ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! – ตอนที่ 4 ดวงจันทร์หายนะ ทรีอาร์

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก เด็กสาวหอบหายใจ ตัวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างด้วยความกลัวที่ไร้สาเหตุ เด็กสาวหันไปมองทางหน้าต่างด้วยความรวดเร็วราวกับกลัวว่าจะมีอสุรกายสักตัวพุ่งมาขย้ำ

ท้องฟ้ายังคงมืดมิดดังเดิม แต่พระจันทร์ที่มีดวงตานั่นหายไปแล้ว ทดแทนด้วยพระจันทร์สีเงินส่องสว่างที่ปราศจากดวงตาที่น่าขนลุกนั่น เธอไม่กล้ามองอีกต่อไป ย่ำเท้าแล้วพุ่งไปหลบในห้องนอน

นั่นมันบ้าอะไร นั่นไม่ใช่ของที่มนุษย์ธรรมดาจะรับมือได้! เธอสบถกับตัวเองภายในใจ ความหวาดกลัวอันไร้ที่มากลืนกินจิตใจ เหงื่อออกซกจนที่นอนเริ่มเปียกชื้น

ก็อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฮันน่าที่คุมสติอยู่เดินมาเคาะประตู ก่อนจะเปิดเข้ามาข้างใน

“ใจเย็นๆนะยูริจัง พี่ตกใจหน่อยๆนะทำแบบนั้น–“

ตอนแรกฮันน่าพุ่งออกไปดึงเด็กสาวเพื่อให้เข้ามาหลบข้างในบ้าน แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะสติแตกจนสลัดเธอจนหลุดหลังจากเข้ามาแล้ว และรีบพุ่งไปทางห้องนอนด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น

“นั่นมัน–บ้าอะไรคะ” เธอถาม เสียงฟืดฟาด “พระจันทร์นั่น–“

ฮันน่าปรับสีหน้าให้ราบเรียบ เธอเดินมานั่งข้างๆเตียงของอีกฝ่าย ผ้าม่านตรงหน้าต่างห้องนอนถูกขึงปิด เด็กสาวพยายามออกให้ห่างจากแสงสีเงินของดวงจันทร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“จันทร์สีเลือดอมเงินพิสุทธิ์” ฮันน่าตอบเสียงราบเรียบ “หรืออีกชื่อก็คือจันทราสีเงิน หรืออีกชื่อก็คือจันทร์หายนะ ทรีอาร์”

ฟืด ฟาด เด็กสาวพยายามปรับอารมณ์ให้คงที่ ก่อนจะถามด้วยเสียงสั่นเครือ

“จ จันทร์หายนะ? มันคืออะไรเหรอคะ”

ฮันน่าจ้องหน้าของเธอด้วยใบหน้าราบเรียบ แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเล็กๆ ราวกับว่าพยายามกดอารมณ์ของตัวเองมิให้สติแตกและคลุ้มคลั่งไปซะก่อน

“ดวงจันทร์นั่นมักจะปรากฎเหนือท้องฟ้าทุกๆสิ้นเดือน โดยที่การปรากฎแต่ละครั้งมักจะกระตุ้นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิตให้พุ่งสูงและรุนแรง แสงจันทร์มีพลังที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นบ้าและเสียสติ การที่ยูริจังกลัวขนาดนี้เป็นเพราะพลังจากแสงจันทร์นั่น

มีตำนานเล่าขานกันว่าจันทร์หายนะทรีอาร์ถือกำเนิดมาจากเศษเสี้ยวพลังของเทพมารเบนิลที่ร่วงหล่นจากอาณาจักรเทพของเทพธิดาอโลวีนัส ด้วยความโกรธแค้น ทำให้ท่านสาปดวงจันทร์ของโลกนี้เอาไว้”

ฮันน่าลุกขึ้นและเดินเข้ามาปลอบโยนเด็กสาว เธอนั่งลงข้างๆและดึงร่างของอีกฝ่ายมาสวมกอดเอาไว้ ก่อนจะลูบหัวเบาๆและพูดด้วยเสียงอ่อนโยน

“ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้มันถึงปรากฎขึ้นทั้งๆที่ยังไม่สิ้นเดือน แต่ยูริจังไม่ต้องกังวลไปหรอก ปกติแล้วมันจะไม่ทำร้ายใครถ้าไม่ไปยืนแช่แสงจันทร์นานเกินหนึ่งชั่วโมง”

ห้ามโดนแสงจันทร์ห่านั่นหนึ่งชั่วโมง? แต่นี่เธอพึ่งจะโดนไปนาทีเดียวยังเอาแทบคลั่งแล้วนะ! ทำไมมีของแบบนี้ได้กัน? ถึงจะบอกว่าเพราะเป็นต่างโลกก็เถอะ แต่โลกนี้มันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ? ดวงจันทร์บ้าอะไรฆ่าคนได้! 

และการที่ให้ฮันน่ามากอดเอาไว้พร้อมกับลูบหัวแบบนี้มันน่าอายชะมัด…เธอไม่ใช่เด็กแล้วนะ โลกเก่าตายตอนยี่สิบ โลกนี้อายุสามวัน แปลว่าเธออายุตั้งยี่สิบปีกับอีกสามวันเลยนะ มากกว่าฮันน่าตั้งห้าปี เว้นแต่ว่าฮันน่าจะเป็นผู้กลับชาติมาเกิดเหมือนกันหรืออะไรแบบนั้น…

เธอพยายามควบคุมมิให้ตัวเองตัวสั่น จะให้ใครมาเห็นในสภาพน่าอายอย่างงี้ไม่ได้! ถ้ายัยเทพธิดาอโลวีนัสมาเห็นเข้าล่ะก็มีหวังได้หัวเราะลั่นแน่ๆ ไม่สิ ยัยนั่นอาจจะกำลังจับตามองอยู่ก็ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้หน้าของเธอก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย ฮันน่าที่เห็นเข้าก็เข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นไข้ไปซะได้

“แสงจันทร์นั่นทำให้ยูริจังเป็นหวัดเลยเหรอ? นอนพักไปก่อนนะ นอกจากเรื่องที่แสงนั่นทำคนสติแตกได้ มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ใจเย็นเข้าไว้นะ ฮึบ! ถ้ากลัวก็มาหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ”

ฮันน่ายิ้มอย่างอ่อนโยน บรรยากาศอบอุ่นราวกับแม่ ยูริพยักหน้าเบาๆก่อนจะล้มตัวลงนอน มือกุมผ้าห่ม เมื่อมองดูเผินๆจะเหมือนเด็กสาวธรรมดาๆที่กำลังสั่นกลัว

ไม่เหมือนฆาตกรต่อเนื่องที่อันตรายที่สุดเลยสักนิด

ฮันน่าลุกออกไป ก่อนจะเปิดประตูห้องและส่งท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน 

“ราตรีสวัสดิ์นะยูริจัง”

“แต่นี่มันพึ่งจะเที่ยงเองนะคะ” เธอเอ่ยอย่างฉงน ถึงฟ้าจะมืดก็เถอะ แต่ไม่ใช่ว่าก่อนที่พระจันทร์นั่นจะขึ้นมันก็เป็นเวลาเที่ยงมาก่อนรึไง ทำไมต้องบอกราตรีสวัสดิ์กันด้วยล่ะ?

“ปกติแล้วหลังจากจันทร์หายนะทรีอาร์ขึ้นสู่ท้องฟ้า กาลเวลาของโลกจะถูกเร่งไปจนถึงตอนสามทุ่มน่ะ” ฮันน่าอธิบายอยู่หน้าประตู “ดังนั้นตามหลักการแล้ว ยูริจังก็ต้องรอหลายชั่วโมงกว่าจะถึงตอนเช้าของวันถัดไป หรือก็คือ ตอนนี้เป็นตอนกลางคืนอย่างแท้จริง”

แบบนั้นถ้าแปลว่ามีคนกำลังทำงานอยู่ คนๆนั้นจะต้องเข้านอนเลยทันทีหรือเปล่า? เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย ไม่สิ อาจจะมีบางคนที่ไม่สนใจกาลเวลาแล้วทำงานต่อก็ได้

ดูเหมือนว่าฮันน่าคาดเดาได้ว่าเธอคิดอะไร อีกฝ่ายบอกกลับมาว่า

“อย่างที่บอกไปว่าจันทร์หายนะทรีอาร์จะขึ้นทุกๆสิ้นเดือน ดังนั้นผู้คนเลยทำปฏิทินแบบพิเศษขึ้นมาน่ะ มันเรียกว่าปฏิทินทรีอาร์ มักจะใช้บันทึกเวลาการขึ้นของดวงจันทร์ ดังนั้นถ้าวันไหนมีจันทร์หายนะขึ้น ผู้คนก็จะหยุดงาน เรียกได้ว่าเป็นวันหยุดพักผ่อนล่ะนะ”

สรุปก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้เผลอทำงานโต้รุ่งจนการรับรู้เวลาผิดเพี้ยน เลยแก้ปัญหาด้วยการไม่ทำงานแม่งซะเลยสินะ? เข้าใจได้อยู่ แต่ทำไมฮันน่าถึงไม่ยอมปิดประตูสักที?

“พี่คะ ยุงมันเข้าค่ะ” เธอพูดเสียงเย็นชา ฮันน่าที่พึ่งจะรู้ตัวรีบยกมือไหว้เป็นเชิงขอโทษก่อนจะรีบปิดประตูอย่างรีบร้อน เด็กสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ

พึ่งมาที่โลกใบนี้ได้แค่สามวันก็รับรู้ข้อมูลใหม่ๆซะแล้วแฮะ เหลือจะเชื่อเลยจริงๆ 

จันทร์หายนะทรีอาร์งั้นหรือ เธอพึมพัมเบาๆ ไม่รู้ทำไม เธอถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดกับชื่อนั้น หรือบางทีอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้ 

เด็กสาวเหลือบไปมองนอกหน้าต่าง มองผ่านผ้าม่านที่ปิดสนิท แสงจันทร์สีเงินที่สาดส่องลงมามันให้ความรู้สึกน่าขนลุก แต่ขณะเดียวกันก็น่าค้นหาและดูลึกลับ

ความงดงามยามค่ำคืนทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ความหวาดกลัวและกังวลหายไปหลายส่วนแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะอ้อมกอดของฮันน่า หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะกาลเวลาช่วยเยียวยา จะเป็นแบบไหนเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน

เด็กสาวผล็อยหลับไปท่ามกลางแสงสีเงินยามค่ำคืน…

 

ยูริเอื้อมมือออกไป ตาของเธอมืดบอด สัมผัสได้เพียงอากาศอันหนาวเย็นรอบๆกาย เปลือยเปล่าไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ ราวกับว่าตัวเธอเป็นเพียงหนอนที่เกลือกกลิ้งอยู่ท่ามกลางความโหดร้ายของโลกใบนี้

เธอกลายเป็นนามธรรม ความว่างเปล่า ความตาย และหายนะ ความรู้สึกดำมืดทั้งหมดกัดกร่อนกายหยาบที่ไม่รู้รูปร่าง ความเจ็บแค้นและความชั่วร้ายทั้งหมดถาโถมราวกับว่าเธอเป็นเพียงโถรองรับอารมณ์เหล่านั้น

เพราะเหตุใดโลกใบนี้ถึงเกิดขึ้น ทำไมผู้คนถึงต้องตาย ทำไมมนุษย์มักจะทรมานอยู่เสมอ เธอเฝ้าถามคำถามนั้นซ้ำๆ ความชิงชังท่วมท้นจนแทบจะทำให้ร่างแหลกสลาย

ในความมืดนั่น เธอได้ยินเสียงเพรียกหาบางอย่าง เสียงเพรียกหาที่ดูคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย มันกระซิบซ้ำๆด้วยเสียงโทนต่ำและเย็นยะเยือกราวกับภูติผีปีศาจจากนรกกำลังกระซิบข้างๆหู

“เบอร์มิวด้า เบอร์มิวด้า จงตามหาเบอร์มิวด้า”

เพล้ง! ทุกๆสรรพสิ่งอันตธานหายไป เด็กสาวสะดุ้งตื่น ฝันร้ายงั้นหรือ? แต่เป็นฝันที่เหมือนจริงมาก มากซะจนเธอไม่เชื่อว่าเป็นแค่ฝัน

เหงื่อไหลซกทำให้ชุดนอนของเธอเปียกชื้น ที่นอนเปียกนิดหน่อย นี่เธอฉี่รดงั้นหรือ? แบบนี้มันไม่น่าขายหน้าเกินไปหน่อยรึไงสำหรับอดีตผู้ใหญ่อายุยี่สิบกว่า! หรือบางทีร่างเด็กอาจจะควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ยากลำบากกว่าผู้ใหญ่?

เด็กสาวนั่งนิ่งสักพัก ที่นอนไม่เปียกมากเพราะก่อนนอนเธอไม่ได้กินน้ำเลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องยกตัวเบาะของเตียงออกไปตาก แค่ดึงผ้าคลุมเตียงออกและนำไปผึ่งแดดไว้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

สำหรับฝันนั่น มันคงเป็นเพียงแค่ฝัน ไม่มีค่าอะไรให้ใส่ใจ แม้ว่ามันจะสมจริงจนน่ากลัวก็ตาม เธอหวังว่าจะไม่ต้องเข้าไปอยู่ในความฝันนั่นอีก

แล้วเสียงเพรียกนั่นมันอะไรกัน เบอร์มิวด้างั้นหรือ? นั่นมันชื่อของสามเหลี่ยมทะเลปีศาจในโลกเก่าของเธอไม่ใช่รึไงกัน น่านน้ำที่ว่ากันว่ามีเรือหรือเครื่องบินหายไปอย่างลึกลับเสมอๆ มันมาปรากฎในฝันเธอได้ยังไง?

หรือบางทีเธออาจจะคิดถึงบ้านจนเก็บเอาไปฝัน? ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอควรฝันถึงอย่างอื่นมากกว่า เช่นพวกพ้องในโลกเก่า แมวที่เคยเลี้ยง หรือบางทีอาจจะเป็นเหยื่อที่เธอเคยสังหาร หรืออาจจะเป็นเด็กกำพร้าที่เธอเคยใช้งานให้ไปสืบข่าวต่างๆในโลกใต้ดินหรืออะไรแบบนั้น

เธอมองไม่เห็นความเชื่อมโยงของสามเหลี่ยมทะเลปีศาจนั่นกับตัวของเธอเลยด้วยซ้ำ

เอาเถอะ เด็กสาวแอบขบขันกับตัวเอง มันก็แค่ฝันร้าย ไม่มีค่าอะไรให้ใส่ใจ เอาไปทำเงินไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเอาฝันนั่นไปแต่งนิยายก็ได้อยู่ แต่เธอไม่ใช่นักเขียนสักหน่อย

เด็กสาวสำรวจเตียงของตัวเอง ส่วนที่เปียกมีแค่ผ้าปูที่นอน ส่วนผ้าห่มและหมอนยังคงแห้งสนิท เธอเลยตัดสินใจดึงเอาเฉพาะส่วนผ้าปูไปซักและตากแห้ง

ผ้าปูแนบติดกับเบาะทำให้ดึงลำบาก เลือดขึ้นหน้าเมื่อเธอพยายามจะดึงมันให้หลุด สุดท้ายก็จบลงด้วยเหงื่อที่ท่วมตัวจนเหนียวเหนอะหนะ เด็กสาวคิดว่าจะต้องอาบน้ำด้วยหลังจากตากผ้าแล้ว

เมื่อเปิดประตูห้องออกไปก็พบกับความมืดมิด เธอพยายามใช้แสงจันทร์จากข้างนอกเพื่อมองทาง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านหลังนี้ไม่มีเครื่องซักผ้า! ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิดโลกใบนี้พัฒนาไปถึงยุคจักรกลและไอน้ำเรียบร้อยแล้ว แปลว่าจะต้องมีเครื่องซักผ้าแบบกลไกมือแน่นอน แต่แปลกประหลาดที่มันไม่มีอยู่ในบ้านหลังนี้

ฮันน่าเอ๋ย บ้านเธอมันไม่เล็กและขาดแคลนอะไรหลายอย่างมากไปรึไง แล้วแบบนี้จะซักผ้าได้ยังไงกันล่ะ? เอาน้ำลายเลียเอาหรือ?

แค่คิดก็แหวะแล้ว

ช่วยไม่ได้ เธอตัดพ้อกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องของฮันน่า เสียงไม้กระเทือนดังท่ามกลางความเงียบงัน ผ่านไปราวๆห้านาที เธอเคาะประตูอีกครั้ง

ไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงครอกเบาๆของอีกฝ่าย ฮันน่าหลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงของเธอเลยรึไงกัน? นี่เป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของแวมไพร์งั้นหรือ? เด็กสาวขมวดคิ้ว

จากเคาะกลายเป็นทุบ จากเสียงก็อกๆกลายเป็นเสียงปั้งๆ ฮันน่า เมื่อไหร่เธอจะตื่นสักที? รู้รึเปล่าว่าการนอนกินบ้านกินเมืองมันไม่ใช่เรื่องดีนะ

“พี่คะ! ช่วย ตื่น หน่อย ค่าาาาาา” เธอตะโกนลั่น ให้ตายสิ ยัยแวมไพร์งี่เง่า เลิกกรนและตื่นมาช่วยเธอซักผ้าได้แล้ว หรือจะให้เผาบ้านถึงจะยอมตื่นกันล่ะห๊ะ!? ไม่สิ เผลอๆแบบนั้นก็ไม่ตื่น…

“ง่าา มีอารายยย” เสียงอู้อี้และงัวเงียของอีกฝ่ายดังแผ่วเบาออกมาจากข้างใน ถึงจะเบาแต่เด็กสาวก็ได้ยิน มีเสียงขว้างปาหมอนอย่างหงุดหงิดและเสียงดิ้นตุบตับบนเตียง นี่ฮันน่าเป็นพวกขี้เซางั้นหรือ?

“หนู เอ่อ–” เธอเอ่ยอย่างอับอาย ไม่อยากบอกไปเลยว่าตัวเองฉี่รดที่นอน ใครจะไปกล้าบอกกันล่ะ ถึงแม้ว่าฮันน่าจะไม่สนใจเพราะว่าเธอดูเป็นเด็กเจ็ดขวบก็เถอะ อีกฝ่ายคงบอกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เธอก็อายอยู่ดี!

เอี๊ยด ประตูถูกเปิดออก แวมไพร์สาวผมดำ ดวงตาหมองคล้ำในชุดนอนยืนอยู่ตรงหน้า หมวกไหมพรมสีฟ้าใสร่วงหล่นจากหัว อีกฝ่ายสวมชุดนอนลายเป็ดสีฟ้า เนื้อผ้าบางและเต็มไปด้วยคราบน้ำลาย ตอนนี้อีกฝ่ายดูเหมือนซอมบี้มากกว่าแวมไพร์ซะอีก

“ยูริจัง มีอารายย” ฮันน่าปิดปากหาว ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายที่อบอุ่นเหมือนคุณแม่พังทลายในพริบตา ตอนนี้ดูเหมือนพวกนีทขยะที่ชอบเอาแต่เล่นเกมทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอนเลยล่ะ

“หนู เอ่อ” เธอชี้ไปที่เป้าของตัวเอง “นั่นแหละค่ะ”

ว่าแล้วก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“อ้อ อย่างงี้เอง” อีกฝ่ายพยักหน้า ท่าทางราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง “เอาผ้าปูเตียงมาให้พี่ รวมไปถึงถอดเสื้อผ้าออกให้หมด เดี๋ยวเอาไปซักเอง ยูริจังไปอาบน้ำเถอะ”

นี่มันน่าขายหน้าชะมัดเลย เด็กสาวสบถในใจ

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

Status: Ongoing
“ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!” เรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอถูกตำรวจวิสามัญตายตรงหน้าผา ขณะที่กำลังจะตายนั้นเธอก็ปลงกับตัวเองไปแล้วและอ้าแขนยอมรับจุดจบของตัวเองอย่างเต็มใจ แต่ช้าก่อน! เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ เทพเจ้า! เทพธิดาอโลวีนัสได้ยื่นข้อเสนอให้กับเธอว่าจะมอบชีวิตใหม่ ในโลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และปรากฎการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ และจะมอบพลังวิเศษที่แข็งแกร่ง หรือที่คนชอบเรียกกันว่าสกิลโกงเอาไว้ให้ “ไม่เอา” ฆาตกรสาวปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไม่อยากไปเกิดใหม่” “ยังไงเจ้าก็ต้องไปเกิดใหม่” น่าเสียดายที่ท่านเทพของเราเอาแต่ใจไปนิดและไม่ยอมทำตามคำขอของหญิงสาว “ก็ได้ แต่ส่งฉันไปเกิดใหม่ในสภาพไร้พลังซะ” เธอรู้ว่ายังไงก็ไม่อาจฝ่าฝืนพระบัญชาแห่งเทพได้ เลยจะไปเกิดใหม่พร้อมกับปฏิเสธสกิลโกงที่อีกฝ่ายจะมอบให้ทั้งหมด “ทำไม?” ท่านเทพถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะฉันจะกลับมาและเอาชนะแกในสักวันหนึ่ง แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้สกิลโกงอะไรนั่น” “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ก็ทำ” “พนันกันไหมล่ะ?” ด้วยเหตุนั้นเอง เรื่องราวของฆาตรกรต่อเนื่องสาวที่ไปเกิดใหม่โดยมีเป้าหมายเป็นการโค่นทวยเทพทั้งๆที่ตนไร้พลังก็ได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท