ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 7

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

           “เอ๊ะ!?” 

           อยู่ๆ ก็มีคนทัก ฉันที่กำลังคิดอะไรเพลินเลยตกใจจนส่งเสียงแปลกๆ ออกไป

           นิโนะมิยะยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเจื่อนให้ฉัน

           “ทำให้ตกใจสินะ ขอโทษด้วย” 

           “ไม่เป็นไรๆ พอดีคิดอะไรเพลินๆ น่ะ นิโนะมิยะคุงจะกลับแล้วหรอ?” 

           ฉันสังเกตว่าเขาสะพายกระเป๋า ถือร่มอยู่ คิดว่าคงจะเตรียมตัวกลับบ้าน

           “จะกลับแล้วล่ะ วันนี้ฝนตก ชมรมเลยเลิกเร็ว” 

           “อ่ออ.. ดีเลยเนอะ” 

           ฉันตอบกลับไปแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ นิโนะมิยะยังคงมองมาที่ฉัน สีหน้าเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรอยู่

           “เอ่ออ..คุณโอโตเมะไม่ได้เอาร่มมาหรอ?” 

           “อะ..อื้ม ไม่คิดว่าฝนจะตกช่วงเย็นน่ะ” 

           “ยืมร่มผมก่อนไหม?” 

           นิโนะมิยะยื่นร่มให้ฉัน แต่คงเห็นฉันทำหน้างงๆ เลยหดมือกลับไป

           “ขอโทษที อยู่ดีๆ ยื่นร่มให้แบบนี้ คงลำบากใจแย่เลย” 

           นิโนะมิยะขอโทษฉันสองครั้งในเวลาไม่ถึง 10 นาที เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเขาเป็นคนคิดมากขนาดนี้

           “ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันไม่ได้คิดมากอะไร แค่สงสัยว่านิโนะมิยะพกร่มมา 2 อันเลยหรอ” 

           คราวนี้เป็นนิโนะมิยะที่เป็นฝ่ายทำหน้างงบ้าง เห็นแล้วก็ตลกดี

           “ก็นิโนะมิยะคุงให้ฉันยืมร่มอันนี้แล้ว ตัวเองจะเอาร่มที่ไหนใช้ล่ะ จริงไหม ฉันก็เลยสงสัยว่านายพกร่มมา 2 น่ะ” 

           “อ่อ… ฮ่าๆ ขอโทษที บางทีผมก็ตามบทสนทนาไม่ทันน่ะ เพื่อนคนอื่นก็บ่นอยู่ ฮ่าๆๆ” 

           นิโนะมิยะหัวเราะร่วน ฉันเองก็ยิ้มตาม การที่มีหนุ่มหล่อมายืนหัวเราะให้ดูในระยะประชิดแบบนี้ก็เป็นอาหารตาดีเหมือนกัน พนัน 100 เยนเลยว่าถ้าผู้หญิงในห้องคนอื่นรู้ คงอิจฉาฉันจนคลั่งแน่ๆ

           “ผมเอาร่มมาอันเดียว แต่เดี๋ยวผมวิ่งฝ่าฝนกลับได้ สบายมาก” 

           เขาบอกว่าจะเอาร่มให้ฉันแล้ววิ่งฝ่าฝนกลับ ทำเอาใจเต้นตึกตักเลยทีเดียว คนอะไรหล่อแล้วยังใจดีอีก แต่ฉันก็ยังมีสามัญสำนึกอยู่ จะรับร่มมาแล้วให้เขาตากฝนกลับ ถ้าคนอื่นรู้คงไม่ใช่แค่อิจฉา แต่น่าจะฆ่าฉันแทน

           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันรอฝนหยุดดีกว่า” 

           ปฏิเสธนิโนะมิยะ โดยอ้างเหตุผลแบบนั้นไป แต่เหมือนนิโนะมิยะจะยังไม่ยอมตัดใจ เขาจึงชวนฉันกลับบ้านพร้อมกัน

           “งั้นกลับด้วยกันไหม ร่มคันนี้ค่อนข้างใหญ่ คลุมสองคนได้สบาย ยังก็กลับทางเดียวกันอยู่แล้วด้วย” 

           เจอคำชวนแบบนี้เข้าไป ฉันถึงกับต้องมองหน้านิโนะมิยะตรงๆ เผื่อจะเจออะไรเคลือบแฝงเบื้องหลังคำชวนนั้น แต่ก็เห็นแค่ใบหน้าเปื้อนยิ้มการค้าแบบปกติ

           [‘คงไม่ได้คิดอะไรหรอก อีกอย่างก็อยากกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่เร็วๆ เหมือนกัน’] 

           ฉันหันมองรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีนักเรียนคนไหนอยู่แถวๆ นั้น จึงตกลงขอติดร่มนิโนะมิยะกลับบ้าน

           อีเว้นท์การแชร์ร่มนี้ฉันเคยอ่านเจอในโซโจมังงะอยู่บ่อยๆ ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสทำกับเขาด้วย

           เป็นครั้งแรกที่เดินคู่กับผู้ชายใกล้กันชนิดไหล่ชนไหล่ ไอฝนเย็นฉ่ำยิ่งทำให้รู้สึกว่าไหล่ที่กระทบกันอยู่นั้นร้อนมากกว่าปกติ

           เราสองคนเดินไปเงียบๆ ท่ามกลางเสียงฝนมีเสียงหนึ่งที่ดังชัดขึ้นมาในหู

           เสียงหัวใจเต้น!!

           ฉันรู้สึกได้ว่าใจเต้นแรงกว่าปกติ เหมือนหน้าจะร้อนผะผ่าวด้วย ฉันไม่รู้ว่าหน้าตัวเองจะเป็นยังไง แต่คิดว่าคงน่าอายอยู่

           นิโนะมิยะเดินมาส่งถึงหน้าบ้าน ฉันกำลังจะบอกขอบคุณเขา แต่เขาเอ่ยปากออกมาก่อน

           “พรุ่งนี้เช้าไปบ้านไทจิพร้อมกันไหม เดี๋ยวผมมารับ ยังไงก็ผ่านทางนี้อยู่แล้ว คุณโอโตเมะเองก็ไม่รู้จักบ้านไทจิใช่ไหมล่ะ?” 

           ฉันคิดแล้วก็เห็นว่าที่นิโนะมิยะพูดก็มีเหตุผล การงมหาบ้านคนอื่นจากแอปพลิเคชันแผนที่ในโทรศัพท์ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยนัก ไปกับคนรู้ทางยังไงก็สะดวกกว่า

            เรานัดเจอกันตอน 8 โมงเช้าเผื่อเวลาสำหรับเดินทางไปสถานที่ติวซึ่งนัดกันที่นั่น 9 โมง

           ฉันขอบคุณนิโนะมิยะแล้ววิ่งเข้าบ้าน พอดีจังหวะแม่เปิดประตูออกมาพอดี

           “อ้าว กลับมายังไง เปียกฝนมาหรือเปล่า?” 

           แม่ถามฉันที่วิ่งเข้าบ้านมา

           “ติดร่มเพื่อนมาน่ะ เพิ่งโดนฝนตอนวิ่งเข้าบ้านนี่แหละ” 

           “งั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดผม เช็ดตัวให้แห้ง ระวังจะเป็นหวัดเอา” 

           แม่ปิดประตูแล้วเดินตามฉันเข้ามาในบ้าน สักพักก็ได้ยินเสียงพ่อกับพี่ คงจะเพิ่งกลับมาจากทำงาน

           ฉันลงไปช่วยแม่ทำอาหารระหว่างรอพ่อกับพี่อาบน้ำ แม่ถามถึงเรื่องที่โรงเรียนว่าเป็นยังไงบ้าง? ปรับตัวได้หรือยัง? แล้วหนุ่มที่มาส่งนั่นเป็นใคร?

           ฉันมองหน้าแม่ตอนที่เจอคำถามสุดท้ายนั่น แต่แม่ก็แค่ยิ้มๆ

           “เป็นไงล่ะ หล่อใช่ม้า ฮิๆๆ” 

           ฉันพูดเล่นกับแม่ ก่อนจะอธิบายเรื่องราวไปตามจริง แม่รับฟังฉันเงียบๆ แต่รอยยิ้มบนหน้าไม่ยอมหายไปเลย

           มื้อเย็นวันนี้ยังคงอร่อยเหมือนเดิม ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือแม่ แต่พวกสลัดกับเครื่องเคียงบางอย่างเป็นฝีมือฉัน

           “จริงซิยูกิโนะ ลูกจะย้ายของออกวันไหนล่ะ? จะให้พ่อมาช่วยขนไหม หรือจะใช้บริการขนส่ง” 

           หลังกินอิ่ม พ่อถามพี่เรื่องย้ายออก 

           [‘ย้ายออก? ย้ายไปไหน?’] 

           ฉันที่กำลังงง มองพี่กับพ่อคุยกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

           “เดือนหน้าค่ะ หนูติดต่อหาห้องใหม่ได้แล้วจะเข้าไปอยู่เดือนกรกฎาคม ส่วนบ้านนี่ก็จะคืนเขาสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ค่ะ” 

           “อืมมม..น่าเสียดายนะ บ้านดีขนาดนี้แถมค่าเช่าถูกอีก” 

           “ช่วยไม่ได้นิคะ ที่ทำงานใหม่อยู่ไกลจากที่นี่มาก ห้องใหม่ที่ดูไว้ก็ไม่แพงมากค่ะ ถึงจะเล็กกว่าที่นี่ แต่ความสะดวกสบายไม่ด้อยกว่ากันเท่าไรนัก” 

           “ลูกว่าดีก็ดีแล้ว” 

           คุยจบ พ่อก็จิบกาแฟหลังอาหาร ส่วนพี่หันมาถามฉันว่าทำหน้าอะไรอยู่

           “นี่พี่จะย้ายที่อยู่ใหม่หรอ?” 

           “ฉันยังไม่ได้บอกเธอนินะ พอดีฉันได้ย้ายไปเป็นรองหัวหน้าสาขาที่เมืองข้างๆ น่ะ เลยจะย้ายไปอยู่ที่เมืองนั้น” 

           “เอ๊ะ เลื่อนตำแหน่งหรอ?” 

           “ก็ใช่แหละ แต่จุดประสงค์หลักคือให้ไปช่วยพัฒนาสาขานั้นน่ะ ถ้าทำยอดได้ดีฉันอาจได้เป็นหัวหน้าสาขาก็ได้นะ อิๆๆ” 

           พี่อธิบายสาเหตุที่ต้องย้ายบ้านให้ฟัง และฉันก็ตื่นเต้นดีใจที่พี่ได้เลื่อนตำแหน่ง พี่เป็นคนเก่ง ก่อนหน้านี้ที่โหมทำงานคงเพราะต้องเตรียมอะไรหลายๆ อย่างแน่ๆ

           แต่เดี๋ยวก่อนนะ… พี่ย้ายบ้าน… บ้านนี้คืนเจ้าของ… แล้วฉันล่ะ?

           “พี่!!! ถ้าคืนบ้าน แล้วฉันจะไปอยู่ไหนล่ะ?” 

           ฉันถามพี่เสียงดังจนพ่อกับแม่สะดุ้ง พี่เองก็มองฉันเหวอๆ คงตกใจที่อยู่ดีๆ ฉันก็เสียงดังขึ้นมา

           “เธอก็กลับไปอยู่ที่บ้านกับพ่อกับแม่ซิ” 

           “หา… แต่ที่บ้านมันอยู่ห่างจากโรงเรียนนิ ที่นี่ใกล้กว่าตั้งเยอะ” 

           “ก็แค่ตื่นให้เข้าขึ้นหน่อยแค่นั้นเอง” 

           ฉันเถียงกับพี่เรื่องบ้านอยู่พักใหญ่ สุดท้ายแม่ก็เข้ามาไกล่เกลี่ยและยกเหตุผลที่ฉันก็เข้าใจดีตั้งแต่แรกมากล่อมฉัน

           ก่อนนอนฉันคุยเรื่องนี้กับเซริ เธอปลอบฉัน บอกให้ฉันทำใจให้สบายๆ แค่ตื่นให้ไวขึ้นเท่านั้นเองแล้วก็หัวเราะฉัน ชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าเธอปลอบหรือซ้ำเติมกันแน่

           “เมื่อเย็นแม่ถามเกี่ยวกับนิโนะมิยะคุงด้วย” 

           ฉันเปิดประเด็นเรื่องนิโนะมิยะ และแน่นอนว่าเซริมีปฏิกิริยาโต้ตอบแบบทันทีทันควัน

           ฉันเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลับบ้านให้เซริฟัง รวมถึงเรื่องที่พรุ่งนี้นิโนะมิยะจะมารับที่บ้านและไปติวพร้อมกัน

           “อามายะ เธอไม่ได้รู้สึกพิเศษกับนิโนะมิยะคุงแน่นะ?” 

           เสียงของเซริที่ดังผ่านลำโพงโทรศัพท์ดูจริงจังกว่าปกติ ฉันคิดตามคำถามนั้น ลองค้นหาความรู้สึกลึกๆ ในใจตัวเอง ฉันคิดยังไงกับนิโนะมิยะ?

           “รู้สึกพิเศษที่เธอว่านี่คืออะไรล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจความรู้สึกรักใคร่อะไรแบบนั้นนะ แต่กับนิโนะมิยะคุง ฉันรู้สึกว่ามันไม่ถึงขั้นนั้น ฉันตื่นเต้นดีใจนะ บางทีก็เขินเวลาเขาทำโน่นทำนี่ให้ฉันน่ะ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดเวลา ฉันคุยกับเขาได้ปกติเหมือนคุยกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นในห้อง ไม่ได้คิดถึงหรืออยากอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา เธอว่าแบบนี้เป็นความรู้สึกพิเศษอะไรไหม?” 

           ฉันอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้เซริฟัง เธอเงียบไปพักนึงแล้วก็ตอบกลับมา

           “คิดว่าไม่นะ แต่นิโนะมิยะคุงล่ะ คิดยังไงกับเธอ?” 

           ฉันเงียบ เพราะไม่รู้จะตอบยังไง

           “ฉันว่าถ้าเธอไม่ได้คิดอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กันนิโนะมิยะคุง เธอควรจะจัดการระยะห่างให้ชัดเจนนะ แต่ถ้าเธอยังไม่แน่ใจก็ควรระวังตัวเองให้มากขึ้น นิโนะมิยะคุงเข้าหาเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่น ฉันสังเกตได้ คนอื่นก็สังเกตได้ ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ความอิจฉามันน่ากลัวนะอามายะ” 

           “อืมมม..ขอบคุณที่เตือนนะ ฉันจะระวัง” 

           ฉันขอบคุณเซริที่เตือนแล้วเราก็คุยกันเรื่องติวสอบ ซึ่งฉันตั้งใจจะให้รุ่นพี่คาวากุจิมาติวให้ฉันกับเซริ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน

                                                                  —

           วันนี้ฉันมีนัดไปติวกับเพื่อนตอน 9 โมงเช้า แต่ตอน 8 โมง นิโนะมิยะจะมารับฉันก่อนแล้วออกไปพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันถึงเวลานัดนิโนะมิยะก็มาถึงแล้ว แถมนั่งรอฉันอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วย

           คนที่ไปเจอนิโนะมิยะยืนอยู่หน้าบ้านคือคุณพ่อที่กำลังจะออกไปทำงาน หลังพูดคุยซักถามกันแล้วก็เลยชวนนิโนะมิยะเข้ามารอในบ้าน

           สรุปคือฉันต้องรีบกินข้าวเช้าแล้วออกจากบ้านเร็วกว่าที่คิด เพราะทนกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของแม่กับพี่ไม่ไหว

           “ขอโทษนะ ผมมารบกวนแต่ช้าเลย” 

           นิโนะมิยะเอ่ยขอโทษฉันหลังเราเดินออกมาจากบ้านเล็กน้อย ฉันบอกเขาว่าไม่เป็นไร ใจก็คิดว่าหมอนี่ขี้เกรงใจ แล้วก็ขอโทษคนง่ายจริง 

           ไม่ใช่ไม่ชอบเวลาคนอื่นมาขอโทษหรอกนะ แค่คิดว่าพูดขอโทษง่ายๆ ให้มันจบๆ ไป มันดีจริงๆ หรอ

           ฉันตามนิโนะมิยะไปเพราะไม่รู้จักบ้านของคนที่ชื่อไทจิ เขาพาฉันขึ้นรถไฟไป 3 สถานี ไปยังย่านการค้าและแหล่งท่องเที่ยวครั้งก่อนที่ฉันมาแถวนี้คือตอนที่มาห้างบันโชวกับรุ่นพี่คาวากุจิแล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับแฟนหนุ่มของรุ่นพี่ รวมถึงหมอนั่นด้วย

           เราเดินกันไปอีกประมาณ 20 นาที ก็มาถึงอพาร์ตเมนต์หรูแห่งหนึ่ง

           นิโนะมิยะติดต่อไปหาเพื่อนจากจุดติดต่อข้างล่าง ไม่นานนักคนที่ชื่อไทจิก็ลงมารับ

           “นายมาถึงเร็วนะ คนอื่นกำลังมา ยังไงไปรอที่ห้องก่อน” 

           ไทจิทักทายนิโนะมิจะเสร็จก็เหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นฉัน เขาเบิกตาเลิกน้อยแล้วหันไปมองนิโนะมิยะก่อนหันมาทักทายฉัน

           “อรุณสวัสดิ์คุณโอโตเมะ เชิญเลยๆ” 

           “ขอรบกวนด้วยนะ” 

           ฉันยิ้มให้เขาแล้วเดินตามทั้งสองคนขึ้นไปข้างบน

           ความรู้สึกแรกที่เห็นห้องของนายไทจิคนนี้คือ 

           หมอนี่รวย รวยมาก!!

           ถึงรูปแบบห้องจะเป็นรูปแบบมาตรฐานอพาร์ตเมนต์ทั่วไป แต่ขนาดของห้อง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในบ่งบอกถึงฐานะเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี แถมทำเลที่ตั้งของอพาร์ตเมนต์นี้อีก ใจกลางเมืองแบบนี้ ไม่มีเงิน ไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้

           ไทจิพาฉันกับนิโนะมิยะไปพักที่ห้องนั่งเล่นที่น่าจะมีขนาดไม่ต่ำกว่า 30 เสื่อ มิน่าถึงได้กล้าบอกว่ารับคน 20 คนได้สบายๆ

           ในห้องมีโต๊ะและเบาะรองนั่งวางไว้แล้ว ฉันนั่งรอไม่นานนักคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยมา

           เวลาล่วงเลย 9 โมงมานิดหน่อย สมาชิกก็มากันครบ ผู้ชาย 4 และ ผู้หญิง 6 แบ่งเป็นสองกลุ่มแยกชายหญิง สมาชิกกลุ่มผู้ชายมาจากห้องเดียวกันกับฉันหมด แต่กลุ่มผู้หญิงมี 3 มาจากห้องเดียวกับฉันจึงคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ส่วนอีก 3 คน คือคุณทาเคโนะอุจิกับเพื่อนของเธอ

           ฉันรู้จักคุณทาเคโนะอุจิอยู่แล้ว เพราะเราทำงานสภาด้วยกัน แต่เพราะเธอไม่ค่อยพูดคุยตอนทำงาน ฉันจึงไม่ได้สนิทด้วย

           พวกเราหกคนแนะนำตัวพอเป็นพิธีและเริ่มอ่านหนังสือกัน โดยคุณทาเคโนะอุจิเสนอว่าชั่วโมงแรกลองทบทวนด้วยตัวเองก่อน แล้วชั่วโมงที่สองค่อยผลัดกันซักถามตรงที่ไม่เข้าใจ ใครถนัดวิชาอะไรก็ช่วยติวให้เพื่อน

           ทุกคนเห็นด้วยกับวิธีนี้ ฉันเองที่ไม่มีวิชาไหนอ่อนหรือถนัดเป็นพิเศษจึงยังไงก็ได้

           ชั่วโมงแรกของการติวผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันเงยหน้าจากแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษแล้วยืดแขนบิดขี้เกียจ พวกผู้ชายโอดครวญว่านิโนะมิยะเคี่ยวพวกเขามากเกินไปก่อนรวมตัวกันเรียกร้องเวลาพัก

           นิโนะมิยะทนเพื่อนรบเร้าไม่ไหวก็หันมาถามทางกลุ่มผู้หญิง พวกเราจึงตกลงพักกัน 15 นาที คำตอบนี้เป็นที่ถูกใจของพวกไทจิและอีกสองคน พวกเขาพากันออกไปเอาขนมและเครื่องดื่มมาบริการทุกคน

           ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อน อาซาวะก็เอ่ยถามลอยๆ ขึ้นมา

           “เน่..เที่ยงนี้เรากินอะไรกันดี?” 

           ประเด็นของมื้อเที่ยงถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันระหว่างพัก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าโทรสั่งอาหารเข้ามาง่ายที่สุด ก่อนเจ้าของบ้านจะเดินไปหยิบโปรชัวร์อาหารหลายใบมาส่งให้ทุกคน

           “เอาอันไหน เลือกเลย” 

           เวลาพักหมดไปกับการเลือกและโทรสั่งอาหาร หลังจากนั้นก็เราก็กลับมาติวกันต่อ ตอนนี้ใครที่สงสัยหรือไม่เข้าใจก็ผลัดกันถามผลัดกันตอบ แต่เอาจริงๆ คนที่ถูกถาม และเป็นคนที่ตอบมากที่สุดคือคุณทาเคโนะอุจิ

           เธอตอบคำถามของเพื่อนได้ทุกข้อ แถมทุกวิชา เรียกว่าตอบได้หมดแถมแนะนำเทคนิคหรือวิธีการจำง่ายๆ ให้ด้วยสมแล้วที่ได้รับสมญานามเทพธิดาสุดคูล

           ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกไม่ว่าจะหน้าตาหรือรูปร่างที่เรียกว่าสวยเพอร์เฟคจนแม้แต่ฉันที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังยอมรับ บวกกับความสามารถในการเรียนระดับสูงชนิดที่ว่าสอบเข้าด้วยคะแนนอันดับหนึ่งที่แม้จะเป็นอันดับหนึ่งร่วมกับนิโนะมิยะ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะการันตีความสามารถของเธอ

           อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอได้รับความนิยมคือนิสัยและการวางตัวที่ดูเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ก็ไม่ได้หยิ่ง มียิ้ม มีหัวเราะ และมีเพื่อนปกติเหมือนคนทั่วไป กลายเป็นสาวสุดคูลตอนอยู่นิ่งๆ และเป็นเทพธิดาที่ทำให้ใจละลายได้ด้วยรอยยิ้ม

           “คุณโอโตเมะสงสัยตรงไหนหรือเปล่า?” 

           [‘อึก เผลอมองเธอแล้วคิดเพ้อเจ้อมากไปหน่อย’] 

           คุณทาเคโนะอุจิคงเห็นว่าฉันมองเธออยู่จึงถามขึ้น ฉันที่มัวแต่คิดเรื่องไร้สาระจึงชะงักไปเล็กน้อย

           “เปล่าหรอก แค่คิดว่าคุณทาเคโนะอุจิเก่งจริงๆ ด้วย ฉันเทียบไม่ติดเลยอิจฉานิดๆ น่ะ” 

           คุณทาเคโนะอุจิเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนยิ้มหวานให้ฉัน อ่า…นี่ซินะ ยิ้มละลายใจที่พวกผู้ชายฝันถึง

           “ฉันแค่ศึกษาบทเรียนล่วงหน้าน่ะ แล้วก็ทบทวนเนื้อหาเป็นประจำ ฉันคิดว่ามันช่วยได้เยอะเลยนะ” 

           [‘ให้ตายเถอะ สวยแล้วยังถ่อมตัว ชักจะหลงเธอซะแล้ว’] 

           “งั้นฉันต้องลองบ้างแล้ว ไม่งั้นสอบไม่ผ่านแน่” 

           คนอื่นๆ ก็เออออตามฉันไป คุณทาเคโนะอุจิหัวเราะเบาๆ แล้วก็เริ่มติวกันต่อ

           รู้สึกตัวอีกทีพวกผู้ชายก็ขนของกินที่สั่งไปเข้ามาในห้อง(255,=”” 255,=”” 255);”=””> ฉันเงยหน้ามองนาฬิกาพบว่าตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว

           พวกเราพักกินอาหารกลางวัน พุดคุยเล่นเรื่อยเปื่อย จนเกือบถึงบ่าย ไทจิคุงก็ลากเครื่องเล่นเกมออกมา พวกผู้ชายยกเว้นนิโนะมิยะเข้าไปล้อมวงต่อเครื่องเล่นเกมเข้ากับทีวี แล้วหันมาชวนทุกคนเล่นเกม

           เครื่องเล่นของไทจิคุงเล่นได้พร้อมกัน 4 คน แถมทีวีก็จอมหึมา เรียกว่าเหมาะสำหรับเล่นเกมสุดๆ

           ฉันที่รู้สึกว่าวันนี้ติวได้ตามเป้าหมายแล้ว ที่เหลือกลับไปทบทวนเพิ่มเติมเอาเองได้ตัดสินใจลุกไปร่วมวงเล่นเกมกับพวกไทจิคุง สุดท้ายเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนที่อยู่ห้องเดียวกันก็ตามมา กลายเป็นทีมชาย 3 หญิง 3 เหลือนิโนะมินะกับคุณทาเคโนะอุจิที่นั่งติวให้เพื่อนอีกสองคน

           พวกเรารวมตัวกันอยู่ที่บ้านของไทจิคุงจนถึงประมาณ 3 โมงเย็นจึงแยกกันกลับ ฉันกลับพร้อมนิโนะมิยะ อาซาวะกลับกับเพื่อนร่วมห้องอีกสองคน ส่วนคุณทาเคโนะอุจิกลับกับเพื่อนที่มาด้วยกัน เราเดินไปสถานีรถไฟรถไฟด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ 9 คน ฉันพูดคุยกับอาซาวะและเพื่อนผู้หญิงที่เล่นเกมด้วยกันจนถึงสถานีรถไฟ

           ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน นิโนะมิยะบอกลาเพื่อนคนอื่นจนมาถึงคุณทาเคโนะอุจิก็เห็นเธอเหม่อมองไปอีกฟากของช่องตรวจตั๋ว พอมองตามไปก็..

           [‘เอ๊ะ!?’] 

           คุณทาเคโนะอุจิพึมพำเสียงเบา สายตามองไปยังกลุ่มคนที่เดินหายเข้าไปในรถไฟ

           “คุณทาเคโนะอุจิ?” 

           นิโนะมิยะเรียกคุณทาเคโนะอุจิอีกครั้ง เธอจึงรู้สึกตัวหันมาตอบเขา

           “จ้ะ เจอกันที่โรงเรียน” 

           นิโนะมิยะมาส่งฉันถึงหน้าบ้าน หลังบอกลาเขาก็เดินกลับไป ระหว่างทางกลับเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก นิโนะมิยะทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ และฉันเองก็ไม่ได้อยากจะรู้ขนาดนั้น

           เดินเข้ามาในบ้านทุกอย่างเงียบสนิท พ่อกับแม่กลับไปแล้ว พี่คงออกไปไหนสักที่ เดินเข้าไปในครัวหาน้ำดื่มก็เจอกับข้าวที่แม่ทำทิ้งไว้ให้ในตู้เย็น

           ฉันยิ้มแล้วหยิบน้ำออกมาดื่ม พออยู่คนเดียวแบบนี้ก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันกว้างเกินไปจริงๆ กว้างเกินกว่าจะอยู่คนดียวโดยไม่รู้สึกเหงา

           “อาจจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหละที่ย้ายกลับบ้าน จะได้ไม่ต้องทนเหงาเวลาพี่ไม่อยู่ด้วย” 

           วางแก้วน้ำไว้แล้วฉันก็เดินขึ้นห้อง ใจอยากจะโทรศัพท์ไปเมาท์มอยกับเซริแต่ไม่รู้ว่าเพื่อนกลับจากเดตหรือยัง แหงนหน้ามองนาฬิกาก็รู้สึกว่าเร็วไปที่จะกินมื้อเย็น คิดไปคิดมาก็หยิบหนังสือขึ้นมาทบทวนที่ติวไปวันนี้เพิ่มเติมดีกว่า

           เครื่องปรับอากาศครางฮึมเบาๆ เปลี่ยนอากาศอบอ้าวในห้องให้ค่อยๆ เย็น ฉันเปิดหนังสือขึ้นมาสายตาไล่ตามแบบฝึกหัดที่ทำไปวันนี้ แต่ใจคิดถึงเหตุการณ์ที่สถานีเมื่อตอนขากลับ

           [‘เอชหรอ?’ ] 

           คุณทาเคโนะอุจิที่พึมพำแบบนั้นกำลังมองไปที่ใครกันนะ

           ตอนที่มองตามสายตาคุณทาเคโนะอุจิไปฉันมั่นใจว่าเห็นผู้ชายสองคน

           นาคาจิมะ ยูทากะ แฟนของรุ่นพี่คาวากุจิ กับ…

           อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่ชมดวงตาของฉัน

           “เธอรู้จักทั้งสองคนหรอ? หรือแค่คนใดคนหนึ่งกันนะ?” 

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน