เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 121 จักจั่นกับฝนใบไม้ผลิไม่ควรอยู่ร่วมกัน

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 121 จักจั่นกับฝนใบไม้ผลิไม่ควรอยู่ร่วมกัน

“หนิงอี้…เจ้ามีวิธีรึ”

สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก

หนิงอี้ที่เก็บเข็มทิศหัวเราะเบาๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “แน่นอนว่ามี เพียงแต่ต่อไปอาจจะเกิดแรงปะทะเล็กน้อย…เจ้าต้องกอดข้าไว้แน่นๆ”

สวีชิงเยี่ยนตอบอืม สองมือยื่นไปข้างหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ โอบเอวหนิงอี้ไว้

หนิงอี้มีสีหน้าจริงจังขึ้นทีละนิด

เขาไม่ได้จะเอาเปรียบเด็กสาวข้างหลัง…แต่เพราะ ต่อไปอาจจะเกิดแรงปะทะรุนแรงจริงๆ ขลุ่ยกระดูกข้ามจุดแปลกได้ แต่ไม่อาจเลี่ยงผนึกที่ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณวางไว้ได้ ไม่มีใครรู้ว่าหลังข้ามจุดแปลกแล้ว หนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยนจะไปถึงที่ใด แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้

ที่ที่พวกเขาไปต่างกับที่ที่สององค์ชายนั่นไป

อีกทั้งต้องไปลึกกว่าแน่นอน

นี่คือความพิเศษของจุดแปลก ผู้บุกเบิกของภูเขาแดง ตั้งใจทำทางเข้าแดนต้องห้ามบุพกาลไว้สองแห่ง และยังวางจุดแปลกไว้อย่างแยบยลยิ่ง เช่นนั้นจะต้องมีเป้าประสงค์พิเศษแน่นอน

“เตรียมพร้อมนะ…สาม สอง หนึ่ง”

ทันทีที่พูดถึงคำว่าหนึ่ง หนิงอี้กดนิ้วมือบนผนังหิน แสงสว่างของที่ราบกระดูกรวมที่ปลายนิ้ว

สวีชิงเยี่ยนหรี่ตาลง

หินภูเขายักษ์พลันลอยขึ้น ทุกอย่างเป็นจินตนาการในทะเลสาบวิญญาณ เหมือนอยู่กลางที่ราบมืดมิด หน้าหลังซ้ายขวาเป็นความมืดกับอากาศธาตุสลัวตัดสลับกัน นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าเด็กหนุ่มที่ตนกอดเอวอยู่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

หนิงอี้ที่ตั้งสมาธิรู้สึกว่าในความคิดเหมือนถูกค้อนทุบอย่างแรง ทั้งตัวถูกทุบกระเด็นออกไป เขาขี่กระบี่เดินหน้า อาศัยจิตใจแน่วแน่จนมาถึงที่นี่ ตอนนี้ถือว่าเป็นตะเกียงน้ำมันหมดแล้ว การเดินทางภูเขาแดงครั้งนี้ อย่างน้อยตอนนี้ บาดแผลทางกายของเขาก็ยังไม่เจ็บเท่าค้อนทุบที่จิตใจ

ดวงตายักษ์คู่หนึ่ง เปิดขึ้นบนฟ้าทะเลสาบจิตของสองคน

“ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ…”

ในคอหนิงอี้มีเลือดไหลออกมา เขาเหมือนอยู่บนทะเลสาบจิต จ้องดวงตาเปิดคู่นั้นเขม็ง เคยเห็นบนภูเขาแดงแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ฝ่าจุดแปลก ข้ามมิติ ก็ได้พบอีกครั้ง…ดวงตาคู่นั้นปกปิดอำนาจคุกคามของตนไม่มิด ถาโถมลงมาด้วยน้ำหนักทั้งหมด

พินิจเหมันต์ร้องเสียงดัง

ภาพมายากับความจริงรวมกัน หนิงอี้ชักกระบี่ยาวที่ผูกไว้ตรงเอว ฟันแสงกระบี่มหึมา เจตจำนงกระบี่ลากยาวดุจสายรุ้ง ฟันไปต่อเนื่องกัน เขาใช้สองมือถือกระบี่ เด็กสาวข้างหลังเหมือนรู้สึกถึงความฉุนเฉียวของตน อยากจะใช้ร่างกายทำให้ตนได้สติ

ดังนั้นแรงที่กอดเอวหนิงอี้จึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุด สวีชิงเยี่ยนแนบเข้ามาทั้งตัว ร่างกายนุ่มนิ่มมีกลิ่นหอม ส่งความเป็นเทพเข้าไปในกายเด็กหนุ่ม

ความเจ็บปวดของหนิงอี้เบาลงไปชั่วขณะ

เขาใช้สองมือจับกระบี่ หอบหายใจแรง ทุกลมหายใจจะผ่านวันเหมือนผ่านปี

ในที่สุดความมืดมิดตรงหน้าก็หายไปช้าๆ ดาราสีทองกระโดดผ่านไปมากมาย สุดท้ายหายไป หนิงอี้ยิ้มอ่อนล้า เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ตนจ้องถมึงทึงเป็นเพียงผนังหินน้ำแข็งแห้ง ข้างหลังเหมือนจะมีเสียงน้ำไหลหยดดังติงๆ โดยรอบไม่ใช่ไอร้อนระอุอีก แต่เป็นไอหนาวเยือก

เขาพ่นลมหายใจ ปักพินิจเหมันต์ลงพื้น ตบสองมือเด็กสาวที่กอดเอวตนไว้แน่น…สื่อว่าไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยมือได้

จากนั้นหนิงอี้ปักกระบี่ยาว ก้าวซวนเซหันหลังพิงผนังหิน นั่งลงบนพื้นช้าๆ

เขามองเด็กสาวนั้นที่หน้าซีดขาวเช่นกันตรงหน้าตน สวีชิงเยี่ยนดูดีกว่าตนมาก…กำลังวังชาส่วนใหญ่ถูกตนต้านไว้ นางยังคงเก้าผิดเล็กน้อย เกือบจะล้มลง

หนิงอี้หัวเราะเสียงดัง

สวีชิงเยี่ยนคลึงแก้ม นางมองไปรอบๆ ไม่กล้าเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า

นางไม่เข้าใจเลยว่าหนิงอี้ทำได้อย่างไร จากด้านนั้นของภูเขาแดงก็ข้ามผ่านปราการ พาตนมาอีกมิติได้

สวีชิงเยี่ยนพูดพลางถอนหายใจ “นี่คือจุดแปลกรึ นี่คือ…เรื่องน่าสนใจนั่นที่เจ้านึกได้ก่อนหน้านี้รึ”

“นี่ก็คือจุดแปลก…หรือเจ้าคิดว่ามันน่าสนใจมากนักหรือ” หนิงอี้หน้าขาวซีด เขาหัวเราะพลางพูดเสียงแหบแห้ง “ข้าว่ามันไม่น่าสนใจเลย ทำข้าเจ็บเจียนตาย ดวงตาปราชญ์ปฐมคู่นั้นลืมตาขึ้นบนฟ้าทะเลสาบจิต หากจิตใจข้าอ่อนแอกว่านี้หน่อย คงจะตายที่นี่แล้ว”

สวีชิงเยี่ยนยังคงหวาดผวาอยู่…นางก็ผ่านแรงปะทะนั้นมาเหมือนกัน แต่เป็นเพียง ‘ผู้ชม’ ไม่ได้สัมผัสเท่าไร

นางเขย่งปลายเท้า ปรับตัวกับความรู้สึกเวียนศีรษะและไม่สบายตัวเล็กน้อย เก็บภาพตรงหน้าไว้ในสายตา

ที่นี่เป็นถ้ำม่านน้ำคับแคบ ข้างนอกมีน้ำตกเล็กไหลผ่าน ข้างในเป็นผนังหินลาดชัน เกาะตัวเป็นผลึกเล็กน้อย มีกลิ่นหอมแปลกประหลาด เหมือนจะคล้ายกับบางอย่างที่นางเห็นก่อนหน้านี้…ยังไม่ทันคิด สวีชิงเยี่ยนก็หันกลับมาถามด้วยความใคร่รู้ “หนิงอี้ ที่เจ้าบอกก่อนหน้านี้…เรื่องน่าสนใจนั่น…คืออะไร”

สวีชิงเยี่ยนเหม่อมองเด็กหนุ่มที่หลับตาลงและเหนื่อยล้าสุดขีด ชุดคลุมดำบนตัวสั่นไหวเบาๆ สายลมพัดผลึกน้ำแข็งที่เกาะตามตัวออก เปล่งเสียงกรนเบาๆ ในลำคอ

…..

โลกนี้มีเรื่องน่าสนใจมากมาย…อย่างเช่นภูเขาแดงตอนนี้ บนต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าโบราณ มีเสียงที่ไม่สอดคล้องกันบางอย่าง

ตอนนี้เป็นเดือนสามต้าสุย ช่วงต้นใบไม้ผลิ จะไม่มีตัวอ่อนแมลงอย่าง ‘จักจั่น’ ต้องรอหน้าร้อน ราวเดือนหกเดือนเจ็ด จักจั่นถึงจะมีปีก ถึงจะมุดออกมาจากพื้นดิน เกาะเต็มเปลือกไม้ สลัดหนังกางปีก…ทว่าไอวิญญาณในเขตต้องห้ามภูเขาแดงปั่นป่วน แสงดาราหนาทึบ เผ่าปีศาจบุพกาลปรากฏมาอย่างไม่คาดคิด บนต้นไม้โบราณนี้จึงกำเนิด ‘ตัวอ่อนแมลง’ ก่อนเวลา

เสียงร้องจักจั่นดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจ

พายุฝนถาโถม ตกลงบนต้นไม้โบราณ กระเซ็นไม่หยุด

มันเปล่งเสียงร้องไปพลาง ดูดน้ำค้างไปพลาง

เสียงจักจั่นจะดังก่อนฝนตกเท่านั้น

ที่เสียงนี้น่าสนใจไม่ใช่เพราะมันคาดการณ์ฝนตกหนักที่ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะหยุดตก และไม่ใช่เพราะเจ้าของเสียงกำเนิดในเดือนสามช่วงฝนใบไม้ผลิ…แต่เป็นเพราะจักจั่นไม่รู้ว่ามีบางอย่างจับจ้องมันแล้ว

ตั๊กแตนตัวหนึ่งอยู่บนเปลือกไม้ พักผ่อนอยู่ใต้มัน ตอนนี้กำลังขยับขึ้นไปช้าๆ

หากจักจั่นตัวนี้รู้ว่าใต้ตนมีเพื่อนบ้านที่ไม่เป็นมิตรอยู่เช่นนี้ อีกทั้งยังแสดงเจตนาร้ายแล้ว เช่นนั้นมันก็น่าจะเดาได้ว่า…ความตายของตนใกล้จะมาถึง

ทว่าเสียงจักจั่นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย เห็นได้ชัดว่ามันไม่สังเกตเห็นตรงนี้ ความจริงต่อให้จักจั่นจะรู้สึกได้ก็เลี่ยงหายนะครั้งนี้ไม่ได้อยู่ดี ไม่ใช่เพราะฝนข้างนอกตกหนักเกินไป ทำให้ปีกของมันเปียก

แต่เป็นเพราะยังมีสิ่งที่ไม่ดีตัวที่สองกำลังรอมันอยู่

ลูกนกกระจอกหิวโหยตัวหนึ่งลงบนต้นไม้โบราณ บังเอิญและก็ไม่บังเอิญเช่นกัน มันได้ยินเสียงจักจั่นนี้…ดังนั้นจึงไม่รีบร้อนออกเดินทาง แต่ถือโอกาสกินจักจั่นนี้เสียเลย

ตั๊กแตนเกาะเปลือกไม้ ขยับขึ้นไปช้าๆ

นกกระจอกเหลืองมองจักจั่น เตรียมหาที่มาของเสียง จากนั้นบินลงมา

หนึ่งข้างบน อีกหนึ่งข้างล่าง

จากนั้น

เกิดเสียงดังปัง ทั้งต้นไม้โบราณลอยออกไป เส้นทางภูเขาแดงเดิมทีแคบเล็ก ต้นไม้ยักษ์เก่าแก่ที่เติบโตมาหลายปีถูกคลื่นลมรุนแรงพัดลอยขึ้น ก่อนจะระเบิดกลางอากาศ

เสียงจักจั่น เสียงฝน พลันแตกกระเจิง

เผยเป็นร่างเงาสูงใหญ่กลางฝนตกหนัก ชุดคลุมเนื้อหยาบสีขาวถูกสายลมพัดกลางสายฝน ยอดปีศาจหนุ่มมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย เขาเดินไปทางภูเขาแดง และสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ…ที่นี่ยิ่งเดินไปลึกมากเท่าไร การวางผนึกก็ยิ่งซับซ้อน ยามจำเป็นก็ต้องทำลายวัตถุโบราณบางอย่าง เช่นต้นไม้โบราณเมื่อครู่ ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่อ้อม เดินไกลกว่าเดิม

ชายหนุ่มหญิงสาวเผ่ามนุษย์คู่นั้น เร็วกว่าตนได้อย่างไรกัน

ตรงปากเส้นทางภูเขาแคบ ยอดปีศาจหนุ่มพลันขมวดคิ้วขึ้น

ผนังหินตรงหน้าเขาแตกออก ร่างเงาผอมสูงพุ่งชนออกมา ลากเศษหินออกมาด้วย ใบหน้าดำมืด ในมือถือกระบี่กระดูกสันหลังมนุษย์หยินหยางรูปทรงแปลกประหลาด

ร่างเงาผอมสูงที่พุ่งชนผนังหินออกมากลางฝนตกหนักพ่นลมหายใจขุ่นยาว กลิ่นอายพลังไม่ใช่สีขาวบริสุทธิ์ แต่เป็นสีแดงที่มีกลิ่นคาวเลือด…หายไปกลางหมอกฝนช้าๆ

เหยี่ยวบนบ่ายอดปีศาจหนุ่มตกใจกลัว แทบจะตบปีกบินขึ้น แต่ก็ถูกเขาเอามือกดหลังไว้เบาๆ สองปีกกระพือ ขนตั้งขึ้น จ้องร่างเงาผอมสูงตรงปากทางภูเขา

“ดูเหมือนผี แต่ความจริงเป็นคน…”

ยอดปีศาจหนุ่มเอ่ยเรียบๆ “ในเมื่อเป็นคน มีอะไรให้กลัวกัน”

คำพูดนี้ดังผ่านม่านฝนมาถึงหูบุรุษผอมสูง

หานเยวียหันหน้ามาช้าๆ มองยอดปีศาจหนุ่มร่างสูงใหญ่นั้นพลางพูดเสียงเบา “เจ้าว่าอะไรนะ”

แก้มยอดปีศาจหนุ่มมีลายสีดำสลับทองลอยขึ้นมาช้าๆ เขามีใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่เกรงกลัวใดๆ เลย สิ่ง ‘ครึ่งคนไม่ใช่ผี’ ตรงหน้านั้น ดูมีพลังน่ากลัว แต่ความจริงมีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่สิบ

แดนเทวาสิบขอบเขต ทิวทัศน์สวยงามเป็นพิเศษ

หอมากมายล้วนมีสูงต่ำต่างกัน ยอดปีศาจหนุ่มรู้ตัวเองว่าตนยืนอยู่สูงมากพอแล้ว

ดาบเรียบทองอมเงินถูกเขาใช้นิ้วโป้งดันออกจากฝักครึ่งชุ่นช้าๆ ประกายแสงแสบตาปรากฏขึ้น สะท้อนแสงสว่างทั้งหุบเขามืดมิด ความอัดอั้นใจที่ยอดปีศาจหนุ่มถูกกระบี่ฟันยังไม่หายไป เขามอง ‘ผู้บำเพ็ญภูตผีขอบเขตที่สิบ’ ตรงหน้าพลางพูดนิ่งๆ “ข้าบอกว่า…สุนัขดีไม่ขวางทางกัน”

หานเยวียมองยอดปีศาจหนุ่มเชิงครุ่นคิด

กระดูกสันหลังของกระบี่สันหลังถูกไอชั่วร้ายบิด บุรุษนุ่มนวลที่มีไอชั่วร้ายวนเวียนรอบกายหรี่ดวงตาลง พูดด้วยความมืดหม่น “ทายาทของยอดปีศาจกิเลน…สามอันดับแรกในรุ่นเยาว์ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจตอนนี้ เจ้ามีอนาคตที่สวยงาม ไฉนต้องมาสู้ตายกับข้า เจ้ากับข้าถอยคนละก้าว เจ้าเดินเส้นทางหลวงของเจ้า ข้าเดินสะพานไม้เดี่ยวของข้า ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น เรื่องที่เจ้าข้ามเขตแดนมาภูเขาแดง ข้าจะไม่ถือสาแล้วกัน”

ในภูเขาแดงเงียบสงัด

จากนั้นเป็นเสียงถอนหายใจ

ยอดปีศาจหนุ่มไม่ใช่นิ้วดีดดันดาบอีก แต่ใช้มือวางบนด้ามดาบอย่างเอาจริงเอาจัง

หานเยวียจับกระบี่สันหลังแน่นเช่นกัน พูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “กิเลน…เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”

ยอดปีศาจหนุ่มหัวเราะไม่ใส่ใจ เขาพูดงึมงำ “สภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณต้าสุยรึ ข้อเสนอเมื่อครู่ดีมาก แต่น่าเสียดาย ข้าไม่ชอบเดินทางหลวง ข้าดันชอบเดินสะพานไม้เดี่ยวของคนอื่นมากกว่า…จากนั้นให้คนอื่นไม่มีทางเดิน”

ประกายดาบออกจากฝัก

ยอดปีศาจหนุ่มที่อัดอั้นใจมานานฟันดาบแรกด้วยกำลังของตนทั้งหมด

ประกายสายฟ้าสว่างวาบในภูเขาแดง ดาบกับกระบี่ปะทะกัน ฝนเทสาดลงมา เสียงคำรามดังขึ้น

…………………………..

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน