หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 418 พักฟื้น

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 418 – พักฟื้น

 

    “เจ้านาย!” เมื่อได้ยินเสียงของเฟยเฟย โม่เทียนเกอลืมตาขึ้นมา

    นี่เป็นปีที่ห้าที่นางหนีจากเงื้อมมือของเจ้าเมืองเหมยมาซ่อนในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ตลอดห้าปีนี้ นางไม่ได้ออกไปเลย อย่างแรกคือเสียเวลาหนึ่งปีเพื่อขับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มออกจากในมือ ส่วนสี่ปีหลังก็กักตนพักฟื้นรักษาบาดเจ็บมาตลอด

    หนึ่งการโจมตีของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มิใช่เรื่องเล็กน้อย ถึงจะหนีเอาชีวิตรอดมาได้ อาการบาดเจ็บที่นางได้รับกลับไม่เบา ห้าปีแล้วยังคงไม่หายสนิท จากที่นางคาดการณ์เอาเอง คาดว่ายังต้องใช้เวลาอีกสี่ห้าปี

    คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอถอนหายใจ ถกอย่างจริงจังยังเป็นเพราะว่านางพื้นฐานไม่แน่นพอ ช่วงเริ่มต้นตอนอยู่ระดับสร้างฐานพลัง นางใช้ประโยชน์จากผลห้าวิญญาณของจงมู่หลิง พุ่งรวดเดียวจากสร้างฐานพลังขั้นต้นถึงสร้างฐานพลังขั้นกลาง ประหยัดเวลาไปสิบกว่าปี ภายหลัง เมื่อใคร่ครวญถึงการก่อเกิดตาน นางอดทน ลดความเร็วในการฝึกตน ทั้งเพื่อสภาวะจิตใจแล้วก็เพื่อฐานการฝึกตนที่อ่อนแอเกินไป ช้าลงเช่นนี้ ตอนที่นางก่อเกิดตานจึงไม่ได้ประสบกับด่านยากอะไร

    ทว่าตอนนี้ ปัญหาของนางคล้ายคลึงกับปีนั้น แปดสิบหกปีก่อเกิดตาน แค่สิบสามปีก็เลื่อนขึ้นขั้นกลาง ครั้งนี้ถึงจะไม่เกินตัวไปอย่างตอนสร้างฐานพลัง แต่ก็ใช้ประโยชน์จากการฝึกตนร่วมสัมพันธ์จึงสามารถเลื่อนขั้นได้ไวขนาดนี้

    ฐานการฝึกตนที่อ่อนแอ สิ่งที่จะต้องแบกรับคือสภาวะการฝึกตนที่ไม่มั่นคง ถึงนางจะท่องไปทั่วทุกทิศเพื่อฝึกสภาวะจิตใจ มาถึงอวิ๋นจงที่มีมหาสมุทรขวางกั้น ยังคงไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างสิ้นเชิง

    ปัจจุบันนี้นับไปแล้วนางแค่หนึ่งร้อยหกปี อย่าเพิ่งพูดถึงว่าก่อเกิดตานขั้นกลางแล้วเลย ถึงขนาดที่ยังเสียเวลาอยู่หลายปีรักษาบาดเจ็บด้วย เรื่องพวกนี้หากพูดออกไปช่างชวนตะลึงโดยแท้

    หลังรักษาบาดเจ็บครั้งนี้ นางขบคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าไม่จำเป็นว่าจะเป็นเภทภัย หลังได้รับบาดเจ็บ นางจะต้องเสียเวลารักษาบาดเจ็บ แล้วยังต้องพักฟื้น เช่นนี้จึงสามารถฟื้นฟูสู่ระดับการฝึกตนก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บ อย่างนี้แล้วก็ทำให้นางมีโอกาสสร้างฐานการฝึกตนที่ลอยคว้างให้แน่นขึ้นมาหน่อย

    ถึงอย่างไร เป้าหมายของนางคือเหนือกว่าจิตวิญญาณใหม่ แปลงเทพกลายเป็นเซียน

    “เจ้านาย ข้ากำลังเรียกท่าน ท่านไม่ได้ยินหรือ” เสียงอ่อนละมุนของเฟยเฟยดังขึ้น น้ำเสียงกลับแค้นเคืองถึงสิบส่วน

    โม่เทียนเกอจนใจอยู่บ้าง ตั้งแต่ที่เฟยเฟยรู้สำนึก นางก็รู้สึกว่าตนเองสูญเสียความยิ่งใหญ่ของเจ้านายไปจนหมดสิ้น แต่จะให้นางประชันขันแข่งกับอสูรวิญญาณตัวหนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระมาก ดังนั้น ปล่อยมันไป

    “เจ้าอยากจะพูดอะไร” โม่เทียนเกอถาม

    เฟยเฟยยกอุ้งเท้า ชี้ไปยังเรือนเล็กติดกัน “ด้านนั้นเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวนิดหน่อย”

    เรือนเล็กหลังนั้นก็คือเรือนที่นางเก็บกวาดให้เนี่ยอู๋ชางอยู่ชั่วคราว ตั้งแต่ห้าปีก่อนที่เนี่ยอู๋ชางกลืนกินปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพวกนั้นก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไรมาโดยตลอด ส่วนตัวนางเองก็ต้องรักษาบาดเจ็บ ก็เลยไม่ได้ใส่ใจมาก กลับเป็นเฟยเฟยที่มักจะวิ่งไปดู ๆ อย่างสนอกสนใจ นางก็เลยมอบหมายเรื่องการดูแลเนี่ยอู๋ชางให้เฟยเฟยอย่างวางใจ

    เจ้าตัวน้อยตัวนี้ถึงนิสัยจะเลวร้ายไปบ้าง แต่เฉลียวฉลาดยิ่ง ไม่ต้องปฏิบัติกับมันเหมือนเป็นอสูรวิญญาณเลย เรื่องที่มอบหมายให้มันไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจเลย

    ห้าปีไร้ความเปลี่ยนแปลงสักนิด ขณะนี้ถึงกับมีความเคลื่อนไหวแล้วหรือ โม่เทียนเกอหยุดรักษาบาดเจ็บชั่วคราว ลุกขึ้นเดินไปยังเรือนเล็ก

    โม่เทียนเกอเห็นทะลุผ่านหน้าต่างของเรือนเล็กว่าปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่ห้อมล้อมเนี่ยอู๋ชางคล้ายจะหายไปมากมายแล้ว ส่วนลมปราณของตัวนางเองกลับเสถียรยิ่งขึ้นแล้ว

    ดูท่าระยะเวลาห้าปีนี้ เนี่ยอู๋ชางดูดซับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพวกนี้ไปกว่าครึ่งแล้ว อย่างน้อยที่สุดจะไม่ถูกสะท้อนกลับ

    ส่วนความเคลื่อนไหวที่เฟยเฟยพูด นางดูอยู่พักหนึ่ง ค้นพบว่าเนี่ยอู๋ชางลมปราณหนักหน่วง คล้ายมีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา

    โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว

    “เจ้านาย ต้องโยนนางออกไปหรือไม่” เฟยเฟยเสนออย่างใจดำอยู่ด้านข้าง

    โม่เทียนเกอกลอกตาใส่มัน อันที่จริง ไม่ว่าจะเฟยเฟย, เสี่ยวฝานหรือว่าเสี่ยวหั่วล้วนไม่เป็นมิตรนักต่อคนอื่นที่รุกล้ำอาณาเขตแห่งนี้ ปีนั้นตอนที่ฉินซีอยู่ที่นี่ เสี่ยวฝานยังไม่อยู่ เฟยเฟยก็ยังไม่รู้สำนึก แต่ว่าเวลานั้น เฟยเฟยและเสี่ยวหั่วสองอสูรวิญญาณก็ชอบไม่แยแสต่อฉินซี ครั้งนี้นางพาเนี่ยอู๋ชางเข้ามา ทัศนคติของอสูรวิญญาณสามตัวนี้ยิ่งเห็นชัด เสี่ยวหั่วไม่สนใจเลย เสี่ยวฝานจะบ่นไม่กี่คำเป็นครั้งคราว เฟยเฟยยิ่งพูดว่าอยากโยนนางออกไปเรื่อย ๆ

    แต่ว่า จะดีจะชั่วนางก็เป็นเจ้านาย พวกมันไม่กล้าทำอะไรจริง ๆ เฟยเฟยก็ดูแลเนี่ยอู๋ชางเป็นอย่างดีมากมาโดยตลอด

    “ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไร” เฟยเฟยกระโดดเบา ๆ ขึ้นไปบนไหล่ของนาง มองทะลุหน้าต่างเข้าไปดู “ไม่แน่ว่านางจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงเวลาจะทำอย่างไร ความลับนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ!”

    โม่เทียนเกอเอื้อมมือไปลูบกับมัน เกาใต้รักแร้ของมัน เอ่ยว่า “เตรียมออกไป”

    “เอ๊ะ?” เฟยเฟยนิ่งงันไป “จะโยนนางออกไปจริง ๆ หรือ”

    โม่เทียนเกอมองมันอย่างกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เมื่อครู่เจ้ามิใช่ยังกล่อมข้าอยู่เลยหรือว่าให้โยนนางออกไป ทำไมตอนนี้กลับใจอ่อนแล้วเล่า”

    “ข้าไม่ได้ใจอ่อน” เฟยเฟยบิดปากพูด “เพียงแต่ว่า เป็นเจ้านายท่านที่ใจอ่อน จะต้องไม่โยนนางออกไปจริง ๆ แน่ ๆ”

    “……” การครอบครองอสูรวิญญาณที่เฉลียวฉลาดเกินไปตัวหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี

    โม่เทียนเกอส่ายหน้า ใช้จิตสัมผัสเรียกเสี่ยวฝานและเสี่ยวหั่ว “เข้าไปในกระเป๋าอสูรวิญญาณให้หมดเถอะ พวกเราต้องออกไปสักรอบ”

    เสี่ยวหั่วพูดไม่ได้ เบิกตามองนางอย่างไม่เข้าใจ เสี่ยวฝานได้ยินวาจานี้แล้วกลับร้องว่า “เจ้านาย เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของท่านเล่า”

    โม่เทียนเกอยังไม่ได้ตอบ เฟยเฟยก็แย่งพูดแล้ว “เจ้านายไม่ได้จะออกไปต่อสู้ เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

    “แต่ว่า……” ทัศนคติของเฟยเฟยทำให้เสี่ยวฝานโกรธมาก แต่มันไม่ได้กล้าอย่างเฟยเฟย เจ้านายอยู่ตรงหน้า ไม่กล้าสู้กลับ

    “ไม่เป็นไร” โม่เทียนเกอกล่าวได้ทันท่วงที “แค่ออกไปทำธุระนิดหน่อยเท่านั้น เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้ ไม่มีปัญหาหรอก”

    ว่าแล้วก็จับเสี่ยวหั่วยัดเข้ากระเป๋าอสูรวิญญาณก่อน จากนั้นเป็นเสี่ยวฝานและเฟยเฟยที่เห็นว่านางยืนกรานก็ได้แต่กระโดดเข้าไปอย่างเชื่อฟัง

    หลังเตรียมการแล้วเสร็จ โม่เทียนเกอล้วงถุงมือหนึ่งคู่ออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ สวมไว้บนมือ

    นี่เป็นสิ่งที่สร้างจากผ้าปักไหมสวรรค์ที่เหลือจากที่นางหลอมสร้างพัดแห่งสวรรค์และโลกาในปีนั้น นอกจากศิลาเมฆานิ่งและแร่อวี้สุ่ยพันปีที่หายากแล้ว วัตถุดิบอื่น ๆ นางจ่ายเงินก้อนโตหาซื้อมา ล้วนมีเหลือ เมื่อค้นพบว่าไม่อาจสัมผัสถูกเนี่ยอู๋ชางตรง ๆ นางก็ขุดผ้าปักไหมสวรรค์ออกมาแล้วสร้างเป็นถุงมือคู่นี้ เพียงแค่สวมถุงมือ เมื่อแตะเนี่ยอู๋ชางอีกก็จะไม่ถูกปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของนางกัดกร่อนแล้ว

    ทำทุกสิ่งนี้เสร็จ นางเปิดกำแพงอาคมของเรือนน้อย ดึงเนี่ยอู๋ชางขึ้นมา ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

    พอออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็รู้สึกได้ถึงลมหนาวหอบหนึ่ง โม่เทียนเกอเงยหน้ามองไปโดยรอบ รอบด้านยังคงเป็นหมอกหนาผืนหนึ่ง จิตหยั่งรู้แผ่ขยายไปก็ไม่สัมผัสได้ถึงลมปราณของผู้ฝึกตนอื่นใด

    ห้าปีแล้ว เจ้าเมืองเหมยนั้นย่อมจะไม่ยังรอไล่สังหารพวกนางอยู่ที่นี่ อีกอย่าง แผนการของเขาล้มเหลว ล่าสังหารผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่มีภูมิหลังไปมากขนาดนั้น หลังเรื่องราวจะต้องกลายเป็นศัตรูของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่าง ๆ กลุ่มอิทธิพลเหล่านั้น พวกที่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นท้ายมีไม่น้อย เกรงว่าเขายากจะคุ้มครองตนเองแล้ว

    โม่เทียนเกอเก็บความคิด มองดูเนี่ยอู๋ชางที่อยู่ด้านข้าง หลังจากขบคิดสักพักก็หยิบชุดสีดำหนึ่งตัวออกจากในกระเป๋าเอกภพแล้วคลุมนางจนมิด

    ชุดดำนี้เป็นแค่เสื้อผ้าทั่วไป ซ่อนปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของนางไม่อยู่ แต่ว่าลักษณะแบบนี้นางดูไปแล้วจะไม่ต่างกับผู้ฝึกมาร ก็จะไม่ดึงดูดความระแวงสงสัยของคนเขา

    ถัดจากนั้น โม่เทียนเกอพยุงเนี่ยอู๋ชาง เลือกทิศทางตรงกันข้ามกับเมืองซิงลั่วหนีไป

    ตอนเริ่มแรกที่นางเข้าหมอกหลงทิศก็ไม่ได้เข้าลึกเกินไป ดังนั้นเพียงเสียเวลานิดหน่อยก็ออกมาจากด้านในแล้ว หมอกนี้เพียงแค่ทำให้คนแยกแยะทิศทางได้ไม่ชัดเจน ไม่ได้มีผลร้ายอื่น ๆ

    บินหลบหนีไปทางทิศเหนือประมาณครึ่งชั่วยาม โม่เทียนเกอเห็นเมืองที่อยู่ในเทือกเขาแล้ว

    อาณาจักรเป่ยหลินนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภูมิประเทศเขาสูง แดนมารเหล่านั้นกว่าครึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขา และเมืองแห่งนี้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เต็มไปด้วยปราณมารอันเข้มข้น เทียบกับเมืองซิงลั่วแล้วยังเข้มข้นกว่าหลายส่วน น่าจะเป็นแดนมารเช่นกัน

    โม่เทียนเกอไม่ได้ลังเล ทิ้งตัวลงไป

    แดนมารแห่งนี้ถึงจะอยู่ใกล้เมืองซิงลั่ว ขนาดกลับใหญ่กว่าเมืองซิงลั่วมาก น่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าเมืองเหมย นางวางใจได้

    อย่างรวดเร็ว นางทิ้งตัวลงยังหน้าประตูของเมืองแห่งนี้ เมืองที่เป็นของผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ล้วนมีคำสั่งห้ามบิน ดังนั้นยังคงเดินเข้าเมืองปฏิบัติตามกฎถึงจะดี

    เมืองแห่งนี้สูงยิ่ง กำแพงเมืองไม่รู้ว่าใช้สิ่งของอะไรก่อสร้าง ถึงกับเป็นสีดำสนิท จุดสูงสุดของเมืองมีธงหน้าผีหนึ่งผืนโบกสะบัด ทันทีที่เห็น โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่าหน้าผีนี้คุ้น ๆ ถึงสิบส่วน จำแนกโดยละเอียด คิดขึ้นมาได้ว่า ธงหน้าผีของหยางเฉิงจีที่นางเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนก็มีลักษณะอย่างนี้พอดีเลย

    อย่าบอกนะว่า นี่ก็คือเมืองกุ่ยฟาง? โม่เทียนเกอพึมพำในใจหนึ่งประโยค เดินไปหาผู้ฝึกมารที่เฝ้าเมืองอยู่

    ผู้ฝึกมารนั้นเห็นนางและเนี่ยอู๋ชาง ไม่กล้าละเลย ถามอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ผู้อาวุโสทั้งสอง มาที่เมืองกุ่ยฟางคือมาท่องเที่ยวหรือว่าเยี่ยมสหายขอรับ”

    เป็นเมืองกุ่ยฟางตามคาด

    โม่เทียนเกอสีหน้าเป็นปกติ กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “สหายของข้าผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ มาหาที่พักเท้าที่นี่สักหน่อย”

    ผู้ฝึกมารนั้นสังเกตเห็นเนี่ยอู๋ชางแต่แรกแล้ว ดูพลังสภาวะ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกมารที่ความแข็งแกร่งกล้าแข็ง แต่ถูกผู้ฝึกเต๋าผู้นี้พยุง ดูประหลาดอยู่บ้าง เดิมทีเขาอยากจะถามอีก คิดไม่ถึงว่าโม่เทียนเกอตอบมาแล้ว

    อาจจะเพราะว่าสีหน้าของโม่เทียนเกอสงบเฉยเกินไป อาจจะเพราะว่าระดับการฝึกตนของพวกนางทั้งสองเพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขา ผู้ฝึกมารระดับสร้างฐานพลังผู้นี้เพียงมองเพิ่มอีกหนึ่งรอบแล้วก็ปล่อยผ่านไป “กฎเกณฑ์ของเมืองกุ่ยฟางเรา ขอเพียงไม่ทำเรื่องที่ไม่ดีต่อเมืองกุ่ยฟาง ผู้ฝึกตนท่านใด ๆ ก็ไปมาได้อย่างอิสระ ผู้อาวุโสทั้งสองเชิญ”

    โม่เทียนเกอพยักหน้าให้เขา พยุงเนี่ยอู๋ชางเข้าเมือง

    ในเมื่อเป็นเมืองกุ่ยฟาง เช่นนั้นน่าจะยังนับว่าปลอดภัย พวกนางกับหยางเฉิงจีมีวาสนาพบหน้า การร่วมมือกันก่อนหน้านี้ยังนับว่าราบรื่น ไม่มีความขัดแย้งเลย และเมืองกุ่ยฟางยังเป็นหนึ่งในสามแดนมารใหญ่ จะอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเมืองซิงลั่ว ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเจ้าเมืองเหมย

    โม่เทียนเกอคิดอย่างนี้ เรียกผู้ฝึกมารที่เดินผ่านไปสุ่ม ๆ สักคนว่า “ขอถาม —”

    ผู้ฝึกมารนั้นเพิ่งจะเข้าระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ ถูกผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่งร้องเรียก รู้สึกถูกเอ็นดูจนแตกตื่นอยู่บ้าง เอ่ยอย่างกระอึกกระอักว่า “นี่ ผู้อาวุโสท่านนี้ มี มีอะไร สั่งหรือ ขอรับ”

    โม่เทียนเกอถามอย่างสงบนิ่งว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเมืองมีโรงเตี๊ยมที่ปล่อยเช่าถ้ำพำนักไหม”

    เมื่อได้ยินคำถามนี้ ผู้ฝึกมารคนนี้สงบลงมาหน่อย โค้งกายตอบว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ โรงเตี๊ยมอื่นสามารถให้เช่าถ้ำพำนักหรือไม่ ผู้เยาว์ไม่ทราบชัด แต่ว่า โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองกุ่ยฟางเราจะต้องได้แน่”

    “อ้อ?  โรงเตี๊ยมนั้นอยู่ที่ใด”

    ผู้ฝึกมารชี้ไปยังสุดปลายถนน “บังเอิญนัก โรงเตี๊ยมนั้นอยู่ใกล้ที่นี่ ผู้อาวุโสโปรดดู ไปด้านนี้ หลังที่สูงที่สุดนั่นล่ะ ชื่อว่าที่พำนักเซียนมาร”

    โม่เทียนเกอพยักหน้า ล้วงศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนออกมามั่ว ๆ โยนให้เขา “ขอบคุณมาก”

    ผู้ฝึกมารได้รับศิลาวิญญาณก้อน ดีใจไม่รู้แล้ว “ขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ!” ถึงพวกเขาผู้ฝึกมารไม่อาจใช้ศิลาวิญญาณโดยตรง แต่ว่าสามารถใช้เป็นเงิน ศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนสำหรับเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่เพิ่งเข้าสู่การหลอมรวมพลังวิญญาณเรียกได้ว่าล้ำค่ามากเลยนะ!

    ผู้ฝึกมารเก็บศิลาวิญญาณแล้วเงยหน้าขึ้น กลับเห็นร่างของพวกโม่เทียนเกอสองคนหายลับไปในถนนแล้ว อดเผยสีหน้าอิจฉามิได้ “เมื่อไหร่ข้าจะสามารถมีระดับการฝึกตนสูงอย่างนี้ได้นะ……”

……………….. 

 

ตอนที่ 419 – เรื่องของผู้ฝึกมาร

 

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน