หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 410 ปีศาจแรกเริ่ม

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 410 – ปีศาจแรกเริ่ม

 

    เนี่ยอู๋ชางตะลึงไปนานมากแล้วจึงกล่าวว่า “ท่านรู้ได้อย่างไร” ในวาจาไม่ได้มีเจตนาจะปฏิเสธเลย

    โม่เทียนเกอยิ้มเล็ก ๆ “ท่านกับข้าถึงจะรู้จักกันจริง ๆ ไม่นาน แต่เอ่ยถึงความเข้าใจก็ไม่ใช่แค่ผิวเผิน ด้วยนิสัยของท่าน ตอนที่เห็นตัวประหลาดนั่น ถึงจะไม่ขึ้นไปทดสอบก็จะไม่มีปฏิกิริยาเยี่ยงนั้นกระมัง”

    เนี่ยอู๋ชางเป็นคนที่ชอบปฏิบัติมากกว่าวิเคราะห์ อีกทั้งสมบัติในมือนางมากขนาดนั้น จะต้องมีวิธีการโจมตีหลากหลายประเภท แต่ตอนที่พบกับตัวประหลาดนั่น นางไม่ได้ขยับมือไปทดสอบเลยก็ให้ทุกคนหนีแล้ว นี่ไม่ตรงกับอุปนิสัยของนางเลย

    “ทำไม เจ้าสิ่งนี้พูดไม่ได้หรือ” เห็นเนี่ยอู๋ชางไม่พูดจา โม่เทียนเกอยิ้มแล้วถามอีกคำ

    เนี่ยอู๋ชางเหล่มองนางแล้วจึงกล่าวช้า ๆ ว่า “เจ้าสิ่งนั้น ข้าเคยเห็นจริง ๆ”

    นางเดินไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า “วิชาเวทที่ซือฟุข้าฝึกเรียกว่ามหาเวทปีศาจแรกเริ่ม ข้าติดตามเขาเป็นร้อยปี เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงคร่าว ๆ ว่าตอนที่เขายังเป็นเพียงผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ระดับสร้างฐานพลัง เคยผจญภัยเข้าไปในภูเขามาร ได้รับวาสนาโดยบังเอิญ เขาเสาะพบแผนที่โบราณกาลหนึ่งฉบับในภูเขามาร สืบเสาะไปตามแผนที่จนถึงสถานที่ลับแห่งหนึ่ง สุดท้าย ได้รับวิชาเวทที่สลักบนศิลาจารึกในสถานที่ลับนั้น วิชาเวทนี้ประหลาดมาก เทียบกับวิชาเวทของทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายมารหรือว่าสายธรรมะล้วนไม่เหมือนกันอย่างมาก ซือฟุข้าตระหนักรู้เป็นร้อยปี สุดท้ายตระหนักรู้ได้ถึงมหาเวทปีศาจแรกเริ่ม ตั้งแต่นั้นก็กระโดดรวดเดียวกลายเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นสูงสุดของเทียนจี๋”

    “วิชาเวทบนศิลาจารึก……” โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเอง

    “ก่อนที่ข้าจะถือกำเนิด ซือฟุไม่ได้ออกสู่โลกหล้ามานานหลายปีแล้ว เราถือสันโดษที่ทะเลทรายสุดประจิม เหยียบย่างลงบนคุนอู๋น้อยมาก ถึงจะมีธุระ ซือฟุก็จะแค่ส่งข้าไปทำ ตั้งแต่เล็ก ข้าก็เห็นซือฟุกักตนฝึกหนักมาตลอด ไม่ยอมออกจากประตู ด้วยนิสัยของซือฟุ ยอมถือสันโดษอยู่กับที่หลายร้อยปี ไม่ออกไปก่อคลื่นลม ย่อมจะเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ช่วงเวลานั้น ซือฟุกำลังฝึกมหาเวทมารกำเนิด”

    “ในถ้ำพำนักของซือฟุ มีสระแห่งปีศาจแรกเริ่มแห่งหนึ่ง ในนั้นรวบรวมปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่เขาใช้วิธีการต่าง ๆ นานาบ่มเพาะออกมา ลมปราณประเภทนี้คล้ายกับปราณมาร แต่แกร่งกว่าปราณมารมาก อีกทั้งรุกรานเส้นเลือดหัวใจคนดุจเดียวกับปราณตาย ข้าเคยเห็นมาแต่วัยเยาว์ว่าซือฟุบ่มเพาะตัวประหลาดหนึ่งตัวในสระแห่งปีศาจแรกเริ่ม ก็คือเจ้าสิ่งที่พวกเราได้เห็นในวันนี้ สุดประจิมถึงจะกันดาร แต่ก็มีหมู่บ้านชนเผ่าบนเขากระจัดกระจายมากมาย ทุก ๆ ระยะเวลาหนึ่ง ซือฟุก็……” พูดถึงตรงนี้ เสียงของเนี่ยอู๋ชางสั่นเทาอยู่บ้าง “ก็สั่งตัวประหลาดนั่นให้ไปล้างหมู่บ้านหนึ่งแห่ง ไม่ว่าจะบุรุษสตรีเด็กหรือชรา ทั้งหมดถูกตัวประหลาดนั่นกลืนลงท้อง ไม่เหลือแม้โครงกระดูก……”

    โม่เทียนเกอฟังจนขนทั้งร่างลุกชัน การไม่ลงมือต่อปุถุชนเป็นกฎที่ผู้ฝึกเซียนล้วนยึดถือ แม้แต่ผู้ฝึกมารก็ทำเรื่องอย่างการเข่นฆ่าผู้คนล้างหมู่บ้านโดยไร้สาเหตุเช่นนี้น้อยมาก ซงเฟิงซ่างเหรินผู้นี้ สิ่งที่ฝึกถึงกับเป็นสายฉ้อฉล ไม่คำนึงถึงกฎแห่งกรรมเลย!

    เนี่ยอู๋ชางสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งคำ น้ำเสียงสงบนิ่งไร้อารมณ์อีกรอบ “ทุก ๆ ระยะเวลาหนึ่ง ตัวประหลาดนี้ก็จะออกไปล่าสังหารหนึ่งรอบ หลังจากกลับมาก็จะกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ข้าเคยได้ยินซือฟุพูดกับตัวเองว่า น่าเสียดายที่สุดประจิมมีผู้ฝึกตนน้อย หากสามารถกินผู้ฝึกตนลงไปก็จะโตเร็วขึ้น ถึงเวลานั้น วิชามารของเขาก็จะอยู่แค่เอื้อมแล้ว!”

    “ซือฟุท่านบ่มเพาะตัวประหลาดตัวนั้น เสียเวลาไปเท่าไหร่”

    เนี่ยอู๋ชางคิดทบทวนครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่า ตัวประหลาดนี้ถูกซือฟุหลอมก่อนที่พวกข้าจะออกจากสุดประจิม เวลานั้นข้าอายุราว ๆ หกสิบปี แล้วข้าก็เคยได้ยินซือฟุพูดกับตัวเองว่า เขามาถึงสุดประจิมไม่นานก็เริ่มบ่มเพาะตัวประหลาดนี้แล้ว คำนวณอย่างนี้ อย่างน้อยที่สุดก็สองสามร้อยปี”

    โม่เทียนเกอคำนวณในใจ ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ด้วยนิสัยของซือฟุท่าน เหตุใดไม่ไปเข่นฆ่าที่คุนอู๋สักรอบเล่า ถึงอย่างไรเขาระดับการฝึกตนน่าตระหนก ปล้นผู้ฝึกตนไม่กี่คนไม่เป็นปัญหาเลย” 

    เนี่ยอู๋ชางส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้สาเหตุ ปีนั้นซือฟุข้าถือสันโดษที่สุดประจิม อันที่จริงการฝึกเกิดความผิดพลาด เขาล่วงเกินผู้คนที่เทียนจี๋มากมายนัก ไม่กล้าเหยียบเข้าคุนอู๋เลย ดังนั้นได้แต่ใช้วิธีการอย่างนี้ฟื้นฟูพลังวิญญาณ”

    “ที่แท้เป็นเช่นนี้……” โม่เทียนเกอก้มหน้าครุ่นคิด “สมมติว่า เจ้าสิ่งนี้กับตัวที่ซือฟุท่านบ่มเพาะออกมาเป็นอย่างเดียวกัน เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ฝึกก็คือวิชาเวทที่คล้ายกับของซือฟุท่าน ซือฟุท่านเสียเวลาหลายร้อยปีกลืนกินปุถุชนจึงฝึกสำเร็จ เจ้าเมืองเหมยผู้นี้อยากจะกลืนกินผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสิบกว่าคนในคราวเดียว จะสำเร็จได้ในทันทีเลยหรือไม่”

    เนี่ยอู๋ชางใบหน้าปรากฏแววเคร่งขรึม ครึ่งค่อนวันให้หลังจึงตอบว่า “อาจจะ” ปุถุชน ถึงแม้จะเป็นปุถุชนนับพันนับหมื่นคน พอเทียบกับผู้ฝึกตนแล้วก็ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแต่ละคนมีพลังวิญญาณหรือปราณมารอันกล้าแข็ง ความเป็นไปได้นี้มากเกินไปแล้ว

    โม่เทียนเกอคิดแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้ พวกเราสามารถคะเนออกมาได้อย่างคร่าว ๆ แล้ว เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ ไม่รู้ว่าไปได้วิชาเวทที่คล้ายคลึงกับของซือฟุท่านจากที่ใด ด้วยสภาวะจิตใจที่ติดอยู่ในระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นมาหลายร้อยปีจึงไม่อาจทนรอที่จะฝึกวิชาเวทนี้ให้สำเร็จ ดังนั้นจึงลวงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่ผ่านเมืองซิงลั่วมาอยู่ด้วยกัน แต่งเหตุผลชักจูงให้พวกเราเข้าไปในหลุมพรางของเขา ป้อนพวกเราให้กับตัวประหลาดนี้ ช่วยให้เขาฝึกวิชามารสำเร็จในคืนเดียว เลื่อนขึ้นเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงสุด!” ส่วนผลึกมารอาจจะมีวัตถุประสงค์เดียวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณของที่นี่ เพราะว่าตัวประหลาดนั้นยังอ่อนแอเกินไป ต้องการวิธีการเหล่านี้มาเผาผลาญความแข็งแกร่งของพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เช่นนี้จึงสามารถถูกตัวประหลาดนั้นกลืนกินลงท้องโดยเร็วที่สุด

    “มิผิด……” เนี่ยอู๋ชางพึมพำกับตัวเอง สำหรับเจ้าสิ่งนี้ นางคุ้นเคยเกินไปแล้ว คุ้นเคยจนทำให้นางคิดถึงฝันร้ายในอดีต

    ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม นางยังไม่สามารถขับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มออกจากร่างกายได้เลย ยังจะต้องมาเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนี้อีกแล้วหรือ

    ทั้งสองคนล้วนเงียบงันไป โม่เทียนเกอยิ่งครุ่นคิดอยู่ในใจ เรื่องบางอย่างนางรู้มากกว่าเนี่ยอู๋ชาง ยิ่งบวกกับเรื่องพวกนี้ที่เนี่ยอู๋ชางบอกนาง ในใจนางมีการคาดเดาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอยู่หนึ่งอย่าง

    เนี่ยอู๋ชางบอกว่า วิชามารของซงเฟิงซ่างเหรินได้รับจากวิชาเวทบนศิลาจารึกอันหนึ่ง ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่เขาฝึกเทียบกับปราณมารโดยทั่วไปแล้วแกร่งกว่ามาก มีความคล้ายคลึงกับปราณตาย สถานการณ์นี้กับเรื่องเริ่นอวี่เฟิงที่นางประสบคล้ายกันแค่ไหน

    เริ่นอวี่เฟิงก็เป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังคนหนึ่ง ได้รับศิลาจารึกหนึ่งชิ้นจากในศาลเจ้าเทพมังกร ตระหนักรู้ถึงวิชาเวทหนึ่งชุดจากในศิลาจารึก ฝึกปราณตายออกมา รวดเดียวกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน

    ส่วนซงเฟิงซ่างเหริน ปีนั้นก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนเล็ก ๆ คนหนึ่ง เพราะวาสนาหนึ่งครั้ง ได้รับวิชาเวทบนศิลาจารึกจากสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ฝึกฝนตระหนักรู้ร้อยปี ฝึกจนตระหนักรู้ออกมาเป็นมหาเวทปีศาจแรกเริ่ม กลายเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งที่ท้าทายเทียนจี๋ทุกวันนี้

    หากจะพูดถึงความแตกต่างในนี้ นั่นก็คือสิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงฝึกออกมาเป็นปราณตาย ส่วนสิ่งที่ซงเฟิงซ่างเหรินฝึกออกมาเป็นปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่ขั้นสูงกว่า

    จุดนี้อธิบายไม่ยากเลย หนึ่งคือระยะเวลาที่ซงเฟิงซ่างเหรินตระหนักรู้นานกว่าเริ่นอวี่เฟิงมาก ดังนั้นตระหนักรู้ได้ชัดเจนลึกซึ้งกว่าเขา สองคือสังเกตจากที่ซงเฟิงซ่างเหรินกระทำเรื่องราว ถึงแม้คนคนนี้จะชั่วร้ายยิ่ง แต่ในด้านการฝึกตน ความสามารถในการตระหนักรู้กลับไม่ต่ำ ดังนั้นสิ่งที่ตระหนักรู้ออกมาเข้าใกล้แก่นแท้ยิ่งกว่าเริ่นอวี่เฟิง

    ส่วนเจ้าเมืองเหมยคนนี้ ในเมื่อเขาพยายามสุดตัวจัดฉากนี้ขึ้นมา แล้วยังใจร้อนเช่นนี้ สามารถคาดเดาได้ว่าระยะเวลาที่เขาได้รับวิชาเวทนี้น่าจะยังไม่นานมาก และด้วยระดับการฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของเขา ย่อมสามารถตระหนักรู้เวทลับที่แท้จริงออกมาได้อย่างง่ายดาย

    พูดอย่างนี้แล้ว ในที่นี้มีวิชาเวทที่คล้ายคลึงกันสามอย่าง สองอย่างในนี้ล้วนได้รับจากศิลาจารึกหนึ่งอัน เชื่อมโยงไปถึงที่เฟยเฟยเคยพูด ในหุบเขาไร้กังวลนั่นมีศาลเจ้าเต่าดำหนึ่งแห่ง และที่นี่ก็เป็นเทือกเขาที่หุบเขาไร้กังวลอยู่พอดี……

    ในสามตัวอย่างนี้ เรื่องเริ่นอวี่เฟิงชัดเจนที่สุด ศาลเจ้าเทพมังกร ได้รับศิลาจารึกจากข้างใน ฝึกจนกลายเป็นปราณมาร ในเรื่องซงเฟิงซ่างเหรินสิ่งที่สามารถยืนยันได้คือศิลาจารึก ส่วนศาลเจ้า คิดว่าเนี่ยอู๋ชางก็คงไม่ทราบชัด เจ้าเมืองเหมยสามารถคาดไปถึงศาลเจ้าเต่าดำ จะได้รับศิลาจารึกมาหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ว่า สามารถอนุมานได้อย่างนี้ อีกสองคนล้วนได้รับเวทลับจากในศิลาจารึก เจ้าเมืองเหมยก็น่าจะเช่นกัน และเจ้าเมืองเหมยและเริ่นอวี่เฟิงล้วนไปยังศาลเจ้า ได้รับศิลาจารึกจากข้างใน อย่างนั้น ถึงแม้สถานที่ลับที่ซงเฟิงซ่างเหรินไปจะไม่ใช่ศาลเจ้า ศิลาจารึกนี้เริ่มแรกสุดก็น่าจะออกมาจากศาลเจ้าสักแห่ง

    ศาลเจ้าปฐมกาลสามแห่ง ศิลาจารึกสามหลัก วิชาเวทที่คล้ายมารมิใช่มาร เรื่องนี้ไม่เรียบง่ายแล้ว……

    โม่เทียนเกอคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายถอนหายใจ ถามว่า “อันที่จริง ท่านมีหนทางแก้ไขใช่หรือไม่”

    ผ่านไปพักหนึ่ง เนี่ยอู๋ชางจึงได้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ คำหนึ่ง เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ สายตาซับซ้อน “มิผิด”

    “แต่ว่า วิธีการนี้ สำหรับท่านแล้วมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง?”

    เนี่ยอู๋ชางหัวเราะเสียงขื่นคำหนึ่ง มองไปยังดวงตาของนางโดยสงบ พูดสี่คำว่า “พลิกฟ้าคว่ำดิน” 

    คนทั้งสองเงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง นางจึงค่อย ๆ กล่าวอย่างเแช่มช้าว่า “ถึงแม้ข้าจะขโมยสมบัติของสำนักเทียนเหยี่ยนชิ้นนั้นแล้ว สามารถสะกดปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในกายชั่วคราว แต่ว่า ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มฝังลึกในเส้นเลือดข้าแล้ว มิใช่วิธีการพิเศษไม่อาจลบล้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยข้าจะต้องเกรงกลัวเจ้าสิ่งนี้อีกเล่า ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในกายข้าเทียบกับลมปราณของตัวประหลาดนี้ยังขั้นสูงกว่า……”

    พลังวิญญาณปราณมารมีแบ่งเป็นสูงต่ำ โม่เทียนเกอก็ทราบ เพียงแต่ สถานการณ์นี้ของเนี่ยอู๋ชาง นางก็ไม่รู้ว่าควรจะวิเคราะห์อย่างไร ใช้ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มโจมตีหรือ นี่……ในเมื่อจุดกำเนิดร่วมกัน เหมือนจะไม่ง่ายดายกระมัง? ไม่อย่างนั้นยังจะสามารถมีหนทางอะไรเล่า

    นางเกิดปฏิภาณวูบขึ้นมาในสมอง เบิกตาทั้งคู่จนกว้าง “วิธีการของท่านหรือว่าจะเป็นการดูดกลืนมัน?!”

    เนี่ยอู๋ชางมองนางอย่างล้ำลึก พยักหน้าเงียบ ๆ 

    เห็นนางยืนยัน โม่เทียนเกออารมณ์พลุ่งพล่าน เอ่ยอย่างลนลานอยู่บ้างว่า “ถ้าอย่างนี่ ท่านไยมิใช่ขาดอีกก้าวเดียวก็จะสำเร็จ?” ก่อนหน้านี้ เนี่ยอู๋ชางเพิ่งจะพูดกับนางว่านางอยากเป็นผู้ฝึกเซียนอันแท้จริง แต่หากเป็นเช่นนี้……

    “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” เนี่ยอู๋ชางเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าย่อมไม่เต็มใจทำอย่างนี้ แต่หากฝืนไม่ได้จริง ๆ กลายเป็นผู้ฝึกมารจริง ๆ แล้วจะอย่างไรเล่า เป็นเซียนเป็นมาร เป็นเพียงความคิดชั่วประเดี๋ยว ข้าไม่เสาะหาการบรรลุอีก ตนเองรู้ตัวก็พอ”

    “……” โม่เทียนเกอเงียบงันไปครึ่งค่อนวัน ถอนหายใจเอ่ยว่า “สภาวะจิตใจเช่นนี้ของท่าน ข้าไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้ว” การฝึกฝนสภาวะจิตใจ ผู้ฝึกตนจำนวนมากไม่เห็นความสำคัญ แต่ตอนที่เลื่อนระดับจึงทราบว่าด่านนี้มีความสำคัญมาก เนี่ยอู๋ชางสามารถพูดวาจาเยี่ยงนี้ออกมา แสดงว่าในใจนางมีความกระจ่างชัดต่ออนาคตของตนเองอย่างไร้ที่เปรียบแล้ว

    “สหายเต๋าโม่” เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ หันหน้ามาเรียกคำหนึ่ง

    “หืม?”

    “ข้าขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง” เนี่ยอู๋ชางมองนาง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “สมมติว่าข้าทำอย่างนี้จริง ๆ ขอให้ท่านพาข้าไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยด้วย”

    โม่เทียนเกอได้ยินแล้วก็ตะลึง มองอย่างอย่างลึกล้ำ “ท่านเชื่อว่าข้าสามารถพาท่านออกไปอย่างปลอดภัยหรือ”

    เนี่ยอู๋ชางยิ้มบาง แต่กล่าวว่า “ก็อย่างที่ท่านพูดมาแต่แรก ทุบข้าให้สลบ ใช้ทักษะลับของท่าน…… ข้าเคยพูดแต่แรกแล้วว่า ถึงอย่างไรมิใช่ครั้งแรกที่มอบชีวิตไปไว้ในมือท่าน ส่วนที่ว่าจะสามารถหนีออกไปได้หรือไม่ ได้แต่ดูโชคของพวกเราแล้ว”

    “……” โม่เทียนเกอรู้สึกว่า ตนเองทุกบีบที่จุดอ่อนแล้ว นางไม่กลัวคนอื่นเป็นศัตรู แล้วก็เคยชินกับการคาดเดาว่าคนอื่นประสงค์ร้าย แต่ความไว้วางใจที่เห็นได้ชัดชนิดนี้ของเนี่ยอู๋ชางกลับทำให้นางไม่อาจพูดอะไรออกมา

    นางยิ้มขื่น เนี่ยอู๋ชางคนนี้มั่นใจในนิสัยของนางแล้วสินะ

………………..

 

ตอนที่ 411 – สังหารอย่างชุลมุน

 

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท