หนึ่งเซียนยากเสาะหา – ตอนที่ 429 ผู้ฝึกตนสำนักพุทธ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 429 – ผู้ฝึกตนสำนักพุทธ

 

    บนท้องฟ้าของเมืองกุ่ยฟาง ตรงที่ซึ่งยังมีหมอกล่องลอย มีคนหลายคนยืนอยู่กลางอากาศ 

    คนหลายคนนี้ล้วนสวมจีวรรองเท้าฟาง ศีรษะล้านมีรอยธูป มือถือไม้ขักขระ แต่งกายอย่างภิกษุ ผ้ากาสาวะที่ห่มด้านนอกสีสันและรูปแบบไม่เหมือนกันเล็กน้อย

    ในนั้นผู้ที่ผ้ากาสาวะงดงามที่สุด พลังสภาวะกล้าแข็งที่สุดเป็นภิกษุชราที่คิ้วขาวเคราขาวหน้าตาปราณีผู้หนึ่ง ภิกษุชรารูปนี้นั่งอยู่บนแท่นปทุมกลางอากาศ หลับตาพนมมือ บนอกห้อยสร้อยประคำ ถูกพระคนอื่นล้อมไว้ตรงกลาง

    “เจวี๋ยซิ่น เป็นที่นี่หรือ” ภิกษุชรานั้นอ้าปากถาม ตอนที่ถาม เขายังคงหลับตาทั้งคู่ สีหน้าสงบนิ่ง ไม่ไหวติง 

    พระกลางคนรูปหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก้มศีรษะตอบว่า “ขอรับ ซือฟุ ศิษย์ตรวจสอบชัดแล้ว คนที่เสาะหากำลังอยู่ที่นี่”

    “อืม” ภิกษุชราพยักหน้าเบา ๆ “นำทาง”

    “ขอรับ” พระกลางคนตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นเงยหน้ากล่าวกับคนอื่น ๆ ว่า “ซือตี้ทั้งหลาย พวกเราไปเถอะ”

    ภายใต้การนำของพระกลางคนรูปนี้ คนทั้งกลุ่มซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอก ลอบเข้าเมืองกุ่ยฟางอย่างไร้สุ้มเสียง ทว่าผู้ฝึกตนของเมืองกุ่ยฟางไร้คนสังเกตเห็น แม้แต่กำแพงอาคมป้องกันก็ไม่ขยับสักนิด

    เวลานี้ ถ้ามีผู้ฝึกตนระดับสูงอยู่ที่นี่ก็จะค้นพบว่าภิกษุชราที่หน้าตาปราณีรูปนั้นถึงกับเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย และเหล่าลูกศิษย์ข้างกายเขาไม่มีสักคนที่ไม่ใช่ระดับก่อเกิดตาน

    โม่เทียนเกอลืมตาทั้งคู่ มองดูมือทั้งคู่ของตนเอง เก็บความยินดีเอาไว้ไม่ได้ 

    โอสถที่เพียงพอ แล้วยังบวกกับการกักตนสามปี ในที่สุดนางเลื่อนขึ้นก่อเกิดตานขั้นปลายได้อย่างราบรื่นแล้ว!

    ความเร็วนี้ไม่นับว่าเร็ว แต่ก็ไม่นับว่าช้า ก่อนหน้านี้ นางเพียงมีระดับการฝึกตนถึง ด้านการฝึกสภาวะจิตใจไม่ได้ไปถึงขอบเขตน้ำไหลก่อเกิดคูคลอง*  ในช่วงเวลาสามปีนี้ นางฝึกตนพลาง ใช้ใช้โอสถวิญญาณนานาประเภทช่วยให้พลังวิญญาณของตนเองมั่นคงอย่างระมัดระวัง สงบจิตสงบใจ เช่นนี้แล้วจึงสามารถเลื่อนขึ้นขั้นกลางอย่างอย่างราบรื่นไปทีละก้าว

    สำหรับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกเต๋ารูปแบบดั้งเดิม สภาวะจิตใจฝึกไม่พอ การเลื่อนขึ้นก็จะกลายเป็นยากลำบากมาก สิ่งที่น่าเสียดายคือ จุดนี้ผู้ฝึกเต๋าจำนวนมาไม่เข้าใจเลย ถึงจะรู้ว่าต้องฝึกสภาวะจิตใจ แต่น้อยคนจะเห็นความสำคัญ โลกใบนี้ ความขาดแคลนพลังวิญญาณ, ความยากลำบากของการฝึกตน ทำให้ผู้ฝึกเต๋าจำนวนมากเดินไปบนเส้นทางการฝึกตนแบบเดียวกับผู้ฝึกมาร เพียงไล่ตามความแข็งแกร่ง ทว่าไม่เห็นความสำคัญของการฝึกสภาวะจิตใจ

    โม่เทียนเกอรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปทั้งร่าง นางยืดกล้ามเนื้อและกระดูก เปิดกำแพงอาคมของห้องฝึกตน

    พอเปิดออก เฟยเฟยก็วิ่งเข้ามา

    “อา เจ้านาย ท่านเลื่อนขึ้นจริง ๆ ด้วย”

    เฟยเฟยน้ำเสียงร่าเริงอย่างนี้ ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีแผนร้าย นางเอ่ยอย่างตั้งป้อมว่า “เจ้าทำอะไร”

    เฟยเฟยกะพริบตา “เปล่านะ ก็แค่จะพูดสักคำ” ผ่านไปครู่หนึ่ง มันกระดิกหางพูดอีกว่า “เจ้านาย ผ่านไปยี่สิบเก้าปีแล้วนะ”

    โม่เทียนเกอเข้าใจความหมายของมัน ยี่สิบเก้าปี ตั้งแต่วันที่ค้นพบว่าเกาะหนานจี๋จมลงผ่านไปยี่สิบเก้าปีแล้ว พูดอย่างนี้ นางจากเทียนจี๋มาได้สี่สิบปีแล้ว เวลาที่เหลืออยู่ไม่ถึงร้อยปี

    แม้ว่าวันนั้นจะรับคำร้องขอของนักเดินทางจื่อเวยด้วยกันกับพรตเต๋าฟางเจิ้ง แต่ด้วยระดับการฝึกตนและอายุขัยของพรตเต๋าฟางเจิ้ง ความน่าจะเป็นที่จะทำตามคำร้องขอสำเร็จในสองร้อยปีมีอยู่น้อยนิด เรื่องนี้ยังต้องให้นางมาทำเอง ถึงแม้จะทำไม่ได้ก็จะต้องกลับถ้ำพำนักจื่อเวยที่เทียนจี๋ ไม่อย่างนั้น ถึงนักเดินทางจื่อเวยจะเกิดจิตเมตตา ไม่อยากให้นางตาย นั่นก็ไม่มีประโยชน์

    “ยี่สิบเก้าปี……” โม่เทียนเกอถอนหายใจ เวลางวดเข้ามาแล้ว!

    สามปีไม่เคยดูแลโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอจึงเสียเวลาเล็กน้อยจัดระเบียบหนึ่งรอบ อันดับแรกสั่งหุ่นเชิดหินสลักสองตัวให้จัดแปลงสมุนไพร แล้วซ่อมแซมเรือนไม้ไผ่ สำหรับอสูรวิญญาณสามตัว นางไม่จำเป็นต้องดูแลเลย เสี่ยวหั่วเติบโตที่นี่แต่เล็กจนโต ในแปลงสมุนไพรมีหญ้าวิญญาณอะไรยังคุ้นเคยกว่านางอีก เฟยเฟยและเสี่ยวฝานยิ่งไม่ต้องพูด มีสติปัญญาแล้ว นางไม่ต้องกังวลอย่างสิ้นเชิง

    จากนั้นออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

    พอนางก้าวออกจากห้องฝึกตนของตนเอง ประตูของห้องฝึกตนของเนี่ยอู๋ชางก็เปิดออกพร้อมกัน

    “ท่านเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นตามคาดเลย” เนี่ยอู๋ชางที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงศิลาเงยหน้ายิ้มบาง ๆ ให้นาง

    โม่เทียนเกอมเห็นนางก็ตื่นเต้นดีใจเช่นกัน “ท่านก็เลื่อนขั้นแล้ว!”

    ขณะนี้เนี่ยอู๋ชางเป็นก่อเกิดตานขั้นปลายแล้ว ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มทั่วร่างกายสะกดลงไปไม่น้อย พลังกลับยิ่งแข็งแกร่งแล้ว

    เนี่ยอู๋ชางจัดเสื้อผ้าลงจากเตียง เดินออกจากห้องฝึกตน ทั้งสองคนนั่งตามสบายอยู่ในห้องโถง

    “จะว่าไป ตอนที่เราท่านพบหน้ากันครั้งแรก ข้าอยู่สร้างฐานพลังขั้นปลาย ท่านอยู่ขั้นกลาง เดิมข้าระดับการฝึกตนสูงกว่าท่าน อายุมากกว่าท่าน ไยจะตกไปอยู่ข้างหลังท่านได้เล่า”

    โม่เทียนเกอได้ยินแล้วตะลึงไป หลุดหัวเราะออกมา “ท่านถึงกับยังจดจำเรื่องนี้!” ที่โลกฝึกเซียน ผู้ที่อายุเยาว์ระดับการฝึกตนสูงกว่าผู้อายุมากเป็นเรื่องที่ปกติถึงสิบส่วน มีคนน้อยมากที่จะเอาอายุมาตัดสินระดับการฝึกตน นอกจากคนที่ประเมินตัวเองอย่างสูงไม่ยอมพ่ายแพ้ ดูไม่ออกว่า ที่แท้เนี่ยอู๋ชางก็เป็นผู้ที่ไม่ยอมคนประเภทนี้

    “ต้องหาแรงผลักดันให้ตัวเองอยู่เสมอ” พูดอย่างนี้จบ เนี่ยอู๋ชางเอ่ยอย่างจริงจังว่า “จริงสิ ในเมื่อเลื่อนเป็นขั้นปลายแล้ว ถัดจากนี้ท่านเตรียมจะทำอย่างไร ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว กักตนอยู่ที่นี่ถึงจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่เป็นไร แต่ท่านเหมือนจะไม่ได้กระมัง”

    นี่เป็นเรื่องที่โม่เทียนเกอกังวลพอดี นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้ายังจะสามารถทำอันใด ความวุ่นวายของอวิ๋นจงแทบจะผ่านไปแล้ว ออกไปตอนนี้น่าจะไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ไปเสาะหาหลิงอวิ๋นเฮ่อ ประการแรกเพื่อทวงหนี้ ประการที่สองพอดีจะได้ไต่ถามข่าวสารจากเขา”

    เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า “นี่เป็นวิธีการที่ดี” พูดจบแล้วนางยิ้มขึ้นมาอีก “ท่านถามมาชัดเจนแล้วหรือไม่ หลิงอวิ๋นเฮ่อยังมีชีวิตอยู่กระมัง”

    “อันนี้……” โม่เทียนเกอก็ไม่รู้ ที่เมืองกุ่ยฟาง ข่าวสารที่ได้ยินล้วนจริง ๆ เท็จ ๆ ส่วนอาณาจักรตงถังถึงอย่างไรก็อยู่ไกลสักหน่อย แม้ว่าสำนักจิ่วเยี่ยนจะเป็นสำนักอันดับหนึ่งของอวิ๋นจง เหล่าผู้ฝึกมารก็ไม่ได้สนใจเจ้าสำนักอื่นมากเกินไป แต่ว่า หลิงอวิ๋นเฮ่อน่าจะไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นกระมัง

    “จะพูดอย่างไรเขาเป็นเป็นเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเยี่ยน แล้วยังมีผู้อาวุโสชื่นชอบ คงไม่ถึงขนาดถูกสังเวยหรอกกระมัง”

    “น่าจะนะ” เนี่ยอู๋ชางยักไหล่ นางไม่ได้สนใจหลิงอวิ๋นเฮ่อเลย ถึงอย่างไรหนี้ที่ค้างนางอยู่ตอนนี้ก็มีประโยชน์ไม่มากแล้ว “ท่านเตรียมจะไปตอนไหน”

    “คงจะ……” ขณะที่กำลังจะพูดอะไร จู่ ๆ สันหลังเย็นวาบ มองไปทางปากประตูพร้อม ๆ กับเนี่ยอู๋ชาง เผยแววตื่นตัว

    “มีคน” เนี่ยอู๋ชางลดเสียงลงพูด

    โม่เทียนเกอพยักหน้าเบา ๆ ลุกขึ้นยืน เปิดกำแพงอาคมรอบ ๆ ถ้ำพำนักทั้งหมด เวลาเดียวกันก็ขยายจิตหยั่งรู้ออกไป

    “มีคนพุ่งมาหาพวกเรา” นางเอ่ย การแยกแยะจุดนี้นั้นง่ายดายมาก ถ้ำพำนักที่พวกนางเลือกแห่งนี้อยู่ห่างไกลยิ่ง ถึงแม้โดยรอบก็มีผู้ฝึกตนคนอื่นพำนัก แต่พวกนางตั้งกำแพงอาคม ไม่รับการถ่ายทอดเสียงของคนอื่น ผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็ฉลาดพอที่จะไม่มารบกวน

    แต่ว่าตอนนี้ ข้างนอกมีลมปราณหลายสาย กลับตรงดิ่งมายังถ้ำพำนักของพวกนาง ในนี้มีลมปราณสายหนึ่งที่มีพลังสภาวะน่าตระหนก!

    “ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่……” เนี่ยอู๋ชางก็สัมผัสได้แล้ว สีหน้าพิกลอยู่บ้าง “ทำไมมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่”

    “อีกทั้งพลังสภาวะแกร่งกล้ายิ่ง คล้ายจะไม่ใช่คนทั่วไป” พวกนางอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่ตลอด อาศัยประสบการณ์ประเมินได้ง่ายมากว่าเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นหรือขั้นปลาย คนผู้นี้มีพลังสภาวะเยี่ยงนี้ ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นปลายแน่นอน อีกทั้ง จงใจเก็บงำพลัง เป็นการจงใจพุ่งมาหาพวกนาง!

    ตอนนี้ต้องพูดว่าพวกนางประสาทอ่อนไหวเกินไป พวกนางเองยังไม่เชื่อ

    ไม่ผิดจากที่คาด คนหลายคนนั้นสุดท้ายหยุดอยู่ที่หน้าถ้ำพำนักของพวกนาง

    “เจวี๋ยซิ่น” ภิกษุชราบนแท่นปทุมไม่ได้ขยับเขยื้อนตั้งแต่ต้นจนจบ หลับตาเรียกขานหนึ่งคำ

    “ขอรับ ซือฟุ” พระกลางคนที่มีฉายาธรรมว่าเจวี๋ยซิ่นขานรับอย่างนอบน้อม ไม่ต้องให้สั่งการก็ลุกออกไปแล้ว

    เจวี๋ยซิ่นยืนอยู่หน้าประตูศิลาของถ้ำพำนัก เพิ่มน้ำเสียงเอ่ยว่า “ประสกทั้งสองในถ้ำพำนัก พวกอาตมาพระวัดหัวเหยียนเขาไป๋ฝู ขอบังอาจเข้าพบ”

    เสียงของภิกษุรูปนี้ไม่ดัง แต่ลมปราณมั่นคง เสียงราวระฆังทึบ ถ่ายทอดเข้าไปในหูของทั้งสองคนในถ้ำพำนัก 

    ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังไงไม่มีความเคลื่อนไหว ภิกษุนี้เปล่งเสียงอีกรอบว่า “ประสกทั้งสอง พวกอาตมาพระวัดหัวเหยียนเขาไป๋ฝู ขอบังอาจเข้าพบ!” ยังคงเป็นน้ำเสียงที่ไม่เร็วไม่ช้า แต่กลับเพิ่มพลังสภาวะอีกหนึ่งส่วน

    ชั่วขณะให้หลัง ประตูศิลาของถ้ำพำนักเปิดออก ผู้ที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าเหล่าสงฆ์เป็นสตรีสองนาง

    สตรีสองนางนี้กลับเป็นหนึ่งดำหนึ่งขาว หนึ่งเต๋าหนึ่งมาร

    โม่เทียนเกอยืนอยู่ข้างหน้าเนี่ยอู๋ชางครึ่งก้าว สายตากวาดมองเหล่าพระสงฆ์เบื้องหน้า สุดท้ายตกลงบนร่างของภิกษุชราจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายรูปนั้น ทำการคารวะ “น้อมพบผู้อาวุโสสำนักพุทธท่านนี้ ไม่ทราบพระอาจารย์ทั้งหลายให้เกียรติมาเยือน มีธุระอันใด”

    ภิกษุชราระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายรูปนั้นยังคงหลับตา ไม่ได้ตอบ ภิกษุเจวี๋ยซิ่นที่เมื่อครู่ตะโกนเรียกก็ไม่ได้เปล่งเสียง สายตาของพระทุกรูปล้วนตกอยู่บนร่างของพระหนุ่มที่ก้มศีรษะประนมมืออยู่ด้านข้างรูปหนึ่ง

    พระหนุ่มที่ร่างกายสูงใหญ่นี้เงยหน้าขึ้น สายตาจับอยู่ที่ร่างโม่เทียนเกอ เดินขึ้นหน้าสองก้าว ยืนนิ่งอยู่ข้างกายภิกษุเจวี๋ยซิ่น จากนั้น โค้งคำนับให้โม่เทียนเกอ “ประสกท่านนี้ ยังจำผินเซิงได้หรือไม่”

    เมื่อได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกอจ้องไปที่พระสงฆ์รูปนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย

    พระสงฆ์รูปนี้ดูแล้วไม่ต่างจากรูปอื่นเลย จีวรรองเท้าฟางเหมือนกัน ท่าทางเคารพถ่อมตัว ระดับการฝึกตนเป็นก่อเกิดตานขั้นต้น ในบรรดาภิกษุกลุ่มนี้ ไม่โดดเด่นสักนิด

    เพียงแต่ว่า โม่เทียนเกอเห็นคนคนนี้กลับมีความรู้สึกคุ้นเคย ความรู้สึกชนิดนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเลย หมายความว่าคนผู้นี้จะต้องมิใช่คนที่ทิ้งความประทับใจให้นางอย่างลึกซึ้ง อาจจะเป็นเพียงวาสนาได้พบหน้าครั้งสองครั้ง อีกทั้งผ่านมานานอยู่บ้าง

    เห็นนางไม่ตอบ พระรูปนี้เปิดปากกล่าวอีกว่า “สี่สิบปีก่อน ผินเซิงยังเป็นเพียงสร้างฐานพลังขั้นกลาง เคยล่วงเกินประสกที่เมืองเทียนเสวี่ย ประสกยังจำได้หรือไม่”

    สี่สิบปีก่อน เมืองเทียนเสวี่ย! ผู้ฝึกตนที่โม่เทียนเกอเคยพบที่อวิ๋นจงมีไม่มากเลย ผู้ฝึกตนสำนักพุทธยิ่งน้อย ฟังวาจานี้แล้วก็เบิกตากว้างทันที “ที่แท้เป็นท่าน!”

    เห็นนางนึกออกแล้ว พระรูปนี้ยิ้มบาง ท่าทียังคงสงบนิ่ง “ใช่แล้ว ไม่ได้พบกันนานปี ประสกจากมาสบายดีกระมัง”

    โม่เทียนเกอหายใจเข้าลึก ๆ คำหนึ่ง หันหน้าไปขยิบตาให้เนี่ยอู๋ชาง ความหมายคือ คนเหล่านี้พุ่งเป้ามาที่ข้า นางจำได้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร สี่สิบปีก่อน มีผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสองคนขวางทางปล้นนางที่เมืองเทียนเสวี่ย หนึ่งในนั้นเพราะว่าพูดจาหยาบคายจึงถูกนางฆ่าทิ้ง อีกคนยังดีอยู่ จึงถูกนางปล่อยไป ซึ่งก็คือนางได้รับแหฟ้าตาข่ายดินจากในมือพวกเขา

    เมื่อคิดถึงแหฟ้าตาข่ายดิน โม่เทียนเกอเข้าใจสายตาของคนเหล่านี้แล้ว

    แหฟ้าตาข่ายดินในมือนางจะต้องเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำนักพุทธที่ฮุยอินต้าซือทิ้งเอาไว้ ไม่ใช่ของปลอม เป็นของจริง!

    นางไม่ได้ตอบ สายตาหยุดอยู่บนร่างของภิกษุชราจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายที่หลับตาผู้นั้น บนใบหน้าของภิกษุชรารูปนี้เจือรอยยิ้ม สีหน้าเมตตา แต่ไม่ได้เอ่ยปากมาโดยตลอด

    “ขอบังอาจถามพระอาจารย์ทุกท่านว่าเป็นผู้ใด”

    พระกลางคนรูปนั้นสวดอมิตาพุทธหนึ่งคำ กล่าวว่า “ประสกท่านนี้ พวกอาตมาเป็นศิษย์วัดหัวเหยียนเขาไป๋ฝู ท่านนี้คือซือจุนของผินเซิง แล้วก็เป็นผู่จี้เจินเจ่อ**ของวัดเรา ฉายาธรรมซ่างอู๋เซี่ยหมิง*** ผินเซิงฉายาธรรมเจวี๋ยซิ่น เหล่านี้ล้วนเป็นซือตี้ของผินเซิง นี่คือเจวี๋ยอู้” สุดท้ายกลับชี้ไปที่พระหนุ่มที่พูดกับนางก่อนหน้านี้เป็นพิเศษ

    โม่เทียนเกอผงกศีรษะเบา ๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาโดยมีเจตนาไม่ดี แต่ท่าทีสุภาพเช่นนี้ นางก็ไม่ควรเสียมารยาท กุมมือคารวะเอ่ยว่า “จ้ายเซี่ยมาจากโพ้นทะเล แซ่ฉินนามเวย คนนี้เป็นสหายของข้า ฉายาเทียนฉาน คิดว่าเจตนาที่พระอาจารย์ทั้งหลายมาไม่เกี่ยวกับนางกระมัง”

……………….. 

ไม้ขักขระกับผ้ากาสาวะขอให้นึกถึงไม้เท้าที่พระถังซำจั๋งถือกับผ้าสีแดง ๆ ที่เขาห่มค่ะ   

*น้ำไหลก่อเกิดคูคลองหมายความว่าเมื่อเงื่อนไขพร้อมแล้วก็จะประสบความสำเร็จเอง

**ผู่จี้เจินเจ่อ ไม่แน่ใจว่าเป็นตำแหน่งหรืออะไรค่ะ อนาคตอาจเปลี่ยน

***ซ่างอู๋เซี่ยหมิง แปลว่าบนไม่มีล่างเข้าใจ ประมาณว่าไม่มีสิ่งที่อยู่เบื้องบน (น่าจะคือไม่มีสวรรค์มั้งคะ) ส่วนสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง (น่าจะหมายถึงโลกมนุษย์) นั้นเข้าใจทั้งหมด มั้ง……..

 

ตอนที่ 430 ให้ผลประโยชน์นิดหน่อย

 

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

Status: Ongoing
ในฐานะผู้ฝึกตนหญิง ถนนสู่อมตะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายนัก คุณสมบัติ, วิชา, ยา, อาวุธเวท ล้วนไม่อาจขาดสักสิ่ง อารมณ์, ความอ่อนแอ, ความเมตตา, ความโลภ ล้วนไม่อาจมากสักสิ่ง ไม่มีของสิ่งแรก การฝึกจะช้าเกินไป ของสิ่งหลังมาก จะตายเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาต้องไม่มากไม่น้อย สติปัญญาต้องไม่มากไม่น้อย งดงามเกินไปย่อมจะถูกผู้ฝึกตนระดับสูงบังคับไปเป็นอนุ อัปลักษณ์เกินไปพบปะผู้คนจะถูกรังเกียจชนกำแพงไปทุกที่ ฉลาดเกินไปจะกลายเป็นนกโผล่หัวที่ถูกตี โง่เกินไปถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงิน ม่อเทียนเกอนึกว่าอย่างไหน ๆ ล้วนสามารถทำได้ แต่ดันมีเรื่องน่าตายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง ถนนเซียนสายนี้ จะเดินทางอย่างสงบสุขได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท