่วมท้นฟ้าถูกปราณหยางอ่อนๆ ที่แผ่มาจากเศษหญ้าแห้งนั้นกำราบ สุดท้ายสิ้นกำลังทั้งหมด ชนแตกกระจายอยู่นอกปราการปราณหยางสามฉื่อตรงหน้าหนิงอี้
วัตถุแห่งมหาสุริยะ
หนิงอี้กำเศษหญ้า หน้าซีดขาว ก่อนหน้านี้รับแรงปะทะปราณหยินจากทุกสารทิศ ภายในกระดูกประทับกลิ่นอายชั่วร้ายไว้ชั้นหนึ่ง เลือดหนาวเย็น แขนขาเย็นไปหมด
เขาโคจรตันเถียนสุดชีวิต ลองส่งความเป็นเทพเข้าไปในหญ้านั้นเล็กน้อย
แต่เศษหญ้าเหมือนไม่ต้องการความเป็นเทพพวกนี้
มันโคจรด้วยตัวเอง
ก่อนหน้านี้หนิงอี้รู้ว่า หญ้าแห้งที่ตนดึงออกมาอย่างไม่ตั้งใจที่ผนังหินหลังเขานี้ เหมือนจะไม่ธรรมดา แต่เขาศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่า นำออกมาจากกระเป๋าเอว พิจารณาตลอด ก็ยังไม่เข้าใจมัน
จนถึงตอนนี้ ช่วงที่ค่ายกลหยินชั่วร้ายบุกเข้ามา หญ้าแห้งนี้กลับเกิดปฏิกิริยาขึ้น ร้องเรียกหนิงอี้อย่างชัดเจน อยากจะออกมา ‘ดู’ โลกสักหน่อย
เป็นเพราะค่ายกลหยินชั่วร้าย หรือเพราะสุสานแห่งนี้กันแน่
หนิงอี้ถือหญ้าแห้ง หมอกดำหลั่งไหลเข้ามา ทั้งโลกมืดมิด เสียงเท้าม้าสะเทือนเยื่อแก้วหู แทบจะทำให้อู๋เต้าจื่อเป็นบ้า นักบวชแผดเสียงตะโกน “มารดาเจ้าเถอะ…กันได้รึ!”
ยอดขุนพลที่ดูนุ่มนวลที่สุดคนนั้นหน้ามืดลง หยิบธนูสามดอกขึ้นบนคันธนูและยิงเข้ามา ยอดขุนพลอีกหลายคนที่เหลือ คนที่สวมเกราะสีแดงฉานมีใบหน้าน่าเกรงขาม สองมือตบฝักดาบที่ห้อยไว้ข้างเอว ดาบยาวสองเล่มออกจากฝักเข้าสู่มือ ก่อนลากดาบห้อวิ่งไปบนสนามรบ ควบม้ายกหน้าขึ้นสูง ก่อนจะฟันดาบห่างไปไกลหลายสิบจั้ง!
ปราณดาบหมุนม้วนดุจสายฟ้า ฉีกหมอกเงามืดพุ่งเข้ามา ระเบิดผิวดินแตกเป็นชุ่นๆ
หญ้าแห้งนั้นแม้จะเล็ก แต่เมื่อหนิงอี้นำออกมา กลับยืดขึ้นช้าๆ และชูหน้าขึ้น
ต่างกับเศษหญ้าอื่นบนทุ่งหญ้าแห่งนี้…มันไม่มีความคิดจะคุกเข่าก้มกราบเลย
บางทีอาจเป็นเพราะเจ้าของในสุสานนี้ ดวงจิตหลังตายไปแล้วแข็งแกร่งมาก ดังนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มาที่นี่จะต้องตายไป สิ่งที่ไม่มีชีวิตมาที่นี่จะต้องก้มหัว…แม้จะเป็นหญ้าต้นเดียวก็ต้องยอมสยบ
ดังนั้นจึงทำให้ ‘หญ้าแห้ง’ ต้นนี้ต่อต้าน
มัน…ถึงขั้นอาจจะไม่ใช่หญ้าแล้ว
แต่ไม่ว่ามันเป็นอะไร…
มันจะไม่ยอมก้มหัวเด็ดขาด
ปราณดาบที่ฟันเข้ามานั้นระเบิดห่างจาก ‘วัตถุแห่งมหาสุริยะ’ สามฉื่อ นักบวชที่กอดขาหนิงอี้ไว้แน่นเบิกตาโตมองธนูสามดอกนั้นที่แทบจะมาถึงตรงหน้าหนิงอี้พร้อมกัน กระแทกกับพลังที่แผ่จากเศษหญ้า ชนจนแตกเป็นรู เขามีสีหน้าเหม่อลอย พูดงึมงำ “มารดาเถอะ…นี่มันของเทพเซียนอะไรกัน ไม่ไว้หน้าจักรพรรดิเลยรึ”
“จักรพรรดิจะเอาชีวิตเจ้า เจ้าจะไว้หน้าเขาหรือไม่” หนิงอี้มีสีหน้าปั้นยาก ถีบนักบวชที่เกาะขาตนไม่ยอมปล่อยอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบ…ลุกขึ้น!”
นักบวชหัวเราะแห้งๆ สองที ก่อนปล่อยต้นขาหนิงอี้ ลุกขึ้นมองสมบัติที่แตกกระจายเต็มฟ้า อดใจยื่นมือเก็บเศษธนูไว้ มองชุดคลุมใหญ่เนื้อหยาบว่างเปล่า ก่อนจะมองสมบัติที่ถูกธนูนั้นตอนแรกสุดทำลายไป เศษยังลอยอยู่ในหมอกดำ รู้สึกปวดใจยิ่งนัก
“วัตถุแห่งมหาสุริยะ สามารถกำราบปราณหยินทั้งหมดในโลกได้” อู๋เต้าจื่อพูดพึมพำด้วยสีหน้าจริงจัง “ยิ่งฐานะเจ้าของสุสานยิ่งใหญ่มากเท่าไร ปราณหยินหลังสิ้นชีพก็ยิ่งรุนแรง ยิ่งกำราบได้ยาก…เจ้าเอาสมบัติเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ไม่อยากเชื่อว่าจะต่อต้านจักรพรรดิต้าสุยที่ตายไปแล้วได้”
หนิงอี้ชำเลืองตามองอู๋เต้าจื่อ “ถ้าข้าบอกว่าข้าเก็บมา เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
อู๋เต้าจื่อมีสีหน้าซับซ้อนเหมือนกินอุจจาระ
เก็บมารึ
“ที่นี่มีบางอย่างปลุกมัน” หนิงอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มันไม่ฟังคำสั่งข้า สุสานจักรพรรดิจะกำราบมัน หากมันก้มหัว…เราก็จบเห่”
อู๋เต้าจื่อรีบตั้งสติกลับมา เขาเข้าใจความหมายของหนิงอี้ วัตถุแห่งมหาสุริยะชิ้นนี้ ต่อให้เก่งกาจกว่านี้ก็ไม่มีทางต้านอำนาจของจักรพรรดิต้าสุยได้ ปราณหยินในสุสานนี้ซ่อนมาไม่รู้กี่ปี พลังของทหารหยินตรงหน้ายังเพิ่มขึ้น ธนูของยอดขุนพลคันธนูนั้น ยิงแต่ละดอกมาหนักขึ้นเรื่อยๆ…หากรอปราณหยินของทุ่งหญ้าฟื้นคืนมาทั้งหมด ‘วัตถุแห่งมหาสุริยะ’ นี้คงต้านไม่ไหว เช่นนั้นต่อให้เทพเซียนมาก็ช่วยตนกับหนิงอี้ไม่ได้
“ปราณหยางได้แค่ปกป้องในสามฉื่อ คัมภีร์แสวงมังกรไม่ถูกปราณหยินพัวพัน โคจรได้…” หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่นยาว เขาจ้องตรงหน้าเขม็ง เอ่ยมาทีละคำ “เจ้าบอกทิศทาง ข้าเปิดทาง!”
“ดี!” อู๋เต้าจื่อเหงื่อท่วมทั้งตัว เขาเริ่มทำปางมือ ความลับสวรรค์ที่นี่คาดเดาได้ยาก แต่ภายใต้การบุกเบิกของวัตถุแห่งมหาสุริยะ เกิดเป็นโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง ยันต์แปดทิศใต้ดวงตาโคลงเคลงจะล้มลง แขนเสื้อใหญ่ลอยขึ้น เหงื่อเย็นๆ ไหลมาจากหน้าผากนักบวช เขามองหนิงอี้พลางกัดฟันแน่น อยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
“ไม่มีเวลาลังเลแล้ว” หนิงอี้หรี่ตาลง ก่อนพูดอย่างเฉยชา “ถ้าบอกทิศทางไม่ได้ เราก็ต้องตาย”
อู๋เต้าจื่อกัดฟันพูด “สิบสามทางใต้”
หนิงอี้หลับตาลง
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก
จากนั้นลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ข้างหน้าเป็นหมอกดำที่ถาโถมเข้ามารวมถึงม้าเหล็กดำที่พุ่งออกมาจากหมอกไม่หยุดและถูกกลืนกินไปอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งออกมาอีก
เขากำหญ้าแห้งแน่น เริ่มเดินไปตามที่อู๋เต้าจื่อชี้ช้าๆ
ค่ายกลสุสานเริ่มหมุนวนช้าๆ ปราณหยินทั้งหมดถาโถมเข้ามา ถูกเหนี่ยวนำไปทิศทางหนึ่ง
ฟ้าดินมืดครึ้ม มีเพียงหญ้าแห้งที่เปล่งแสงสว่าง
ทหารม้าเหล็กทมิฬที่ปิดด้วยหน้ากากกระดูกสีแดงฉานควงสองดาบเข้ามา ม้ายกเท้าสูงและเหยียบลงนอกรัศมีสามฉื่อที่หญ้าแห้งเปล่งแสง เลือดสาดกระจาย
หนิงอี้หน้าซีดขาว เท้ายืนอย่างมั่นคง
หน้าหลังเป็นกองทัพทหารเงามืดมากมาย
ทหารนับพันนับหมื่นพุ่งเข้ามาพร้อมกัน เลือดเนื้อกระจาย ภาพที่น่าอนาถอย่างยิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าเขา
ที่นี่กลายเป็นนรก
ไม่มีทิศทาง มีเพียงยันต์คัมภีร์แสวงมังกรเปราะบางที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย
“จุดแปลก…”
“จุดแปลก…”
อู๋เต้าจื่อตามอยู่ข้างกายหนิงอี้ เขาใช้สองมือจับหลังชุดคลุมดำหนิงอี้ไว้แน่น ระยะสามฉื่อแคบมาก แนบอยู่รอบๆ อาภรณ์ของเขา บางครั้งริมชุดคลุมที่หลุดออกไปนอกแสงสว่าง ตอนที่กลับมาจะเหลือเพียงเศษธุลี
มดเขย่าต้นไม้ สองคนเดินหน้าไปช้าๆ เหมือนตะเกียงตั้งอยู่กลางค่ำคืนมืดมิด
ขุนพลต้าสุยยุคโบราณที่ถือสองดาบ คำรามพร้อมกับยกดาบฟันลงมาด้วยใบหน้าถมึงทึง ดาบระเบิดกระจาย หญ้าแห้งสั่นไหวเป็นครั้งแรก แสงสว่างสั่นไหว ขุนพลที่พุ่งชนพร้อมกับม้าใส่ปราการหญ้าแห้ง ไม่ได้ทำลายวัตถุแห่งมหาสุริยะของหนิงอี้ แต่ตนชนระเบิดกลายเป็นเลือดเนื้อหมอกเงามืด แหลกเป็นเสี่ยงๆ
คนหนึ่งก็เหมือนเมืองโดดเดี่ยว
การพุ่งชนของกองทัพขวางการเดินหน้าของหนิงอี้ไม่ได้เลย
เขาชูหญ้าแห้ง หน้าขาวซีด สีหน้าแน่วแน่ เดินไกลออกไปทีละก้าว
ตรงนั้นมีแสงสว่าง
ไกลมาก
ใกล้เข้ามาทีละนิด
ข้างหลังสองคน เส้นทางที่เดินลากยาว เลือดอาบชุ่ม หมอกเงามืดไหลหลาก ทหารเงามืดเหลือคนานับที่ทยอยกันเข้ามาชนกับแสงสว่างตาย
อู๋เต้าจื่อหน้าซีด พูดงึมงำ “สมควรตาย…นั่นคือจุดแปลกรึ”
หนิงอี้ไม่ตอบ แค่รู้สึกลำคอแห้งผากเล็กน้อย
เขาจ้องแสงสว่างอ่อนๆ นั้นเขม็ง
สิ่งที่คัมภีร์แสวงมังกรคาดการณ์ออกมาคือโอกาสรอดชีวิตเดียวที่จะไปจากที่นี่ ก็คือแสงสว่างนั้น
และค่ำคืนนิรันดร์บนทุ่งหญ้าแห่งนี้ โลกมืดมิด สิ่งเดียวที่เปล่งแสงสว่าง…ก็คือโลงศพนั้นตรงกลางทุ่งหญ้า
คัมภีร์สะท้านมังกรกับคัมภีร์กังขามังกร คัมภีร์สองบท หากประกบกัน ขอแค่ไม่แตะต้องสิ่งต้องห้ามในสุสาน เช่นนั้นต่อให้เป็นสุสานจักรพรรดิ…ก็จะออกมาได้อย่างปลอดภัย
ทว่าสิ่งต้องห้ามที่สุดในสุสาน ก็คือการแตะต้องโลงศพของเจ้าของสุสาน
…………………………