บทที่ 317 เตรียมหน้าดินเพาะปลูกในวสันตฤดู
บทที่ 317 เตรียมหน้าดินเพาะปลูกในวสันตฤดู
ก่อนหน้านี้ไม่เคยซื้อคันไถ มาตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าใจถึงความสะดวกสบายในการใช้คันไถแล้ว จึงต่างพากันรู้สึกเสียดายปนเสียใจขึ้นมา
แม้กระทั่งคนที่สนิทสนมกับหัวหน้าหมู่บ้านก็เริ่มพูดจาดี เมื่อพวกเขาไถหน้าดินเสร็จแล้วก็ได้ทำการขอหยิบยืมคันไถมาใช้
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้ายินยอม สมกับที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเสียจริง รอจนเขาไถหน้าดินจนหมดผืนเรียบร้อยแล้ว ก็อนุญาตให้ชาวบ้านมาหยิบยืมของตนไปได้ เพียงแต่ต้องกำชับให้พวกเขาดูแลอย่างดีและห้ามทำพัง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นเช่นกัน
โดยเฉพาะตรงพื้นที่แถวเขตชายแดน ผืนดินตรงนั้นค่อนข้างแข็งกระด้าง โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นพื้นที่รกร้าง อาณาเขตผืนดินค่อนข้างกว้างแต่คนอาศัยกลับน้อยนิด แรงงานจึงลดลงเช่นกัน ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกลดน้อยลงตามไปด้วย
เมื่อมีคันไถที่ใช้ทำงานได้ดีขึ้น หนานกงฉีโม่จึงปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ให้เหมาะสมกับพื้นที่แห่งนี้
ราษฎรสามารถขอส่วนพื้นที่รกร้างได้ หลังจากขอส่วนที่ดินตรงนั้นแล้ว ทางการจะงดเว้นการจ่ายภาษีเป็นระยะเวลาสามปี หลังจากผ่านพ้นช่วงสามปีไปแล้วที่ดินตรงส่วนนั้นก็จะตกเป็นของพวกเขา
ที่นี่มีพวกวัว ม้า และแกะมากมาย นอกจากนี้ยังมีคันไถคันใหม่ด้วย ทำให้ชาวบ้านและทหารต่างมีแรงใจในการไถหน้าดินมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
แน่นอนว่ากองทัพเองก็ต้องพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรเช่นกัน
เมื่อถึงฤดูทำนา พลทหารก็จะลงมือทำด้วย
ในค่ายทหารมีคนอยู่จำนวนมาก ล้วนเป็นชายชาตรีซึ่งสามารถทำงานเล็กใหญ่ได้ทั้งสิ้น ลำพังเพียงรายได้ของทหารอย่างเดียวคงไม่พอใช้จ่าย เพื่อให้เพียงพอเลี้ยงปากท้องมากขึ้นสักหน่อย พวกเขาจึงต้องทำเกษตรในค่ายทหารด้วย
แต่หน้าที่หลักของพลทหารคือการฝึกรบ ด้วยเหตุนี้เมื่อทำเกษตรในที่ดินของตัวเอง ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ในทุกปีจึงไม่ค่อยดีนัก
เวลาต่อมาแม่ทัพเซี่ยจึงได้มอบหมายภารกิจนี้ให้กับเหล่าพลทหารที่ถูกปลดประจำการ เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บที่ไปออกรบไม่ได้ ซึ่งก็สามารถทำประโยชน์ให้พวกเขาได้นิดหน่อย
และค่ายทหารในปีนี้ก็ค่อนข้างคึกคักมากกว่าปีก่อน ๆ
“องค์ชายรอง ทรงใช้ปุ๋ยนี้ได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
บนพื้นที่ของค่ายทหาร เซี่ยสุยอันใช้ผ้าขนหนูปิดจมูกของตน เพราะปุ๋ยมูลสัตว์นั้นส่งกลิ่นแรงมากเกินทน
เขาหันมองคนข้าง ๆ อย่างอดไม่ได้ “ที่อยู่บนหน้าท่านคือสิ่งใดกัน”
หนานกงฉีโม่ “หน้ากาก ข้าเรียนรู้มาจากน้องหญิง”
น้ำเสียงนั้นฟังดูโอ้อวดเล็กน้อย ทำเอาหูของเซี่ยสุยอันที่ฟังอยู่ถึงกับด้านชากันเลยทีเดียว
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงน้อยช่างปรีชายิ่งนัก”
หนานกงฉีโม่หาได้สนใจพฤติกรรมเย้าแหย่ของเขา แต่กลับมองไปยังพลทหารที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำงานแทน
“ถึงแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ใช้มันที่นี่ แต่สิ่งนี้เคยใช้ในนาหลวงของเสด็จพ่อมาก่อนแล้ว หากใส่ปุ๋ยลงไปย่อมต้องเพิ่มผลผลิตได้อย่างแน่นอน”
ปุ๋ยนี้ถูกหมักเอาไว้นานแล้ว พวกเขาเลี้ยงสัตว์เอาไว้มากมาย ทั้งวัว แกะ ม้า หมู และอื่น ๆ อีกมากมาย
เดิมทีมูลสัตว์ที่เกิดจากปศุสัตว์พวกนี้มีมากเกินไป จึงค่อนข้างมีปัญหาเรื่องวิธีการจัดการ
แต่ในตอนนี้ มูลสัตว์พวกนั้นถูกผลิตเป็นปุ๋ยภายใต้คำสั่งขององค์ชายรองแล้ว มันจึงกลายมาเป็นปุ๋ยเกษตรดังเช่นทุกวันนี้
เมื่อองค์ชายรองรับสั่งเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เซี่ยสุยอัน กระทั่งแม่ทัพเฒ่าเซี่ยเองยังแอบคิดว่าสมองของเขาอาจผิดปกติไปแล้วเป็นแน่ ของสกปรกเช่นนี้จะให้นำมาราดลงบนที่นาได้อย่างไร!
หนานกงฉีโม่เองก็ไม่อยากเอ่ยถึง สวรรค์ทราบดีว่าจิตใจของเขาตั้งมั่นเพียงใดในการศึกษาหาวิธีทำปุ๋ยเพื่อนำมาเผยแพร่
เขาไม่อยากได้หน้าแต่อย่างใด ทว่าหากปีนี้ผลผลิตไม่ดี ไม่เพียงแต่เขาจะเสียหน้าเท่านั้น ผู้คนภายใต้ปกครองของเขาเองก็จะหนีหายไปด้วย
อย่างไรก็ตาม…เขาเชื่อมั่นในน้องสาวของตัวเอง!
ค่ายทหารมีพื้นที่กว้างใหญ่ หนานกงฉีโม่มีเมล็ดข้าวสาลีพันธุ์ดีที่น้องสาวมอบให้ แต่เนื่องด้วยปริมาณมีจำกัด ทั้งหมดทั้งมวลจึงสามารถปลูกได้ประมาณสองหมู่ครึ่ง ส่วนพื้นที่ที่เหลือจะปลูกข้าวสาลีพันธุ์ธรรมดา
นอกจากนี้ยังต้องเหลือพื้นที่เอาไว้อีกหลายร้อยหมู่เพื่อปลูกมันเทศ
น้องสาวเคยกล่าวว่าหากปลูกมันเทศในผืนทรายจะให้ผลดี มันเทศมีพลังชีวิตค่อนข้างสูง ไม่จำเป็นต้องฝนตกเยอะก็สามารถอยู่รอดได้ นอกจากนี้ยังเก็บน้ำได้ด้วย
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ หากกินมากเกินไปอาจทำให้ท้องอืดได้
แต่เป็นเฉพาะในผู้ที่กินจนอิ่มจัด ข้อเสียนี้จึงอาจไม่ได้มีผลต่อทุกคน
ทุกคนลงมือทำอย่างตั้งใจ การใช้วัวพร้อมกับคันไถทำให้การไถนาง่ายกว่าปีก่อนมาก นอกจากนี้หน้าดินที่ไถไปก็ลึกมากพอสมควร
แม้ว่าพื้นที่ค่ายทหารจะกว้างขวาง แต่จำนวนคนของพวกเขาก็มีกันเยอะมากเช่นกัน ทุกคนต่างร่วมด้วยช่วยกันทำงานมาตลอดเจ็ดแปดวัน กระทั่งไถหน้าดินเสร็จเรียบร้อยและเริ่มทำการเกษตรต่อ…
นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่หนานกงฉีโม่ไม่ลืม
เขากลับไปหยิบเมล็ดพืชรูปร่างอวบอ้วนที่ได้รับมาจากน้องสาว ก่อนจะเลือกสรรหุบเขาใหญ่ลูกหนึ่งกับแม่ทัพเซี่ย หลังจากนั้นก็นำคนไปไถหน้าดินด้วยความรีบเร่ง พอเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็หว่านโปรยเมล็ดลงไป
การตระเตรียมหน้าดินสำหรับเพาะปลูกในช่วงวสันตฤดูอันแสนวุ่นวายได้เสร็จสิ้นลงแล้ว หนานกงฉีโม่กำลังตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับการทำนาในแต่ละพื้นที่ต่าง ๆ ก่อนจะรีบเอ่ยถามบ่าวรับใช้ข้างกาย
“วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่เดือนอะไรแล้ว”
“ทูลองค์ชายรอง เป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนสามพ่ะย่ะค่ะ”
วันที่ยี่สิบสอง เดือนสาม
หนานกงฉีโม่ลุกขึ้นยืนพรวดในทันที “ไปกันเถอะ ข้าจะออกไปเดินเที่ยวเล่นเสียหน่อย เตรียมม้าให้พร้อม”
ใกล้จะถึงวันเกิดของเสี่ยวเป่าแล้ว เขาต้องรีบเลือกซื้อของขวัญแล้วส่งกลับไปโดยเร็วที่สุด หวังว่าจะส่งไปถึงก่อนวันเกิดของเสี่ยวเป่า
เขตชายแดนเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างชนเผ่าทุ่งหญ้าและอาณาจักรต้าเซี่ย ถึงแม้ว่าต้าเซี่ยจะคอยเฝ้าระวังพวกชนเผ่าทุ่งหญ้า แต่ด้วยความจำเป็นบางอย่าง ทั้งสองฝ่ายจึงลอบสร้างตลาดเพื่อทำการค้าขายระหว่างกันและกัน
สถานที่แห่งนี้มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป แต่เพราะต้องทำการค้าขายจึงไม่สามารถเฝ้าระวังได้ทั้งหมด แม่ทัพเซี่ยจึงคอยส่งคนมาลาดตระเวนที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ด้วยกังวลว่าพวกชนเผ่าทุ่งหญ้าที่มีเจตนาไม่ดีจะอาศัยประโยชน์จากช่องโหว่นี้
หลังจากที่พวกเขาแลกเปลี่ยนเสื้อขายขนแกะกับชนเผ่าทุ่งหญ้าในฤดูหนาว ในยามช่วงฤดูใบไม้ผลิที่นี่จึงมีชีวิตชีวามากขึ้น
อีกทั้งเสื้อขนสัตว์ของพวกเขาก็ขายในที่แห่งนี้ได้ดีมาก
ชนเผ่าทุ่งหญ้าเองก็เกรงกลัวความหนาวเหน็บ เสื้อขนสัตว์แสนอบอุ่นจึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก
นอกจากนี้ ราคาเสื้อขนสัตว์ที่พวกเขาขายให้กับชนเผ่าทุ่งหญ้าก็เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัว แต่ถึงจะทำเช่นนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายชนเผ่ามาทำการกว้านซื้อไปเยอะมาก
ตลาดค้าขายขนาดเล็กแห่งนี้ดึงดูดพวกคาราวานพ่อค้าจากต่างแดนมากมาย วันนี้หนานกงฉีโม่จึงมาที่นี่เพื่อดูว่าจะสามารถเลือกซื้อของขวัญให้เสี่ยวได้หรือไม่
อัญมณี หยก และมรกตที่สวยงาม
เจ้าตัวเล็กนั่นดูเหมือนจะชอบหินสวยงามพวกนี้
“นี่คือสิ่งใด”
หนานกงฉีโม่มองไปยังหินสีดำก้อนนั้นพลางขมวดคิ้ว
อันที่จริงเขาสามารถเข้าใจได้อยู่หากเป็นอัญมณี ทว่าเหตุใดหินสีดำนี่จึงถูกนำมาวางเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน
กองคาราวานพ่อค้าพวกนั้นใช้ภาษาเซี่ยเอ่ยตอบกลับ
“นี่เป็นหินที่พวกข้าเก็บได้ระหว่างทางมาที่นี่ ข้าเห็นว่ามันเป็นหินสีดำบริสุทธิ์ จึงอยากนำมาแลกเปลี่ยน หวังว่าจะมีคนถูกตาต้องใจมัน”
หนานกงฉีโม่ “…”
ถูกตาต้องใจสิ่งนี้ความรู้สึกคงพิลึกน่าดู
“เท่าไหร่หรือ ข้าอยากได้”
แต่น้องสาวของเขาเป็นพวกชอบสะสมสิ่งของแปลกประหลาด
“ห้าตำลึงเงิน”
“สิบอีแปะ”
พ่อค้า “…”
เจ้าต่อรองได้ไม่ปรานีกันเลยสักนิด ขนาดลดราคาเพียงนี้แล้ว แต่ยังไม่ลดโหดเท่าราคาที่เจ้าต่อรองเลย!
“สามตำลึง!”
“สิบอีแปะ”
“ไม่ได้ เจ้าต้องเพิ่มอีกสักหน่อย”
หนานกงฉีโม่ “ก็ได้ สิบเอ็ดอีแปะ”
พ่อค้า: …ไยเจ้าหน้าด้านถึงเพียงนี้
ท้ายที่สุดหนานกงฉีโม่ก็ซื้อหินสีดำก้อนนั้นได้ในราคาสิบห้าอีแปะ
หลังจากซื้อของพวกนี้แล้ว หนานกงฉีโม่ก็ไปซื้อเมล็ดพันธุ์พืชที่ไม่รู้จักเพิ่มอีก
ถึงอย่างไรขอเพียงแต่เป็นเมล็ดพันธุ์พืช ไม่ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับมันหรือไม่ก็ล้วนซื้อมาทั้งหมด
เขาไม่รู้แต่น้องสาวของเขารู้ดี
ครั้นซื้อสิ่งของเสร็จแล้วก็บรรจุใส่เกวียนม้าเพื่อจัดส่งไปยังเมืองหลวง
ทว่าของของเขายังไม่ทันจะได้ถูกจัดส่ง ของจากเมืองหลวงก็ได้มาถึงก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว