หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 424 ห้าปราชญ์

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 424 – ห้าปราชญ์

 

    ความวุ่นวายที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์สายมารชักนำยังเกินไปกว่าจินตนาการของโม่เทียนเกอ

    หลังออกจากสกุลหลิง นางไม่ได้ออกเดินทางไปทะเลกุยสวีเสาะหาหลิงอวิ๋นเฮ่อทันที ทว่ารั้งอยู่ที่เมืองเทียนเสวี่ยชั่วคราว ในระหว่างนี้ นางเห็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานจำนวนมากผ่านเมืองเทียนเสวี่ย มุ่งหน้าลงใต้อย่างเร่งรีบ

    ในผู้ฝึกตนเหล่านี้ บ้างรวมเป็นกลุ่ม บ้างกลับมีคนเดียวโดดเดี่ยว คาดว่ามีทั้งผู้ฝึกตนสำนักและผู้ฝึกตนอิสระ ดูท่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์สายมารนี้มีน้ำหนักใหญ่หลวงในใจของผู้ฝึกตนอวิ๋นจง

    เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ โม่เลี่ยงไม่ได้ที่จะไปสอบถามข่าวคราว นางรู้สึกฉงน วัตถุศักดิ์สิทธิ์สายมารนี้จะร้ายกาจอีกสักแค่ไหนก็เป็นเพียงอาวุธเวทชิ้นหนึ่งเท่านั้น อวิ๋นจงไม่ได้ขาดผู้ฝึกตนที่เลิศล้ำ เหตุไฉนล้วนแห่กันไปหาอาวุธเวทชิ้นนี้เล่า

    จนกระทั่งไปถึงโรงน้ำชาของเมืองเทียนเสวี่ย นางถึงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

    เรื่องใหญ่อย่างนี้ ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณและสร้างฐานพลังล้วนไม่อาจสอดมือ แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกระตือรือร้นของพวกเขา จากปากคำของคนเหล่านี้ โม่เทียนเกอทราบว่า ที่แท้อวิ๋นจงมีตำนานโบราณสืบต่อกันมาจำนวนหนึ่ง

    แสนปีก่อนเป็นตอนที่โลกฝึกตนของอวิ๋นจงรุ่งเรืองที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสายธรรมะหรือว่าสายมารล้วนมีอัจฉริยะผุดขึ้น รุ่งเรืองโชติช่วง ในเวลานั้น ในหมู่ผู้ฝึกตนแต่ละสายปรากฏบุคคลในตำนานหลายคน หนึ่งคือฝูเหยาจื่อ สองคือจอมมารเทียนเย่า สามคือบรรพจารย์สำนักจิ่วเยี่ยนกุยเจินเต้าเสิ้ง สี่คือปราชญ์ขงจื้อโจวฟูจื่อ ห้าคือฮุยอินต้าซือสำนักพุทธ

    บุคคลห้าท่านนี้ อายุห่างกันไม่เกินหนึ่งพัน เป็นคนร่วมยุคสมัย เนื่องจากณานศักดิ์สิทธิ์อันเหนือล้ำกว่าคนร่วมรุ่นอื่น ๆ ไปไกลของทั้งห้าคน จึงได้รับการเรียกขานจากผู้ฝึกตนอวิ๋นจงว่าห้าปราชญ์

    ในห้าปราชญ์ ฝูเหยาจื่อเป็นคนที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่สุด เขาไร้โรงเรียนไร้สำนัก กลับมีณานศักดิ์สิทธิ์น่าทึ่ง จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ยังถูกผู้ฝึกเต๋าเรียกขานว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งตลอดกาลของอวิ๋นจง อีกสี่คนเป็นตัวแทนของสายมาร, เต๋า, ขงจื้อ, พุทธ ต่างมีลูกศิษย์สืบทอด

    นอกจากนี้ เกี่ยวกับห้าปราชญ์ อวิ๋นจงยังมีข่าวลือ ว่ากันว่า ห้าปราชญ์นี้สุดท้ายแล้วล้วนเลื่อนขึ้นระดับแปลงเทพ ไปจากโลกหล้า ตอนที่จากไป แต่ละคนทิ้งสมบัติไว้ในโลกมนุษย์ นี่ก็คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นที่สืบทอดกันในอวิ๋นจง

    วัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้ ของจอมมารเทียนเย่าย่อมเป็นเจดีย์มารสวรรค์ ยังมีหนึ่งชิ้นคือแหฟ้าตาข่ายดินของฮุยอินต้าซือ อีกสามชิ้น ชนชาวโลกเพียงรู้ว่ามีสมบัติ แต่ไม่รู้ชื่อ แต่ว่า นอกจากฝูเหยาจื่อ กุยเจินเต้าเสิ้ง, โจวฟูจื่อและฮุยอินต้าซือสามคน ต่างมีลูกศิษย์สืบทอด คงอยู่ในมือคนในสำนักพวกเขาเสียแปดส่วน

    สำหรับจอมมารเทียนเย่า กลับเป็นเพราะว่าหลังจากไปจากโลกในครั้งนั้น ประมุขมารใหญ่ทั้งสิบถูกฝูเหยาจื่อคนเดียวสะกด เจดีย์มารสวรรค์สุดท้ายแล้วสาปสูญร่องรอยไป ก็เพราะเหตุนี้ นานหลายปีขนาดนี้แล้ว สายมารถึงจะไม่ขาดผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อันเลิศล้ำ แต่ล้วนถูกสายอื่น ๆ สะกดข่มไปหนึ่งขั้น

    โม่เทียนเกอออกจากโรงน้ำชา นั่งครุ่นคิดเงียบ ๆ ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

    แหฟ้าตาข่ายดิน แหฟ้าตาข่ายดิน ทำไมฟังแล้วคุ้นหูอย่างนี้เล่า

    คิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ในสมองเกิดปฏิภาณวูบขึ้นมา!

    สิบปีก่อน ตอนที่นางแรงมาถึงเมืองเทียนเสวี่ย ถูกผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขวางทางปล้น ตอนนั้นเก็บอาวุธเวทของพวกเขาเข้ากระเป๋าอย่างสะดวกสบาย อาวุธเวทชิ้นนั้นพวกเขามิใช่เรียกมันว่าแหฟ้าตาข่ายดินพอดีหรอกหรือ?!

    คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเอกภพ คลำอยู่พักใหญ่ ดึงตาข่ายสีทองผืนหนึ่งออกมา

    ตาข่ายนี้ไม่รู้ว่าถักจากวัตถุอันใด เป็นสีทองทั้งผืน เบาดุจไร้สสาร บนตัวมันมีพลังวิญญาณอันพิสดาร

    ดูอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอดูไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่สมบัติทั่วไปจะมีพลังสภาวะเสมอ ตัวอย่างเช่นกระบี่ฝูเซิงเล่มนั้นที่นางได้รับมา ถึงจะถูกปราณมารกัดกร่อนจนเต็มไปด้วยสนิมแล้ว แต่ยังคงทรงพลังจนน่าตระหนก แต่ตาข่ายทองที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับดูไม่ออกว่ามีพลังอะไร หากจะบอกว่ามีอะไรไม่ปกติ ก็คือวัตถุนี้ดูแล้วงดงามยิ่ง ทว่าพลังวิญญาณที่อยู่บนนั้น ด้วยระดับการฝึกตนของนางก็ยังมองไม่ทะลุ

    คิดย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อนโดยละเอียด สองคนนั้นคนหนึ่งตายด้วยน้ำมือของนาง อีกคนหนึ่งนางดูแล้วยังนับว่าสบายตา ก็เลยปล่อยเขาไป คนคนนั้นเคยสารภาพว่าพวกเขาอันที่จริงแล้วเป็นผู้ฝึกพุทธ แต่ปัญหาคือ พวกเขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสองคน จะสามารถครอบครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธได้อย่างไร วัตถุศักดิ์สิทธิ์สายมารหนึ่งชิ้นก็ชักนำให้ทั่วทั้งอวิ๋นจงวุ่นวายไม่สงบ วัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธน่าจะเก็บรักษาดี ๆ อยู่ในมือผู้ฝึกตนใหญ่โตสายพุทธถึงจะถูก

    หรือว่า วัตถุนี้เป็นของเลียนแบบของแหฟ้าตาข่ายดินที่แท้จริง? นี่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ อาวุธเวทสื่อวิญญาณอันขึ้นชื่อมากมายล้วนจะมีของเลียนแบบอยู่บนโลก อย่างเช่นตราประทับสี่เหลี่ยมชิ้นนั้นในมือของนางเอง ที่จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเลียนแบบอาวุธเวทคู่ชีพของประมุขเต๋าเจิ้นหยางทำออกมา ดังนั้น ถึงจะไม่ได้นับว่าเป็นอาวุธเวทชั้นยอด แต่ก็แหลมคมถึงสิบส่วน

    คิดอยู่ครู่หนึ่ง คิดหาสาเหตุไม่ออก โม่เทียนเกอส่ายหน้า เก็บตาข่ายทองกลับเข้ากระเป๋าเอกภพ

    นางมิใช่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจง ถึงแม้ผู้ฝึกตนทั่วทั้งอวิ๋นจงล้วนบ้าคลั่งไปกับเรื่องนี้ นางก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นสักนิด ผู้ฝึกตนระดับสูงมากขนาดนั้น ในนี้ไม่ขาดผู้ฝึกตนณานศักดิ์สิทธิ์สูงส่งที่อยู่ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ไปแล้วก็ได้แต่ชมดูความครึกครื้น ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ละโมบต่อวัตถุศักดิ์สิทธิ์สายมารเลย

    เช่นนี้แล้ว รั้งอยู่ที่เมืองเทียนเสวี่ยอีกสองสามเดือน ในช่วงเวลานี้ ภายในเมืองเทียนเสวี่ยได้ยินเสียงลมก็เชื่อว่าฝนจะตก** ข่าวซุบซิบในโรงน้ำชาแพร่กระจายอย่างดุเดือด แต่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ

    ผู้ฝึกตนสายต่าง ๆ ลงมือต่อสู้กันใหญ่ที่ทะเลกุยสวีบาดเจ็บล้มตายกว่าครึ่งอะไรเอย  ที่ทะเลกุยสวีค้นพบรอยแยกมิติอะไรเอย เจดีย์มารสวรรค์ที่จริงตกไปอยู่ในมือของคนนั้นคนนี้อะไรเอย……ข่าวสับสนไร้ที่เปรียบ

    โม่เทียนเกอฟังจนมึนงง จึงหาเวลาไปพบเสี่ยวชุ่นอีกตรง ๆ เลย

    เสี่ยวชุ่นแสดงออกว่ากระตือรือร้นต่อการมาของนางถึงสิบส่วน เผชิญกับคำถามของนางก็เล่าสิ่งที่รู้จนหมดเปลือก

    จากเสี่ยวชุ่น โม่เทียนเกอได้ฟังตำนานอีกฉบับ

    “ผู้อาวุโสขอรับ ตำนานของห้าปราชญ์ ถึงจะแพร่กระจายที่อวิ๋นจงมานานแล้ว แต่เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ในนั้นข้อผิดพลาดมากมายยิ่ง อย่างลูกศิษย์ในสำนักของห้าปราชญ์อย่างพวกเรา ล้วนพูดได้ไม่ชัดเจนว่าสรุปแล้วจริงหรือเท็จแล้วขอรับ”

    ได้ยินเสี่ยวชุ่นพูดเยี่ยงนี้ โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “พูดอย่างนี้ พวกนั้นที่ข้าได้ยินมาน่าจะล้วนเป็นความเท็จแล้ว?”

    เสี่ยวชุ่นลังเลครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “ก็ไม่ได้เท็จทั้งหมด ตัวของห้าปราชญ์ รวมทั้งวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นที่พวกท่านเหลือทิ้งไว้ น่าจะล้วนเป็นความจริง แต่ว่าพวกอย่างอื่นเป็นความเท็จ อย่างเช่น ผู้ที่สามารถยืนยันว่าแปลงเทพมีเพียงจอมมารเทียนเย่าและฝูเหยาจื่อสองท่าน ท่านอื่น ๆ รวมถึงกุยเจินเต้าเสิ้งของสำนักจิ่วเยี่ยนเรา ล้วนเพียงเล่าลือว่าแปลงเทพเท่านั้น สรุปว่าแปลงเทพหรือไม่ พวกเราชนรุ่นหลังเหล่านี้ก็ไม่รู้”

    โม่เทียนเกอตะลึง “นี่เป็นเพราะเหตุใด กุยเจินเต้าเสิ้งเป็นบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งของพวกเจ้า อย่าบอกนะว่าในสำนักไม่มีบันทึกเลย?”

    เสี่ยวชุ่นส่ายหน้า “มันนานจนเกินไปแล้ว ไหนเลยจะบันทึกละเอียดขนาดนั้นขอรับ อย่าว่าแต่ข้าถึงที่สุดแล้วเป็นเพียงศิษย์ทั่วไป ถึงอารองจะเอ็นดู เทียบกับคนอื่นแล้วรู้มากกว่าหน่อย แต่เรื่องบางอย่าง สุดท้ายแล้วมิใช่สิ่งที่ศิษย์อย่างข้าจะสามารถรู้ได้”

    โม่เทียนเกอฟังแล้วรู้สึกมีเหตุผล พยักหน้า ความลับบางอย่าง มีเพียงคนจำนวนน้อยจึงสามารถล่วงรู้ คนอื่น ๆ ระดับไม่พอ ไม่ว่าความสัมพันธ์ใกล้ชิดอีกแค่ไหนก็ไม่มีที่ให้รู้

    “แต่ว่า มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยัน ห้าปราชญ์อันที่จริงต่างถ่ายทอดอาวุธเวทที่มีณานศักดิ์สิทธิ์น่าทึ่งมาหนึ่งชุด” เสี่ยวชุ่นเอ่ยอีก จากนั้นลังเล แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสขอรับ ถัดจากนี้ ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นจริงหรือเท็จ เป็นเพียงข่าวลือที่ได้ยินในสำนักเท่านั้น หากว่ามีความผิดพลาด ท่านโปรดอย่าตำหนิข้า”

    โม่เทียนเกอได้ยินแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องเมื่อแสนปีก่อน จะสามารถรับประกันว่าไม่มีความผิดพลาดสักจุดได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่ต้องกังวลใจ เดิมทีก็เป็นตัวข้าเองที่อยากสอบถามข้อมูลจากเจ้า ไยจะโทษว่าเจ้าเล่า”

    เสี่ยวชุ่นได้ยินวาจานี้ของนาง ยิ้มพลางลูบศีรษะอย่างเขินอาย เรื่องพวกนี้ ถึงจะไม่นับว่าเป็นความลับของสำนัก แต่เขาเต็มใจพูดออกมาก็เพราะว่าผู้อาวุโสฉินคนนี้นิสัยดี น่าคบหาอย่างยิ่ง

    “ผู้อาวุโสจะต้องอยากทราบว่า เหตุใดห้าปราชญ์จึงส่งต่ออาวุธเวทเหมือน ๆ กันกระมัง” เสี่ยวชุ่นกล่าว

    โม่เทียนเกอพยักหน้า “นี่เป็นส่วนที่ข้าไม่เข้าใจพอดี” ทิ้งสมบัติไว้ให้ชนรุ่นหลังปกติอย่างยิ่ง แต่ทำไมในคำร่ำลือต้องเน้นย้ำถึง “อาวุธเวทที่ทรงพลังยิ่งยวดชิ้นหนึ่ง” “ได้รับการเรียกขานเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์” ด้วยเล่า อาวุธเวทห้าชิ้นเรียกเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ออกจะไม่ปกติจริง ๆ

    เสี่ยวชุ่นเอ่ยว่า “เรื่องนี้ ผู้เยาว์เคยได้ยินทฤษฎีอีกอย่างจากในสำนัก……”

    จากนั้น เสี่ยวชุ่นเริ่มขยายความช้า ๆ

    ว่ากันว่าแสนปีก่อน หลังจากทะเลกุยสวีเกิดคลื่นยักษ์หนึ่งครั้ง จู่ ๆ ปรากฏรอยแยกมิติหนึ่งรอย อ่านรอยแยกมิตินี้ไป จะสามารถเข้าไปสู่มิติอันมหัศจรรย์มิติหนึ่ง มิตินี้ไม่รู้ว่าถูกทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อใด ในนั้นเต็มไปด้วยลมปราณของปฐมกาล อัศจรรย์ยิ่ง

    การปรากฏขึ้นของมิติอย่างนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนแทบจะทั้งอวิ๋นจงล้วนถูกม้วนเข้าไป หลังจากผ่านการต่อสู้ สุดท้ายผู้ที่เข้ามิติแห่งนี้ก็คือผู้ฝึกตนชั้นยอดห้าท่าน ห้าปราชญ์

    ภายในมิตินี้ สรุปแล้วห้าปราชญ์ได้รับอะไร ไม่มีคนรู้ หลังพวกเขากลับมา ก็เก็บประสบการณ์ช่วงนี้เป็นความลับ แม้แต่ศิษย์ที่สนิทสนมที่สุดก็ไม่รู้เรื่องสักคน

    ภายหลัง ห้าปราชญ์พากันจากไป ในหมู่ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงเล่าลือกันลับ ๆ ว่าพวกเขาได้รับสมบัติวิญญาณปฐมกาลจากในนั้น ดังนั้นพุ่งชนแปลงเทพในก้าวเดียว — แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ห้าปราชญ์ได้รับอะไรจากสถานที่มหัศจรรย์นี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นการคาดเดา

    มิตินี้ หลังจากห้าปราชญ์จากไปก็ไม่มีคนสามารถเสาะพบอีก มีคนพูดว่า รอยแยกมิตินี้เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ไม่เสถียร หลังจากห้าปราชญ์ออกมาได้พังทลายลงไปเองแล้ว แล้วก็มีคนพูดว่าเป็นห้าปราชญ์ที่ซ่อนเอาไว้

    “คำตอบสรุปว่าเป็นอย่างไหน ผู้อาวุโสอยาดเดาดูหรือไม่” พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวชุ่นมองโม่เทียนเกอแล้วยิ้มอย่างมีความหมายแอบแฝง

    โม่เทียนเกอมองดูสีหน้านี้ของเขา ยิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าเป็นข้อที่สอง” ไม่อย่างนั้น จะต้องเอ่ยถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้นมาทำไม

    เสี่ยวชุ่นพยักหน้า “มิผิด สิ่งที่แพร่กระจายอยู่ในสำนักพวกเราคือคำตอบอย่างที่สอง ห้าปราชญ์ร่วมมือกันผนึกมิติอันมหัศจรรย์นี้เอาไว้ นอกเสียจากรู้วิธีเปิด ไม่อย่างนั้นไม่มีใครสามารถเข้าไป”

    พูดถึงตรงนี้ เขามองโม่เทียนเกอ “ผู้อาวุโสน่าจะเดาได้แล้วกระมัง อาวุธเวทห้าชิ้นที่ทิ้งเอาไว้นั้น ว่ากันว่าเป็นกุญแจของมิติเร้นลับนี้”

    “ที่แท้เป็นเช่นนี้……” อย่างนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าเพราะอะไรห้าปราชญ์ถึงต้องส่งต่อวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นสืบมา อันที่จริง พลังอำนาจมากหรือไม่เป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนี้สามารถเปิดมิติอันมหัศจรรย์นั้น

    “แต่ว่า” เสี่ยวชุ่นเน้นย้ำ “เรื่องนี้เป็นเพียงคำร่ำลือเท่านั้น ความจริงสรุปแล้วเป็นอย่างใด ไม่มีคนรู้ตั้งนานแล้ว แม้ว่าจะมีคนรู้ก็ไม่มีหนทางพิสูจน์ เพราะว่านอกจากเจดีย์มารสวรรค์และแหฟ้าตาข่ายดิน วัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกสามชิ้นเป็นอะไร มีไม่กี่คนที่ล่วงรู้”

    “อ้อ? หรือว่าสิ่งที่บรรพจารย์สำนักจิ่วเยี่ยนของพวกเจ้าถ่ายทอดลงมาคือะไร พวกเจ้าก็ไม่รู้?”

    “ไม่รู้ขอรับ” เสี่ยวชุ่นส่ายหน้าตรง ๆ “ดังนั้น ข่าวลือนี้สรุปว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ผู้เยาว์ก็บอกได้ไม่ชัดเจน ผู้อาวุโสเพียงถือเป็นคำซุบซิบแล้วฟังเอาไว้เฉย ๆ ก็ได้ขอรับ”

    โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ แต่กล่าวอีกฝ่าว “พูดอย่างนี้แล้ว สาเหตุที่อวิ๋นจงมีผู้ฝึกตนมากขนาดนี้กรูกันไปหาเจดีย์มารสวรรค์ไม่เพียงเพราะกลัวว่าสายมารจะได้รับวัตถุนี้ พลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าเป็นเพราะข่าวลือนี้แล้ว?”

    “คาดว่าใช่ขอรับ” เสี่ยวชุ่นไม่ได้พูดชี้ชัด “สำนักอื่นมีข่าวลือใด ข้ากลับไม่ทราบ”

    โม่เทียนเกอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มบางแล้วลุกขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาที่บอกเรื่องพวกนี้กับข้า เป็นจริงหรือเป็นเท็จ ข้าเพียงฟังเป็นเรื่องสนุกก็พอ” 

……………….. 

*คำว่าปราชญ์ (圣) เป็นคำเดียวกับคำว่าศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจจะแปลว่านักบุญก็ได้ คำว่าเต้าเสิ้งในฉายากุยเจินเต้าเสิ้งก็แปลว่าปราชญ์เต๋าได้เหมือนกัน 

**ได้ยินเสียงลมก็เชื่อว่าฝนจะตก (听风就是雨) ความหมายคือ เชื่อข่าวลือ

 

ตอนที่ 425 – เกาะหนานจี๋ที่หายไป

 

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท