บทที่ 266 มาเยือนเมียนมา
ทีมแพทย์กู้ภัยของโรงพยาบาลผู่เจ๋อถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว จึงมีการจัดการประชุมที่โรงพยาบาลเกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่างๆ
เพราะทุกคนมาจากหน่วยงานเดียวกัน พวกเขาจึงคุ้นเคยกันดี บางครั้งก็มีหยอกล้อกันบ้าง
แม้ว่าซ่งเจี๋ยจะมีอายุมากแล้ว แต่เขาก็เป็นมิตรพอจะล้อเล่นด้วยได้ ทำให้คนอื่นๆ เริ่มเข้าหาเขา
ทว่าเมื่อทุกคนเหลือบไปเห็นชื่อหลี่หมิงในใบรายชื่อก็พากันช็อกไปทั้งแถบ
ไม่น่าเชื่อว่ารองผู้อำนวยการหลี่หมิงจะเป็นผู้นำทีมแพทย์และพาทุกคนไปที่เมียนมา!
ไป๋เยี่ยค่อยๆ เงยหน้ามองชายวัยราวๆ ห้าสิบปีตรงหน้าด้วยสีหน้าแน่วแน่ หลี่หมิงเป็นคนตรงไปตรงมา อีกทั้งเขายังมีความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบมากชนิดที่หาใครเทียบได้
หลี่หมิงมองไปรอบๆ “ขอจบการประชุมวันนี้ลงนะครับ ทุกคนโปรดจำสิ่งที่ผมบอกไว้ให้ดี การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การท่องเที่ยว และอย่าได้พยายามทำตัวเป็นฮีโร่ สิ่งที่เราต้องทำคือช่วยเหลือผู้คน ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องปกป้องตัวเราเองด้วย”
“เอาล่ะ รถพร้อมแล้ว ออกเดินทางได้!”
หลี่หมิงพูดจบก็มองไปทางหลีจื่อเหยียนด้วยสายตาระแวดระวังก่อนจะถามอย่างใจเย็น “ปิดประตูบ้านหรือยัง”
ขอบตาของหลีจื่อเหยียนแดงระเรื่อ เธอพยักหน้าเบาๆ
“ออกเดินทางกันเถอะ!”
รถบัสของโรงพยาบาลพาสมาชิกทีมแพทย์ทั้งสิบชีวิตมุ่งหน้าไปยังจุดรวมพล ซึ่งจะมีเครื่องบินพิเศษมารอรับทุกคนไปที่เมียนมา
หลังจากมาถึงจุดรวมพลแล้ว ไป๋เยี่ยก็พบว่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงทีมแพทย์จากผู่เจ๋อเท่านั้น แต่โรงพยาบาลอื่นๆ อย่างยูเนียนต่างก็ส่งทีมแพทย์มาด้วย ตอนนี้ผู้คนที่มารวมตัวกันที่นี่จึงมีกว่าร้อยคน
ระหว่างที่กำลังเตรียมตัวอยู่นั้น ก็มีชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายทหารเดินเข้ามาตบไหล่ไป๋เยี่ย “คุณคือไป๋เยี่ยใช่ไหม ตามผมมาหน่อยครับ”
ไป๋เยี่ยลุกขึ้นด้วยความสับสนและเดินตามชายคนนั้นไปที่ห้อง
ทันทีที่เข้ามา ไป๋เยี่ยก็สังเกตเห็นชายร่างสูงคนหนึ่ง
ชายคนนั้นยืนอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมกับทำความเคารพไป๋เยี่ย “สวัสดีครับหัวหน้า! ผมจ้าวหู่ชิว!”
ไป๋เยี่ยถึงกับไอก่อนจะยิ้มตอบอีกฝ่าย “ผมไม่ใช่หัวหน้าหรอกครับ เรียกไป๋เยี่ยก็พอ”
“จ้าวหู่ชิว การเดินทางครั้งนี้คุณมีภารกิจเดียวเท่านั้น นั่นคือต้องปกป้องไป๋เยี่ย คุณไม่ต้องไปสนใจเรื่องของคนอื่น คุณทำภารกิจให้สำเร็จได้หรือไม่”
แววตาของจ้าวหู่ชิวนั้นแฝงไปด้วยความแน่วแน่ เขากล่าวเสียงหนักแน่น “ผมจะทำภารกิจให้สำเร็จครับ!”
ไป๋เยี่ยมองดูจ้าวหู่ชิวผู้สูงกำยำตรงหน้าพร้อมกับโค้งคำนับลงเล็กน้อย
แม้ว่าชายตรงหน้าจะไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ในแววตาของเขาก็ฉายแววจริงจังขึ้นเล็กน้อย
เครื่องบินบินขึ้นช้าๆ ไป๋เยี่ยครุ่นคิดกับตนเองพลางมองออกไปยังทิวทัศน์เมืองปักกิ่งที่ค่อยๆ ห่างออกไปผ่านหน้าต่าง
ไม่มีใครพูดคุยกัน ได้แต่นั่งใช้ความคิดกับตนเอง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เครื่องบินก็ค่อยๆ ร่อนลงช้าๆ ไป๋เยี่ยรู้สึกได้ว่าเขามาถึงเมียนมาแล้ว
เครื่องบินจอดลงที่เมืองเหมืองแร่ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองที่เกิดแผ่นดินไหวกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร แต่เพราะพื้นที่รอบๆ เมืองยังไม่ปลอดภัยนัก จึงไม่อนุญาตให้เครื่องบินลงจอดในเมือง
หลังจากที่ทุกคนเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็นั่งลงตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
รัฐบาลท้องถิ่นยินดีกับความช่วยเหลือจากทีมแพทย์จีนอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าทีมแพทย์จำนวนมากมาถึงแล้ว พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เจ้าหน้าที่รัฐบาลเข้ามาต้อนรับหลี่หมิงเป็นการส่วนตัว มีการจัดเตรียมงานเลี้ยงอาหารเย็นไว้แล้ว ทว่ากลับไม่มีใครรู้สึกอยากอาหารเลย
งานเลี้ยงอาหารค่ำจบลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนต้องเตรียมตัวชาร์จพลังให้เต็มเพื่อไปทำภารกิจในวันรุ่งขึ้น จึงพากันเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำและตื่นนอนเวลาหกโมงเช้า
หลังจากรีบรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็มีรถมารับทีมแพทย์ไปที่จุดหมาย
รถวิ่งมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ทุกคนต่างสังเกตเห็นซากปรักหักพังกระจายอยู่ทั่วเมือง และบริเวณโดยรอบๆ แม้ว่าจะมีการรายงานแผ่นดินไหวแค่เมืองเดียว แต่เมืองเล็กๆ รอบๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ามีการเคลียร์เส้นทางถนนไปบ้างแล้ว ตลอดข้างทางมีกองอิฐ ปูนซีเมนต์และเหล็กกองอยู่ และบางครั้งก็อาจได้ยินเสียงครวญครางจากความเจ็บปวด
รถขับช้ามาก เนื่องจากทางไม่ค่อยดี พื้นถนนเต็มไปด้วยรอยแตกขรุขระ อย่าว่าแต่รถยนต์เลย แม้แต่ผู้คนที่สัญจรด้วยเท้าก็รู้สึกไม่ปลอดภัย
คนขับรถเป็นคนเชื้อสายจีน เขาหันกลับมาทางทุกคน “ลงจากรถก่อนเถอะ ข้างหน้ารถไปต่อไม่ได้แล้ว”
หลี่หมิงพยักหน้า เขาขอให้ทุกคนตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนลงจากรถ ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถเขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อลงรถมา ไอความเย็นก็ปะทะเข้าที่ใบหน้าของทุกคน
นี่มัน…หดหู่เกินไปแล้ว!
เมืองทั้งเมืองคล้ายจะพังทลายลงจนเหลือแต่ความว่างเปล่า…
ทีมแพทย์พร้อมอุปกรณ์ครบครันซึ่งนำโดยหลี่หมิงได้รับมอบหมายให้ดูแลศูนย์ช่วยเหลือชั่วคราว
ทีมแพทย์ที่มาถึงไม่ได้นำอะไรติดตัวไปด้วยมากนัก มีเพียงกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบเท่านั้น ส่วนไป๋เยี่ยเลือกสะพายกระเป๋าเป้เพื่อความสะดวก
ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนรอไป๋เยี่ยและทีมแพทย์อยู่ เมื่อเธอเห็นทุกคนเดินมาก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “พวกคุณคือทีมแพทย์จากจีนสินะ! ในที่สุดพวกคุณก็มาแล้ว รีบตามฉันมาเร็ว”
หญิงสาวคนนั้นไม่ได้ใช้ภาษาทางการมากนัก จากนั้นเธอก็พาทุกคนตรงไปยังที่หมาย
หลี่หมิงหันไปพูดกับทุกคน “ระวังด้วย ที่นี่เป็นพื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหว พวกคุณต้องคอยระวังตัวเองและพยายามมองหาที่กำบังไว้ตลอดเวลา ต้อง…”
หลี่หมิงย้ำอีกครั้ง จากนั้นก็รับกล่องใบหนึ่งมาจากมือของหลีจื่อเหยียนแล้วเดินตามหญิงสาวคนนั้นไปข้างหน้า
ที่นี่ไม่มีถนนเรียบๆ มีแต่หลุมบ่อและซากบ้านเรือนพังทลาย หลี่หมิงแบกกล่องใบนั้นไว้บนไหล่ของเขา
จ้าวหู่ชิวดูจะผ่อนคลายกว่ามาก ต่างจากไป๋เยี่ยและคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ช่วยคนอื่นถือสัมภาระเลย ได้แต่คอยติดตามดูแลความปลอดภัยให้ไป๋เยี่ยอยู่ไม่ไกล ราวกับว่ากำลังจะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นจริงๆ เขามีปฏิกิริยาตอบโต้ตลอดเวลา ต่อให้ต้องใช้ไหล่ของตนเองบังไป๋เยี่ยไว้ เขาก็ไม่คิดลังเลแม้แต่วินาทีเดียว
ใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดทุกคนก็มาถึงศูนย์ช่วยเหลือ
สถานที่แห่งนี้เคยเป็นห้องนิรภัยของธนาคาร การรักษาความปลอดภัยโดยรอบค่อนข้างแน่นหนา ไม่คิดเลยว่ามันจะถูกใช้เป็นสถานพยาบาลชั่วคราวในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว
ทว่ายังไม่ทันก้าวเข้าไป ไป๋เยี่ยก็จ้องมองภาพตรงหน้าเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
น่ากลัวชะมัด!
คงไม่ต่างอะไรกับสงครามเลยมั้งเนี่ย
นอกธนาคารถูกเก็บกวาดจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่ง มีการตั้งเต้นท์ทหารขึ้นเป็นสถานที่รักษา ส่วนด้านนอกมีเปลและเตียงที่มีผู้คนร่างอาบด้วยเลือดนอนอยู่บนนั้น
หลีจื่อเหยียนตกใจกลัวจนหน้าซีด ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่ทุกคนที่นี่ต่างรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาพยนตร์!
มันคือการดิ้นรนระหว่างความเป็นและความตาย!
เป็นช่วงเวลาที่ต้องดวลกับความตาย
เพิ่งมาถึงสถานที่ได้ไม่กี่นาที ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าภารกิจและความกล้าหาญของพวกเขานั้นสำคัญไฉน
ทุกการกระทำของคุณย่อมส่งผลต่อชีวิตของผู้อื่นได้
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็นึกถึงคำพูดของนอร์แมน เบธูนได้
‘เมื่อไหร่ที่ความคิดของคุณส่งผลต่อความเป็นความตายของผู้ป่วย เมื่อนั้นคุณก็จะเข้าใจถึงคุณค่าและความรับผิดชอบที่แพทย์พึงมี’