“ทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนอย่างกับแกะสมคำล่ำลือ”
[นี่ พวกนายสองคน]
[มีอะไร?]
[…ฉันต้องทำยังไงถึงจะป๊อปปูล่าได้?]
[…จู่ๆ ก็ถามอะไรของนายน่ะ?]
นี่เป็นช่วงพักเที่ยง
ผมรู้สึกกังวลแทนเพื่อนของผมคนหนึ่งขึ้นมา ที่อยู่ๆ เขาก็พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แถมท่าทางยังจริงจังมากเลยด้วย
เสี้ยววินาทีที่ผมคิดว่าคงมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา แต่หลังจากได้ฟังแล้ว ผมทั้งโล่งใจและรำคาญในเวลาเดียวกัน
[ปีหน้าเราก็ขึ้นเป็นม.ปลายปีสองแล้ว เราต้องเลือกว่าจะต้องเรียนต่อในวิทยาลัยหรือไม่ก็หางานทำ ไม่อย่างไหนก็อย่างหนึ่ง พวกเราจะยุ่งกันโคตรๆ หรือก็คือ เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่จะใช้ชีวิตกันอย่างสนุกกับชีวิตในฐานะนักเรียนม.ปลาย]
[…อืม ใช่ ก็จริง]
[ใช่แล้ว]
ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
ยุคนี้ นักเรียนหลายคนต่างพากันสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ขนาดเด็กปฐมยังออกเดทกันแล้วเลย จำนวนของนักเรียนม.ต้นเริ่มเทียบเท่ากับม.ปลายอย่างเราเข้าไปทุกที
ในหมู่คนเหล่านั้น มีพวกเราที่ไม่มีประสบการณ์ด้านความรักเลยเหมือนกัน ไม่มีแนวทางในอนาคตด้วย
[ตอนนี้พวกนายเป็นยังไงกันบ้างตั้งที่พวกเราเจอกันในช่วงม.ปลาย? ตอนนี้ฉันอยู่กับพวกนายแทบทุกวันหยุด ทั้งตอนปิดเทอมฤดูร้อน ปิดเทอมฤดูหนาว หรือแม้แต่ปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิเองก็ด้วย ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบนะ มันเป็นความทรงจำที่ดีมากเลยล่ะ ไม่มีอะไรมาแทนที่มันได้แน่นอน]
[…ฉันรู้]
[ฉันพูดได้อย่างเต็มปากเลยล่ะ]
ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขาจริงๆ ที่มาเป็นเพื่อนกับผม พวกเขาช่วยผมเอาไว้ตั้งมากมาย มักจะชวนผมออกไปเที่ยวกันทุกครั้งในวันหยุด
ขณะที่ผมคิดแบบนั้น เพื่อนผมหนึ่งในนั้นเอานิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ แล้วพูดกับเพื่อนผมอีกคนที่บอกว่าอยากป๊อปปูล่า
[แต่นายไม่อยากหาแฟนเหรอ? ฉันอยากสัมผัสกับความหวานอมเปรี้ยวของความรักอันบริสุทธิ์! ความสุขและความเขินอายที่ม.ปลายอย่างเราเท่านั้นที่จะสัมผัสได้!]
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไงถึงจะหาแฟนได้ แต่ผมก็ไม่เห็นปัญหาอะไรต่อให้จะไม่มีแฟนด้วยเหมือนกัน
[แฟนที่นายพูดถึง ฉันไม่อยากโดนนอกใจ… เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้างห้องเราเมื่อไม่นานมานี้]
[…อ่า]
ใช่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้มีเรื่องนอกใจกันเกิดขึ้นกับคนห้องข้างๆ เรา ผมไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่ประเด็นมันอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่งที่เข้าหาผู้หญิงที่มีแฟนอยู่แล้ว
อาจารย์คงหัววุ่นกันไม่น้อยเลย เพราะมันเป็นปัญญาระหว่างนักเรียนด้วยกัน
[เริ่มจากหาแฟนที่ไม่นอกใจนาย!]
[…ใช่]
แต่การคบกับแฟนที่ไม่นอกใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน
ผมวางมือลงบนคางพร้อมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดในมุมมองของผม
[ฉันไม่ชอบหากโดนนอกใจในระหว่างที่เราสองคนกำลังคบกันอยู่ แต่เราสามารถพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อมั่นในตัวเธอ ทำให้เธอแน่ใจว่าพวกเราจะไม่นอกใจเธอ เพื่อที่เธอก็จะไม่นอกใจเราเหมือนกัน]
[…แน่นอนอยู่แล้ว]
แต่ยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับบุคคล
ผมไม่เคยมีแฟน แล้วก็ไม่เคยมีใครมาสารภาพรักกับผม ผมเลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เวลาคุยกันเรื่องความรัก แต่ถ้าผมมีคู่แบบนั้น ผมก็คงทำแบบเดียวกันกับที่ผู้ชายข้างห้องคนนั้นทำ บางที… ไม่สิ ผมทำแน่
[…สำหรับฉัน แค่มีพวกนายสองคนอยู่ด้วย ฉันก็ดีใจมากแล้วล่ะ]
[อา…]
[ฮายาโตะ…]
ตั้งแต่ที่ผมเสียพ่อแม่ไป บางทีแล้ว สักแห่งในใจของผมคงต้องการความอบอุ่นจากใครสักคน อาจจะฟังดูเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นอยู่บ้าง
แต่ถ้ามีคนอยากอยู่เคียงข้างผมจริงๆ นั่นก็เป็นความต้องการของผม…
[โทษทีนะที่พูดอะไรแปลกๆ ไปน่ะ]
[พูดอะไรของนาย การพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมามันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?]
[ตามนั้นเลย คนเราชอบเก็บปัญหาเอาไว้อยู่คนเดียว การอ้วกระบายมันออกมาก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ก่อนที่มันจะสายเกินแก้]
ถึงจะฟังดูแหยงหน่อยๆ ก็เถอะ แต่ก็ขอบใจนะ
หลังจากนั้นเราก็คุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ระหว่างนั้นเราก็เข้าประเด็นใหม่อีกครั้ง
[ฉันได้ยินระหว่างตอนกลับจากห้องน้ำ ดูเหมือนว่าพี่น้องชินโจจะหาว่าที่แฟนได้แล้วแหละ]
[จริงเรอะ?]
[โห?]
เรื่องใหม่เลยแฮะ
เรื่องของเรื่องก็คือ วันนี้ตอนเช้า หลังจากที่อาริสะเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง จู่ๆ เธอก็ทำหน้าเหมือนกำลังโหยหาบางอย่าง แก้มของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ อนึ่งว่าเธอกำลังมีความรัก
[แต่คนน้องเหมือนจะปฏิเสธนะ ก็เลยยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมาเป็นไปยังไงกันแน่]
[อืม]
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกผู้ชายในห้องของเธอต่างรู้สึกระส่ำระส่าย ในช่วงที่ผมเดินไปเรียนในห้องอื่น ผมผ่านห้องของอาริสะพอดี ผมเห็นพวกผู้ชายในห้องของเธอกำลังจ้องมองกันและกัน พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างด้วยท่าทางที่กระวนกระวาย อนึ่งว่ามีมหาภัยเกิดขึ้น
เข้าใจแล้ว เหตุผลเป็นอย่างงี้เองสินะ
ระหว่างทางผมมาโรงเรียนกับพวกเธอสองคน ระหว่างทางที่มา เธอไม่ได้ทำสีหน้าเหมือนที่นักเรียนพวกนั้นว่ามาเลย
เธอยังตอบคำตอบของผมเป็นตุเป็นตะอยู่เลย
[อย่างที่ไอนะว่า ฉันจะตอบทุกอย่างเลย รวมถึงทรีไซส์ของฉันด้วย ฉะนั้นฮายาโตะคุง ถามอะไรมาหน่อยสิ]
เรื่องทรีไซส์อีกแล้ว เธอดูไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ ดูไม่มีความเขินอายสิ่งที่ตัวเองพูดเลย ดูไม่มีความไม่พอใจอะไรเลยด้วยซ้ำ
อย่างกับว่า… เธอคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องตอบซะมากกว่า
ผมบอกเธอไปว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้กับผู้ชายนะ แต่เธอกลับเอียงหน้าด้วยความสับสน อย่างที่คิด… อาริสะเป็นพวกซื่อโดยธรรมชาติสินะ
แล้วเวลาก็ล่วงเลยไป ผมก็ได้เห็นภาพจำเก่าอีกครั้ง
[ผมชอบชินโจซังครับ ได้โปรดคบกับผมด้วยเถอะครับ!!]
[ขอโทษนะ แต่ฉันไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอก]
ใช่ ผมเห็นฉากสารภาพรักแบบเดียวกันกับวันนั้น เพียงแต่คนที่โดนคือไอนะ ไม่ใช่อาริสะเหมือนครั้งก่อน
เมื่อผมออกมาจากห้องเรียนในช่วงหลังเลิกเรียน ผมเห็นไอนะถูกเรียกไป ซึ่งเธอก็ตามเขาไปด้วยสีหน้าที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อย
[แล้วนายก็แอบมองฉันแบบนี้เหรอ?] (อาริสะ)
[ครับ… ขนาดผมก็ยังสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงรึเปล่า] (ฮายาโตะ)
ผมตอบคำถามของอาริสะ
เกี่ยวกับอาริสะ ผมเจอเธอตอนที่กำลังตามพวกนั้นไป
[แล้วไอนะก็รู้เรื่องฮายาโตะตั้งแต่ตอนนั้นสินะ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะฉลาดมากขนาดนี้]
[เห็นด้วย… แถมผมยังพยายามปกปิดจากเธออีก สำหรับไอนะที่รู้อยู่แล้ว เธอคงคิดว่ามันดูตลกนั่นแหละ]
พวกเรายังคงแอบดูเธอจากอีกด้านหนึ่งของห้อง ขณะที่การสนทนานี้ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป นี่เป็นศึกของไอนะกับชายที่เพิ่งถูกปฏิเสธไปหมาดๆ แต่เหมือนชายคนนั้นจะมีปณิธานตั้งมั่น ที่จะให้ความรู้สึกของตัวเองส่งไปถึงเธอ
ผมไม่คิดว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเราเลยจับตาดูไว้เผื่อจะมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
[พูดถึงเรื่องนี้ อาริสะ ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม]
[ถามมาได้เลย]
[มีคนที่ชอบรึเปล่า?]
[ทำไมถามแบบนั้น?]
แล้วผมก็เล่าเรื่องที่ผมคุยกับเพื่อนให้ฟัง
[อย่างนี้นี่เอง ฉันยังไม่มีคนที่ชอบหรอก หรือต่อให้มี นั่นก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่ฉันต้องการด้วย]
[ขนาดนั้นเลย?]
อาริสะบอกว่าเธอไม่ถูกกับผู้ชาย ผมสงสัยว่านี่คงเป็นเหตุผลหลักเพียงหนึ่งเดียว บางทีเธออาจจะมีแผลใจมาก่อนก็ได้
มันคงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เธอสามารถพูดกับผมแบบนี้ได้ ผมทั้งดีใจและเสียใจที่จู่ๆ เราก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกันแบบนี้หลังจากผ่านเรื่องที่สวนสาธารณะมา
[…อ่ะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ… อย่าทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเพราะฉันมีปมหรืออะไรแบบนั้นหรอก]
[งั้นเหรอครับ?]
[ใช่แล้ว ฉันเพิ่งค้นพบสิ่งที่ดีมากกว่าความรักแบบปกติ ฉันเข้าใจแล้วว่าชีวิตฉันต้องการอะไร และต้องทำยังไง]
ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่… แต่ถ้าเธอบอกว่าไม่เป็นไรงั้นก็ช่างมันเถอะ
[…สุดท้ายแล้ว หากฉันต้องการ ฉันก็คิดว่าฉันสามารถมีความสุขได้แน่นอน ฉันว่านั่นแหละคือความรัก ถึงแม้ว่าฉันจะไม่อยากเป็นสิ่งของที่มีความต้องการ แต่ส่วนหนึ่งของฉัน ฉันก็ตัดสินใจมันโดยใช้ด้านที่เป็นหญิงสาวของฉัน]
ดูเหมือนว่าเธอจะพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ยิน มันเบาเกินกว่าที่ผมจะได้ยิน
ในทางกลับกัน การสนทนาของทางนั้นก็เหมือนจะยังไม่จบกันง่ายๆ ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะยังไม่ยอมแพ้ ผมรู้สึกว่าไอนะเธอเริ่มไม่ยิ้มอีกแล้ว
[เพราะแบบนั้น พวกเราเลยอยากให้ฮายาโตะคุงไปเจอคุณแม่ของเราด้วยเหมือนกัน เพราะมันคงไม่ยุติธรรมหากมีแค่พวกเราสองคนที่ได้ขอบคุณและได้คุยกับนาย]
[…อ๊า~]
หมายความว่าอยากให้ผมไปที่บ้านในสุดสัปดาห์สินะ
ตอนนี้ผมเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว ผมไม่เคยคุยกับแม่ของสองคนนี้เลย แต่ผมเคยเห็นว่าหน้าตาของเธอเป็นยังไง เธอมีผมสีดำโดดเด่นอนึ่งว่าเป็นยามาโตะ นาเดชิโกะ ใบหน้าของเธอคล้ายสองคนนี้มาก ขนาดที่ว่าถ้ายืนข้างกันก็มองว่าเป็นพี่สาวซะมากกว่า ผมละสายตาจากเธอไปไม่ได้ เพราะสไตล์ของเธอต่างจากสองคนนี้ไปโดยปริยาย
[เป็นคนแบบไหนเหรอ?]
[คนแบบไหน… สำหรับพวกเรา เราอยู่ด้วยกันมานานจนไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย แต่ฉันพูดได้เต็มปากเลย]
[พูดได้เต็มปากว่า?]
[ในทุกๆ ด้าน ท่านคือผู้ให้กำเนิดเรา]
ผมเข้าใจแล้ว หรือก็คือสวยมากสินะ แบบนี้นี่เอง
ในที่สุดการสารภาพรักก็จบลง ลงเอยด้วยการที่ผู้ชายคนนั้นเดินจากไปแต่โดยดี ผมดีใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไอนะ แต่ตอนนี้ ผมควรตอบอาริสะยังไงดี?
.
.
.
ซากุนะ ชินโจ นั่นคือชื่อแม่อาริสะและไอนะ
เธอดูสาวจนเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเธอมีลูกสาวอยู่สองคน อีกทั้งยังเรียนอยู่ม.ปลายอีก ทำให้เธอดูเหมือนพี่สาวซะมากกว่า
ยังไงก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เป็นเหมือนเงาติดตัวของซากุนะ เรื่องในครั้งนั้นเกือบสร้างความเสียหายไม่เพียงแต่ตัวเธอ แต่รวมไปถึงลูกสาวของเธอด้วย มันน่ากลัวที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีใครมาช่วยเหลือพวกเธอเลยในตอนนั้น
[ดีใจจัง… ที่ผู้ชายคนนั้นมาช่วยพวกเราไว้]
ทุกคนปลอดภัยเพราะเขามาได้ทันเวลา วีรบุรุษที่ปรากฏตัวพร้อมหมวกฟักทอง
เธอปลอดภัยได้เพราะเขา เธออยากขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตพวกเรา อยากขอบคุณเขาเพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งควรทำ
[ไม่เป็นอะไรแล้วนะ]
เขาวางมือลงบนไหล่ของเธอและลูกสาวของเธอ ซากุนะไม่สามารถลืมความรู้สึกของมือหนานั่นที่สัมผัสลงบนไหล่ของเธอได้ มากจนไม่สามารถลบมันออกไปจากหัวได้เลยซะด้วยซ้ำ เธอเกือบจะร้องเสียงหลงออกมาเมื่อคิดว่าตัวเองจะรู้สึกถึงรักอีกครั้ง การที่ได้พบเขาได้ส่งผลกับเธอมากจนคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถลืมเขาได้ง่ายๆ
[…เฮ้อ]
ซากุนะถอนหายใจเฮือกใหญ่
เธอไม่เห็นใบหน้าของตัวเองในกระจก ใบหน้าที่คลับคล้ายกับลูกสาวของเธออย่างชัดเจน ใบหน้าที่ไม่มีความเหมือนคุณแม่เอาซะเลย
ใช่ เธอเป็นแม่ของสองคนนั้นอย่างแน่นอน
เหมือนอย่างที่ข่าวลือว่าไว้