หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 403 ปริศนา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 403 – ปริศนา

 

    หนึ่งชั่วยามให้หลัง คนทั้งหมดล้วนหยุดปรับลมหายใจ

    ด้วยความช่วยเหลือของศิลาวิญญาณและโอสถ พวกเขาได้ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้ว แต่ดูผงศิลาวิญญาณที่กองอยู่เต็มรอบตัวพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาใช้ศิลาวิญญาณไปมากมายเท่าใด

    พลังวิญญาณที่ชีพจรปราณและตานเถียนของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสามารถบรรจุเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับต่ำยากจะจินตนาการ ศิลาวิญญาณราคาถูกหลายก้อนก็สามารถทำให้ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณรักษาพลังวิญญาณอันเต็มเปี่ยมไว้ได้แล้ว แต่พวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน พลังวิญญาณของศิลาวิญญาณขั้นต่ำมีก็เหมือนไม่มี มีเพียงศิลาวิญญาณขั้นกลางขึ้นไปจึงจะมีประสิทธิภาพที่เห็นผลทันที แต่ศิลาวิญญาณขั้นกลางมันหายาก โดยทั่วไปแล้วจะเอามาใช้เพียงตั้งม่านพลังหรือเก็บไว้ยามฉุกเฉิน ใครจะหยิบออกมาเติมพลังวิญญาณเล่า ดังนั้น ได้แต่ใช้ศิลาวิญญาณปริมาณพูนสูงแล้ว

    แต่ว่า ถึงจะเป็นเช่นนี้ ในพวกเขาก็ไม่มีใครคนไหนที่พลังวิญญาณเต็มเลย เพราะว่าในสถานการณ์ที่ไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณจากภายนอก ความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณช้าเกินไป ทว่าขณะนี้พวกเขาไม่อาจสูญเสียเวลานาน ๆ

    โม่เทียนเกอก็เช่นกัน แต่สถานการณ์ของนางยังนับว่าไม่เลว เพราะนางมียาเสริมวิญญาณเยอะมาก อีกทั้งในร่างตนเองยังสามารถก่อเกิดพลังวิญญาณ ถึงจะไม่ได้เต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่ง

    “ม่านพลังแตกแล้ว!” หลังจากหยุดปรับลมหายใจ ฉิวเฉิงรั่วเอ่ยอย่างยินดี

    พลังของพายุหิมะค่อย ๆ สลายไป ทุ่งน้ำแข็งก็หายไปช้า ๆ เปิดเผยถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งออกมา

    โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มบาง เป็นเช่นนี้ดังคาด สถานที่แห่งการทดสอบ ประโยชน์ใช้งานของม่านพลังเป็นแค่การทดสอบเท่านั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำลายม่านพลังเลย 

    แต่นางมองดูทิวทัศน์รอบด้านแล้วระมัดระวังขึ้นมาอีก

    สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันนี้คือถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง พูดว่าหนึ่งแห่งก็ไม่ถูกต้อง พูดให้ชัดเจนคือเป็นโพรงถ้ำ โพรงถ้ำที่ขยายไปสี่ทิศแปดทางแตกแขนงไปมากมายยิ่งแห่งหนึ่ง แค่สถานที่ที่พวกเขาอยู่ก็มีปากทางแยกไปสามทางห้าทางแล้ว ทางแยกเหล่านี้ลึกนัก ไม่รู้ว่านำไปสู่ที่ใด

    “สหายเต๋าฉิน?” เนี่ยอู๋ชางถามเสียงค่อย

    “หืม?”

    “มีปัญหาอะไรไหม”

    โม่เทียนเกอส่ายหน้า เอ่ยว่า “เปล่า เพียงแต่ว่า ข้ารู้สึกว่านี่มันจริงหรือปลอมกันนะ”

    เนี่ยอู๋ชางมองดูครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้เรื่องวิชาม่านพลังเลยสักนิด ดูไม่ออก”

    “สหายเต๋าฉิน” ยงหรูอวี้ที่อยู่ด้านข้างพูดแทรก “ในความเห็นข้า นี่คล้ายจะเป็นของจริง”

    “อ้อ?” โม่เทียนเกอค่อนข้างรู้สึกสนใจ “สหายเต๋ายงคิดอย่างไรหรือ”

    ยงหรูอวี้ยิ้ม ๆ เอ่ยอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าก็เป็นอย่างสหายเต๋าเทียนฉาน ไม่รู้เต๋าแห่งม่านพลังสักนิด ดังนั้น นี่ก็เป็นแค่การคาดเดา” เขาหยุดชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “หนึ่งคือภูมิประเทศ ข้าจำได้ว่า ตอนที่พวกเราเข้าม่านพลังเคลื่อนย้ายก็คือในเขาเจียหลิง ดูแล้วสอดคล้องกับโพรงถ้ำนี้มาก สองคือพลังวิญญาณรอบด้านเสถียรมาก ไม่เหมือนกับมีม่านพลังมายา”

    โม่เทียนเกอผงกศีรษะ กล่าวว่า “สหายเต๋ายงพูดถูกมาก ข้าก็รู้สึกอย่างนี้”

    “ในเมื่อสหายเต๋าฉินก็รู้สึกว่ามิใช่ม่านพลังมายา เช่นนี้แล้ว ทิวทัศน์นี้เป็นของจริงจริง ๆ หรือ” ฉิวเฉิงรั่วเอ่ย

    โม่เทียนเกอส่ายหน้า “สหายเต๋าฉิวมองข้าสูงส่งเกินไปแล้ว ถึงข้าจะเข้าใจเต๋าแห่งม่านพลังเล็กน้อย แต่สำหรับณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลก็ไม่ได้เข้าใจนัก จะไม่มีสิ่งที่มองข้ามไปได้อย่างไรเล่า”

    ฉิวเฉิงรั่วพอได้ยินก็รู้สึกว่าใช่ ณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาล ผู้ฝึกตนทุกวันนี้จะเทียบได้อย่างไร ถึงจะเป็นปรมาจารย์วิชาม่านพลังที่แท้จริง เผชิญหน้ากับม่านพลังมายาโบราณกาลก็ไม่แน่ว่าจะสามารถมองออก

    “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อสหายเต๋าฉินมองไม่ออก เทียบกันแล้วก็ยังปลอดภัยอยู่นะ” ฉิวเฉิงรั่วมองทางแยกเบื้องหน้าแล้วกล่าว “ถัดไป พวกเราต้องทำอย่างไร”

    “ยังจะทำอย่างไรได้เล่า ย่อมต้องไปต่อ” ยงหรูอวี้เอ่ย หันศีรษะไปมองพวกโม่เทียนเกอสองคน “สหายเต๋าฉิน สหายเต๋าเทียนฉาน พวกท่านว่าใช่หรือไม่”

    โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางพยักหน้าพร้อมกัน เหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้านี้ไม่มีหนทางอื่นแล้วจริง ๆ มีเพียงเดินไปตามโพรงถ้ำนี้ ดูว่าจะสามารถหาเงื่อนงำนิดหน่อยเจอหรือไม่

    แต่ว่า โม่เทียนเกอรู้สึกพิกลอยู่บ้าง เจ้าเมืองเหมยผู้นั้นบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่แห่งการทดสอบ หากผ่านด่านจะสามารถได้รับรางวัลจำนวนมาก เรื่องนี้เขารู้ได้อย่างไรเล่า เขาบอกว่าตนเองเข้าไปแล้วไม่ได้ผ่านด่าน ทว่าหลังจากพวกเขาเข้ามาก็นับได้ว่าผ่านไปหนึ่งด่านแล้วกระมัง? ไม่เคยเห็นคำใบ้ที่เกี่ยวกับการทดสอบเลยนะ!

    โม่เทียนเกอรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าไม่ถูกต้อง นางจะต้องพลาดอะไรไปแน่ ๆ

    “สหายเต๋าทั้งสอง พวกเราไปกันเถอะนะ” เห็นนางไม่ขยับเขยื้อน ยงหรูอวี้ร้องเรียกคำหนึ่ง

    โม่เทียนเกอพยักหน้า ตามหลังพวกเขา เข้าไปในปากทางแยกหนึ่งในนั้นช้า ๆ

    ที่พวกเขาเข้าไปเป็นทางแยกตรงกลางด้านซ้ายสุด ทางเส้นนี้เนี่ยอู๋ชางเป็นคนเลือก ตอนที่ฉิวเฉิงรั่วถาม นางชกลงพื้นหนึ่งหมัดอย่างส่งเดชจนเกิดรอยแตกหลายเส้น เส้นที่ใหญ่ที่สุดชี้ไปตรงกลาง นางจึงเลือกตรงกลาง สถานการณ์ขณะนี้ไม่แน่ชัด เลือกทางไหนล้วนไม่เป็นไร ดังนั้นอีกสามคนที่เหลือล้วนไม่มีความเห็น

    ตลอดทางที่เดินไปไร้สิ่งผิดปกติสักนิด ระดับการฝึกตนของยงหรูอวี้ถึงจะไม่โดดเด่น คนกลับจิตใจละเอียดอ่อนยิ่ง โม่เทียนเกอมองเห็น ก็เลยวางใจมอบหน้าที่นำทางให้เขา ตนเองครุ่นคิดต่อไป

    ในเมื่อรู้สึกว่าตนเองพลางอะไรไป เช่นนั้นก็คิดไปตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วกัน

    อันดับแรก นางกับเนี่ยอู๋ชางสองคนมาถึงเมืองซิงลั่ว ตอนเข้าโรงเตี๊ยม ผู้อาวุโสเหลียงของเมืองซิงลั่วเอาคำสั่งของเจ้าเมืองเหมยมาเชิญตัว ส่วนหลังจากนั้น เจ้าเมืองเหมยแจ้งเรื่องค้นพบสถานที่โบราณกาล ขอให้พวกเขาเข้าสถานที่ลับสักรอบ เก็บผลเทพสวรรค์ให้ตนเอง สุดท้าย เขานำผู้อาวุโสก่อเกิดตานในสังกัดเปิดสถานที่ลับ ปล่อยให้พวกเขาผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบห้าคนเข้าไป

    คิดอย่างถี่ถ้วน กระบวนการโดยหลัก ๆ ของเรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลย เช่นนั้น สิ่งที่มีปัญหาน่าจะเป็นรายละเอียด

    รายละเอียด เป็นรายละเอียดก้าวไหนที่มีปัญหานะ……

    “สหายเต๋าโม่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” ข้างหูได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ของเนี่ยอู๋ชางดังขึ้น กลับเป็นนางใช้การถ่ายทอดเสียงลับ

    โม่เทียนเกอได้สติกลับมา ถ่ายทอดเสียงเอ่ยไปเหมือนกันว่า “อืม ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวนี้มีปัญหานิดหน่อย”

    ได้ยินวาจานี้แล้ว เนี่ยอู๋ชางกวาดสายตามาแวบหนึ่ง แววตาสว่างวูบ “ท่านก็รู้สึกหรือ”

    “ก็?” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “หรือว่าท่าน……”

    “หลังข้าออกเดินทางก็รู้สึกว่ามีปัญหาแล้วล่ะ แค่ว่ายังจับจุดไม่ถูก แล้วตอนอยู่ข้างนอกมีเจ้าเมืองเหมยอยู่ ข้าก็ไม่มีทางถ่ายทอดเสียงกับท่านด้วย”

    “จริงหรือ ท่านรู้สึกว่าตรงไหนมีปัญหา”

    เนี่ยอู๋ชางคิดแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มีจิตใจละเอียดอ่อนอย่างท่าน แต่ท่านก็รู้ว่าสิ่งที่ซือฟุข้าฝึกฝนคือวิชามาร ข้ารู้เรื่องผู้ฝึกตนสายมารมากกว่าท่าน อย่างแรกคือข้ารู้สึกว่า วิชาที่พวกเขาเปิดม่านพลังเคลื่อนย้ายมีจุดที่ไม่ถูกต้อง ในเมื่อนี้เป็นสถานที่ลับโบราณกาล ถึงแม้พวกเขาจะใช้ทักษะของตนเองใช้กำแพงอาคมปกปิดก็ไม่น่าจะปกปิดไปตรง ๆ ต้องทราบว่า สิ่งของที่หลงเหลือจากโบราณกาลมักจะมีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาผู้ฝึกมารถึงจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณ แต่ก็ต้องผ่านเวทพิเศษบางอย่าง การเอากำแพงอาคมสายมารคลุมลงบนพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ตรง ๆ อย่างนี้จะมีผลหักล้างกันกับกำแพงอาคม”

    “ถึงกับเป็นเช่นนี้?” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจผู้ฝึกมารสักเท่าไหร่จริง ๆ แต่นางคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง “ตามที่ท่านว่ามา ม่านพลังเคลื่อนย้ายอันนั้นน่าจะมีปัญหานิดหน่อย แต่ข้าดูแล้ว มันเป็นแผนผังม่านพลังโบราณกาลจริง ๆ ไม่ผิดแน่”

    ปรึกษากันมาถึงตรงนี้ ทั้งสองคนล้วนรู้สึกว่าเต็มไปด้วยปริศนา ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไปชั่วขณะ

    “สหายเต๋าฉิน สหายเต๋าเทียนฉาน?” ฉิวเฉิงรั่วจู่ ๆ หันศีรษะมาเอ่ย “พวกท่านเป็นไรไปหรือ”

    พวกนางสองคนต่างมีเรื่องกังวลใจ ทิ้งห่างไปจากพวกเขามากอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    “อ้อ ไม่มีอะไร” โม่เทียนเกอเร่งฝีเท้าตามไปหลายก้าว เห็นแววตาไต่ถามของยงหรูอวี้ นางคิด ๆ ดู ในที่สุดกล่าวว่า “สหายเต๋าทั้งสอง พวกท่านเป็นผู้ฝึกตนท้องถิ่นของอวิ๋นจง คิดว่าเข้าใจสถานการณ์ของอวิ๋นจงถึงสิบส่วน การค้นพบพบสถานที่ลับโบราณกาลอย่างนี้แต่กลับเชิญคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปสำรวจเป็นเรื่องปกติจริง ๆ หรือ”

    ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วล้วนตะลึงไป หยุดฝีเท้า จ้องมองนาง

    โม่เทียนเกอกล่าวต่อว่า “ที่ที่ดีอย่างนี้ ไม่ควรจะเก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัวหรือ ขนาดของเมืองซิงลั่วไม่ใหญ่เลย หากมีสถานที่ลับแห่งนี้หนุนหลัง บ่มเพาะผู้ฝึกตนดี ๆ สำหรับพวกเขาแล้วมีประโยชน์มาก”

    ได้ฟังวาจานี้แล้ว ยงหรูอวี้ขมวดคิ้วขึ้นมา ใคร่ครวญว่า “สิ่งที่สหายเต๋าฉินพูดมีเหตุผล”

    “พูดอย่างนี้ สหายเต๋ายงก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง?”

    ยงหรูอวี้คิดอยู่พักหนึ่ง แต่กลับส่ายหน้า “ข้าพูดไม่ดี สหายเต๋าฉิน ข้าไม่รู้ว่าถิ่นกำเนิดของท่านเป็นสถานที่อย่างไร แต่ที่อวิ๋นจง ตัวอย่างของการค้นพบสถานที่ลับแล้วเก็บไว้ใช้ส่วนตัว ผลคือกลับถูกสำนักใหญ่ค้นพบแล้วชักนำให้เกิดภัยพิบัติก็เคยมีอยู่ ดังนั้น หลังจากเจ้าเมืองเหมยค้นพบสถานที่ลับแล้วไม่คิดจึงยึดครองไว้ลำพัง ทว่าฉวยโอกาสก่อนที่กลุ่มอำนาจอื่นจะมีปฏิกิริยาทำกำไรนิดหน่อยก็มิใช่ว่าไม่สามารถเข้าใจ”

    “อ้อ? ถึงกับเป็นเช่นนี้……” โม่เทียนเกอไม่พูดอีก พูดอย่างนี้ เหตุผลนี้นางคงจะคิดผิดแล้ว? แต่เรื่องนี้นางเชื่อสัญชาตญาณของตนเอง มิใช่การหวาดระแวงมากไปเป็นอันขาด นางกล้ายืนยันว่า ตรงนี้จะต้องมีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้อง 

    “สหายเต๋าฉิน” เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ เอ่ยขึ้น “พูดอย่างนี้เถอะ ท่านรู้สึกว่าสถานที่ลับนี่สอดคล้องกับขนาดของสถานที่ลับโบราณกาลหรือ”

    โม่เทียนเกอตะลึง จ้องมองเนี่ยอู๋ชาง

    เนี่ยอู๋ชางก็จ้องมองนาง น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวต่อว่า “ท่านก็เป็นผู้ฝึกตนสำนักใหญ่ ความรอบรู้ไม่ธรรมดา ท่านดูสถานที่แห่งนี้ เรียกว่าสถานที่ลับโบราณกาลได้หรือ”

    ได้ยินวาจานี้แล้ว โม่เทียนเกอจู่ ๆ ตระหนักขึ้นมา ไม่ผิด ที่นี่ถึงจะมีร่องรอยของโบราณกาลอยู่ทุกแห่งหน แต่หากจะพูดว่าเป็นสถานที่ลับโบราณกาลก็เรียบง่ายเกินไปอย่างไม่อาจเลี่ยง พูดถึงด่านที่หนึ่งที่พวกเขาผ่าน ทุ่งน้ำแข็งพายุหิมะนั้นบรรจุความเร้นลับของณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลจริง ๆ แต่พลังอำนาจกลับเล็กน้อยเกินไป แค่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณของพวกเขาเท่านั้นเอง ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาจนถึงแก่นเลย 

    เห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอ เนี่ยอู๋ชางยิ้มบาง ๆ “ถึงข้าจะไม่จิตใจละเอียดอ่อนเท่าท่าน แต่ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีประสาทสัมผัสแหลมคมต่อพลังตามธรรมชาติ ข้ากล้าพูดว่า นี่ไม่ใช่สถานที่ลับโบราณกาลอะไรเลย เป็นเพียงแค่สถานที่ลับปลอมที่ใช้ณานศักดิ์สิทธิ์โบราณกาลห่อหุ้มสร้างออกมา!”

    พอเนี่ยอู๋ชางพูดอย่างนี้ออกมา ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วกลับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ยงหรูอวี้จ้องเนี่ยอู๋ชางเขม็ง ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงถามออกมาหนึ่งประโยคว่า “วาจานี้ของสหายเต๋าเทียนฉานหมายความว่าอะไร”

    “ยังจะหมายความว่าอะไรได้เล่า” เนี่ยอู๋ชางน้ำเสียงเฉยเมย “สหายเต๋าทั้งสอง พวกท่านก็มีศักดิ์ฐานะไม่สามัญ คิดว่าจะต้องมีสายตาไม่ต่ำทรามเหมือนกัน คิดดูโดยละเอียดสิ สถานที่แห่งการทดสอบโบราณกาลจะผ่านด่านได้ง่ายดายขนาดนี้เลยหรือ ต้องทราบว่า พวกเราเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน สามารถใช้อาวุธเวท อาวุธเวทของช่วงโบราณกาลณานศักดิ์สิทธิ์แกร่งกล้าเพียงใด การทดสอบของระดับก่อเกิดตานจะง่ายดายปานนี้ได้หรือ”

    พอนางพูดอย่างนี้ ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วไม่พูดไม่จาไปครึ่งค่อนวัน ผ่านไปพักหนึ่ง ฉิวเฉิงรั่วเอ่ยเสียงต่ำว่า “สำนักตานเสียของพวกเราก็มีสถานที่ลับหนึ่งแห่ง แต่ข้ากับซือเกอล้วนยังเป็นเพียงก่อเกิดตานขั้นต้น สำนักอาจารย์แนะนำให้พวกเราระดับการฝึกตนสูงกว่านี้หน่อยค่อยเข้าไป แต่ว่า……” สายตาของนางหยุดอยู่บนใบหน้าของเนี่ยอู๋ชาง เอ่ยว่า “สิ่งที่สหายเต๋าเทียนฉานพูดมีเหตุผล การทดสอบนี้ง่ายดายเกินไปจริง ๆ ถึงพวกเราจะแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด…… “

    “อีกอย่าง ยังเผาผลาญพลังวิญญาณของพวกเรา “ โม่เทียนเกอจู่ ๆ พูดต่อ จับจ้องสามคนตรงหน้า เอ่ยเสียงขรึมว่า “สหายเต๋าทั้งสาม เกรงว่าพวกเราตกเข้ามาในกับดักแล้ว”

……………….

 

ไม่มีคนหักหลังมันคงจะผิดหลักการของเรื่องนี้สินะ

 

 

ตอนที่ 404 – ทักษะวิญญาณศพ

 

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท