บทที่ 236 แผนกศัลยกรรมกระดูก
หลังจากขึ้นปีใหม่ ไป๋เยี่ยก็ไปรายงานตัวและยื่นใบฝึกงานที่แผนกศัลยกรรมกระดูก
แผนกศัลยกรรมกระดูกของโรงพยาบาลผู่เจ๋อ เป็นแผนกเฉพาะทางพิเศษ ครอบคลุมพื้นที่ถึงสามชั้น มีเตียงผู้ป่วยสองร้อยเตียง นับว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศเลยทีเดียว
โดยเฉพาะด้านการรักษาบาดแผลและหัตถการฉุกเฉินเกี่ยวกับกระดูก
ยิ่งไปกว่านั้นแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลผู่เจ๋อยังเป็นศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินประจำปักกิ่งอีกด้วย ซึ่งแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลผู่เจ๋อนั้นให้ความสำคัญกับการรักษาที่ครอบคลุมและเอาใจใส่กับอาการบาดเจ็บที่มาจากอุบัติเหตุ
หลี่เจี้ยนเหว่ยเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมกระดูก เขาเป็นชายอายุราวๆ สี่สิบปีแต่กลับได้เป็นถึงหัวหน้าแผนก เห็นได้ชัดว่าเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ตอนที่ไป๋เยี่ยไปรายงานตัว อาจารย์ที่คอยดูแลเรื่องการฝึกงานก็มองเขาอย่างเกร็งๆ ไม่รู้ว่าควรเรียกเขาอย่างไรดี
อย่างไรเสียเมื่ออิงตามตำแหน่งในโรงพยาบาลแล้ว ไป๋เยี่ยก็เป็นถึงหัวหน้ากองบรรณาธิการซึ่งมียศเทียบเท่ากับหัวหน้าแผนก
กล่าวได้ว่าตอนนี้ไป๋เยี่ยมีศักดิ์เป็นถึง ‘ลูกรักของผู่เจ๋อ‘ ไม่มีใครไม่รู้จักเขา!
กระแสนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ไป๋เยี่ยไปฝึกงานในแผนกทวารหนักราวๆ สองสามเดือน ตอนนี้ทุกคนต่างได้แต่หวังว่าไป๋เยี่ยจะมาฝึกงานที่แผนกของตนบ้าง เขาไม่จำเป็นต้องคิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ ก็ได้ แค่สมัครเข้าโครงการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว
ถ้าโชคดีคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำยุคได้ ชื่อเสียงของแผนกก็จะโด่งดังไปในหมู่ผู้คนจำนวนมาก
ตอนนี้แผนกทวารหนักได้สร้างอภินิหารไว้ จากที่เคยเป็นแผนกธรรมดา บัดนี้กลับกลายเป็นศูนย์สาธิตของโรงพยาบาลแล้ว
วิธีล้างแผลที่ไป๋เยี่ยนำเสนอกลายเป็นสมบัติของแผนกทวารหนักในที่สุด!
แต่ถึงอย่างนั้น พานเซี่ยงเหนียนก็ไม่ได้นำวิธีนั้นออกมาเผยแพร่ เขาฝึกให้แพทย์ทุกคนในแผนกเรียนรู้วิธีล้างแผลของไป๋เยี่ย เพราะการฟื้นตัวของผู้ป่วยส่งผลต่อเงินเดือนและโบนัสด้วย
หลังจากที่ฝึกฝนมาอย่างหนักในระยะหนึ่ง ทักษะการล้างแผลของแผนกทวารหนักก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าทึ่งไม่น้อย ผู้ป่วยก็ยิ่งฟื้นตัวได้เร็วขึ้น 艾琳小說
นอกจากนี้ ข่าวเรื่องความร่วมมือระหว่างแผนกทวารหนักของโรงพยาบาลผู่เจ๋อและน่าย่ากรุ๊ปก็แพร่กระจายไปทั่ว โดยทางแผนกรับหน้าที่เป็นสถานที่ทดลองการใช้โฟมปิดแผลและสเปรย์ลิโดเคนชนิดใหม่ของน่าย่ากรุ๊ป
ที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะประการแรกคือช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ และประการที่สองคือช่วยเร่งอัตราการฟื้นฟูของบาดแผล สร้างความสะดวงสบายให้กับแพทย์ได้มาก
ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเสมือนเป็นเงินเก็บส่วนตัวของพานเซี่ยงเหนียน เกรงว่าจะถูกผู้ใดค้นพบก่อน
ทำให้ตอนนี้แผนกทวารหนักก็ได้กลายเป็นดาวเด่นของโรงพยาบาล จนแม้แต่หลี่มู่หยางซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกทวารหนักของโรงพยาบาลยูเนียนก็ต้องส่งคนมาดูงาน เรียนรู้วืธีการล้างแผล
ซ่งเจี๋ยก็กลายเป็นที่กล่าวขานไม่แพ้กัน ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของไป๋เยี่ยผู้ได้เรียนรู้วิธีการล้างแผลด้วยตนเอง ปัจจุบันจึงรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบงานล้างแผล เขาถือเป็นผู้สืบทอดวิชาคนแรกจากไป๋เยี่ย จัดได้ว่าเป็นตัวเต็งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
บทเรียนที่แผนกทวารหนักได้รับทำให้แผนกอื่นๆ ต่างตั้งตารอการมาเยือนของไป๋เยี่ยบ้าง
อย่างไรก็ตาม ไป๋เยี่ยก็ยังเป็นแค่นักศึกษาปริญญาโท หลิวเสี่ยวกังผู้ทำหน้าที่จัดการเรื่องการฝึกงานของนักศึกษาจึงเกร็งจนพูดไม่ออก
ไป๋เยี่ยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “สวัสดีครับอาจารย์ ผมมาฝึกงาน”
หลิวเสี่ยวกังพึมพำ “อืม…ไป๋…หัวหน้าไป๋ นั่งลงก่อน ผมจะไปตามหัวหน้าแผนก”
หลิวเสี่ยวกังอายุสามสิบห้าปี เขาทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแล้ว แต่กลับเผลอหลุดปากเรียกไป๋เยี่ยว่าหัวหน้าไป๋
ทว่าเรียกหัวหน้าไป๋ก็ถูกต้องแล้ว อย่างไรไป๋เยี่ยก็เป็นถึงหัวหน้ากองบรรณาธิการของผู่เจ๋อ ว่ากันว่า ‘วารสารการแพทย์ผู่เจ๋อสมัยใหม่’ กำลังถูกพิจารณานำเข้าฐานข้อมูลเอสซีไออยู่ด้วย ต่อไปหากได้เป็นวารสารเอสซีไอจริงก็คงต้องพึ่งพาบทความของหัวหน้าไป๋มากขึ้นแล้ว!
ไป๋เยี่ยเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ อำนาจทั้งหมดเป็นของเขา คาดว่าแม้แต่คำพูดของผู้อำนวยการหลิวในด้านการดูแลงานวารสารก็อาจจะไม่มีน้ำหนักเท่าไป๋เยี่ย
หลิวเสี่ยวกังคิดได้ดังนั้นก็ไม่กล้าตุกติก เขาลากเก้าอี้ออกมาให้ไป๋เยี่ยนั่ง จากนั้นก็เดินไปที่ห้องหัวหน้าแผนกทันที
หลังจากที่หลิวเสี่ยวกังจากไป บรรดาหมอที่ทำงานอยู่ในวอร์ดก็กล่าวทักทายไป๋เยี่ยอย่างยิ้มแย้มกลบเกลื่อนความประหม่า
ไป๋เยี่ยพยักหน้ารับ แม้แต่เขาเองก็ประหม่าไม่แพ้กัน
แต่ถึงกระนั้น การเรียนรู้ต้องเป็นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนกว่าจะเกิดความเชี่ยวชาญ ยังคงต้องมีอาจารย์คอยให้คำชี้แนะ
ไป๋เยี่ยไม่ทันได้พูดอะไร ผู้คนก็เดินมาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องทำงานร่วมกันอยู่ดี ไป๋เยี่ยจึงนั่งพูดคุยกับทุกคนตรงนั้น ไม่นานนักต่างคนก็ต่างบังเกิดความประทับใจต่อไป๋เยี่ย
ไป๋เยี่ยเป็นคนเก่งที่ไม่ถือตัว เขามักจะเรียกผู้อื่นว่า ‘อาจารย์’ เสมอ ตามคำกล่าวที่ว่า ‘แต่ละคนมีด้านที่เชี่ยวชาญต่างกัน‘
ไม่นานนัก หลี่เจี้ยนเหว่ยก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มและพยักหน้าให้ไป๋เยี่ย “มาแล้วเหรอ”
ไป๋เยี่ยขานรับ “สวัสดีครับ อาจารย์หลี่”
หลี่เจี้ยนเหว่ยยิ้มรับ “ฮ่าๆ ตามผมมาเถอะ คุณจะได้เดินดูทั้งวอร์ดทั้งห้องผ่าตัดเลย คุณว่าจะฝึกงานที่นี่นานไหมล่ะ”
ไป๋เยี่ยครุ่นคิด ถึงแม้ว่าแผนกศัลยกรรมกระดูกจะไม่ได้โดดเด่นไปกว่าแผนกอื่นๆ แต่ถ้าใช้เวลาฝึกงานน้อยไปก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย “หมดช่วงปีใหม่ก็จะย้ายแผนกแล้วครับ”
หลี่เจี้ยนเหว่ยตอบ “โอเค ไว้เราจะไปราวน์วอร์ดกันจะได้รู้จักคนไข้ แผนกของเรา…ค่อนข้างพิเศษน่ะ”
หลี่เจี้ยนเหว่ยเป็นแพทย์แผนจีน บรรพบุรุษของเขารักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกด้วยการแพทย์แผนจีนโบราณ ต่อมาเขาจึงสืบทอดองค์ความรู้นั้นมา แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสี่สิบปีเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเขามีความรู้อันลึกซึ้งยิ่งนัก
ปัจจุบันเลเวลกายวิภาคศาสตร์ของไป๋เยี่ยอยู่ที่เลเวลสามเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาได้รับทักษะฉายรังสีเลเวลสี่มาด้วย ซึ่งมีเงื่อนไขเปิดใช้งานคือต้องมีทักษะกายวิภาคศาสตร์และการฉายรังสีพื้นฐานเลเวลสี่
แต่เพราะเขามัวแต่วุ่นอยู่กับแผนกทวารหนัก จึงไม่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมมาจนถึงตอนนี้
ในการศัลยกรรมกระดูก การฉายรังสีถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่าเรามองเห็นกระดูกของมนุษย์จากภายนอกไม่ได้ ทั้งการเอกซเรย์ ซีทีสแกน เอ็มอาร์ไอ และวิธีการอื่นๆ จึงจำเป็นต่อการวินิจฉัยที่ครอบคลุมมาก
พัฒนาการของการแพทย์แผนปัจจุบันทำให้ศาสตร์การแพทย์แผนจีนหลายแขนงเจริญขึ้นด้วย ซึ่งการศัลยกรรมกระดูกก็เป็นหนึ่งในศาสตร์ดั้งเดิมที่พัฒนาขึ้น
การศัลยกรรมกระดูกทางการแพทย์แผนจีนสมัยก่อนนั้น หากบาดแผลเกิดขึ้นภายนอกก็เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าเป็นบาดแผลภายในก็ต้องอาศัยฝีมือของแพทย์แผนจีนรุ่นเก่า
ทุกอย่างคือความไม่แน่นอน นับว่าเป็นอาการที่วินิจฉัยได้ยากจริงๆ
ภาพฉายรังสีจึงมีส่วนช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามากยิ่งขึ้น การรักษาโรคก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นและลดข้อผิดพลาดรวมถึงอาการบาดเจ็บได้โดยอาศัยทั้งวิธีการดั้งเดิมและภาพถ่ายรังสี
นอกจากนี้หลังจากที่ทำกายภาพบำบัดโดยวิธีการทางการแพทย์แผนจีนแล้ว ก็ยังนำข้อมูลที่ได้จากการฉายรังสีไปวิเคราะห์สภาพการฟื้นตัวได้ด้วย
ระหว่างที่ออกไปราวน์วอร์ดในช่วงเช้า หลี่เจี้ยนเหว่ยก็ให้คำแนะนำต่างๆ อย่างละเอียด ทำให้ไป๋เยี่ยเริ่มมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนกศัลยกรรมกระดูกมากขึ้นแล้ว
ทว่าเขายังคงต้องค้นคว้าและพยายามมากขึ้นกว่านี้
ไป๋เยี่ยมีทักษะกายภาพบำบัดที่เลเวลห้า แต่การจะเปิดใช้งานจะต้องมีเลเวลวิชากายวิภาคศาสตร์และวิชากระดูกและข้อเลเวลห้าเสียก่อน
นี่ไม่ถือเป็นเรื่องง่ายเลย แต่ไป๋เยี่ยนั้นแตกต่างออกไป ตอนนี้เขายังมีคลังค่าประสบการณ์ที่ยังไม่ได้เปิดใช้อีกเยอะ
เขามีค่าประสบการณ์รออยู่ห้าหมื่นแต้ม ซึ่งนั่นยังไม่เพียงพอ ไป๋เยี่ยจะต้องทุ่มเทเวลาไปกับการค้นคว้าต่อไป
อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยินยอมรักษาด้วยกายภาพบำบัด ถึงแม้ว่าจะเป็นไป๋เยี่ย แต่หลี่เจี้ยนเหว่ยก็ไม่เสี่ยงฝากชีวิตผู้ป่วยไว้กับคนที่ยังไม่รู้มือ
เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป~