ในราตรีเงียบงันทอฉายด้วยเเสงพระจันทร์อ่อน ๆ
กลุ่มหมอกเเผ่ปกคลุมถนนที่เก่าเเละมืดมัวทางตะวันออกของเมืองคามาคุระ
อย่างไรก็ตาม ในถนนที่มืดมัวเเห่งนี้ก็ปรากฏให้เห็นเงาของหญิงสาวในชุดประหลาดราวกับมาจากคนละยุคสมัยผู้หนึ่ง
หญิงสาวผู้ถือร่มกระดาษในมือเเละชุดกิโมโนสีม่วงลายดอกไม้คราม เดินยํ่าเท้าไปตามถนนที่มืดมัว เสียงร้องเท้าเเตะทําจากไม้ดังเป็นก้องจังหวะเป็นช่วง ๆ
หญิงสาวผู้นี้ นามว่า “ลิลลี่”
หญิงผู้มีกายหยาบเป็นร่างของหญิงสาวเเต่ภายในกลับเป็นวิญญาณของเด็กชายผู้หนึ่ง…
หญิงผู้มีจิตวิญญาณเเละกายหยาบจาก ณ ที่เเห่งอื่น…
หญิงผู้มีใบหน้าเเละผิวเนียนละเอียดราวกับไร้มลทินใด ๆ ต่อโลก
ดวงตากลมโตของเธอกระพริบขึ้นลงบ่อยครั้งขณะที่มองไปรอบ ๆ โลกที่เเปลกจากเดิม
สายลมเย็นพัดผ่านตรอกซอย ยิ่งขับให้ริมฝีปากราวกับมะเขือเทศของหญิงสาวให้เด่นชัดขึ้นไป
ราตรีนี้เงียบงัน จนหญิงสาวได้ยินเสียงลมหายใจของเธอเอง
เเม้ลิลลี่จะพยายามนึกสาเหตุที่เธอมายังที่เเห่งนี้อย่างไรภาพความทรงจําก็จะมลายหายไปทุกครั้ง เเละเพราะอะไรเธอจึงกลายเป็นเด็กผู้หญิงถือร่มกระดาษสวมชุดกิโมโนบนถนนเเห่งนี้ ?
ลิลลี่เพียงรู้ว่าเธอมาจากยุคปัจจุบัน เป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาในเมือง S เเต่เหมือนเธอจะขาดความทรงจําเกี่ยวกับชื่อของเธอในท้ายที่สุดเธอจึงเรียกตัวเองว่า”ลิลลี่”
ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้านี้ หรือตอนนี้เธอก็รู้สึกกับตัวเอง ว่านี่คือชื่อของเธอเอง
นอกจากชื่อของเธอ ลิลลี่นึกได้เพียงชีวิตวัยเด็กของเธอความทรงจําที่ราวกับมันพึ่งเกิดเมื่อวานเเละดับสูญไปในอดีตอันไกลโพ้นเหมือนช่วงเวลาที่ถูกบิดเบือน
หรือจะเป็นเพราะสถานที่เก่า ๆ นี้ทําให้เธอนึกถึงอย่างนั้น ?
หรือที่เเห่งนี้จะเป็น ญี่ปุ่นสมัยเก่า ยุคเฮอันหรือสงครามรัฐกันเเน่ ?
หรือเป็นโลกเเห่งอื่น ที่คล้ายกับญี่ปุ่นโบราณ ?
คําถามต่าง ๆ ยังคงวนเวียนในหัวเเต่ลิลลี่ยังคงเชื่อว่าสถานที่เเห่งนี้คงไม่ใช่ที่ที่เธอเคยมาอย่างเเน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างอย่างประณีตเเต่ก็เเปลกตาเเละ บรรยากาศสภาพเเวดล้อมที่ผิดเเปลกไปจากความรู้สึก
สัญชาตญาณของผู้หญิงของเธอที่โตขึ้นตามวัยในร่างนี้มันทําให้เธอเชื่อมั่นในความรู้สึกนั้น !
เเม้ว่าในความรู้สึกของเธออาจจะไม่มั่นใจชัดเจน เเต่เเววตากลมโตของเธอเเสดงถึงความวิตกอย่างหนึ่งอย่างชัดเจน
เธอกําลังมีปัญหา !!
เเม้บนถนนจะเงียบงันเเต่หญิงสาวที่เดินเตร่ตามถนนในยามราตรีก็ยังคงเป็นปัญหาเเละลิลลี่ก็ยิ่งไม่คุ้นเคยกับที่เเห่งนี้ด้วย
ถ้าตามภาพยนตร์ในยุคโบราณก็มักจะเเฝงความโรเเมนติกอยู่เสมอเเต่ภายในความเป็นจริงลิลลี่รู้ว่ามันโหดร้ายเช่นใด หากให้เธอเลือกได้ก็ขออยู่ในยุคปัจจุบันจะดีกว่า
ลิลลี่ไร้ซึ่งสิ่งสะท้อนใดให้เห็นร่างกายของเธอปัจจุบัน เธอจึงได้เพียงอนุมานร่างกายของเธออย่างหยาบ ๆ เเทน เเต่เพียงผิวที่เเขนอมชมพูเเละขาของเธอ ลิลลี่ก็พอจะเดาได้ว่าตนมีเสน่ห์เพียงใด เเต่ถึงอย่างนั้นสายตาที่สูงกว่าในตอนที่เป็นเด็กผู้ชายทําให้เธอหงุดหงิดเล็กน้อย
ร่างกายที่น่าดึงดูดทําให้ลิลลี่ยิ่งกังวลเกี่ยวกับเธอในสภาพเเวดล้อมนี้ขึ้นอีก เธอมองไปรอบเเละคลําตามร่างกายเผื่อจะมีอาวุธป้องกันซักอย่าง เเต่ทั้งหมดที่เจอก็มีเพียงกระจกทองเเดงเก่า ๆ ในสายสะพายกิโมโนเท่านั้น
กระจกทองเเดง ??
ลิลลี่รีบหยิบมันขึ้นมาทันทีเพื่อส่องดูเงาสะท้อนของเธอ เเต่รอยเเตกตรงกระจกมีมากเกินไปภาพจึงกระจายเป็นหลายส่วนดูไม่ได้ความขึ้นมา เธอจึงถอนหายใจเเละยัดกระจกทองเเดงกลับเข้าสายสะพายกิโมโนดังเดิม
ลิลลี่จึงเริ่มคาดการณ์ความเป็นไปได้เพิ่มอีกอย่างเกี่ยวกับที่เเห่งนี้ต่อ
“ถ้านี้เป็นยุคสมัยเฮอันหรืออะไรก็ตามจริง ฉันคงดูเป็นลูกจากตระกูลผู้ดีสักเเห่งสินะถ้าเป็นในชุดเเบบนี้ ” เธอมองลงบนผิวผ้าบนชุดกิโมโนของเธอที่ดูประณีตกว่าชุดทั่วไป
“เห้อ…สุดท้ายเเล้วฉันก็ยังไม่มีคําใบ้อะไรเกี่ยวกับหนทางกลับโลกเดิมเลย เเต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไปอยู่ในยมโลกก็เเล้วกัน ว่าเเต่สถานที่ของรัฐมันก็ควรอยู่เเถวนี้บ้างสิสิ ? อย่างน้อยพวกเขาก็ควรจะปกป้องฉันได้ล่ะนะหากเกิดอะไรขึ้มมาจริง ๆ ”
เมื่อคิดเเผนในหัวเสร็จลิลลี่จึงเดินไปข้างหน้าถนนเเห่งนี้อีกครั้ง
เเต่เมื่อเดินยํ่าเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ถนนเก่าที่ปูด้วยหินกลับเริ่มจางหายไปเเละขอบถนนก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อลิลลี่มองไปรอบ ๆ เธอก็สังเกตเห็นถนนทั้งสองด้านที่ล้อมไปด้วยกําเเพงสีขาวเเละมีโคมไฟห้อยประดับอยู่ที่ประตู ภายในกําเเพงปกคลุมไปด้วยต้นไม้เเละศาลาบางส่วน เเต่ทุกที่ก็ปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกอยู่เสมอ
ลิลลี่มองโคมไฟที่ห้อยประดับอยู่หน้าประตูเเล้วลองนึกย้อนกลับไป โคมไฟเเละนํ้ามันตะเกียงมันเป็นสิ่งของราคาเเพงทั้งนั้นในอดีตเเต่ทําไมถึงยังมีคนจุดไฟในตอนนี้อีกล่ะ ?
สายลมเย็นพาดผ่านพัดพาทําให้ลิลลี่หวั่นกายไม่น้อย สภาพเเวดล้อมที่ห้อมล้อมไปด้วยหมอกเเถมมีเพียงเเสงไฟตรงหน้าที่ยังสว่างอยู่
“ฉันควรเคาะประตูดีไหมนะที่นี่ดูเหมือนบ้านของคนชนชั้นสูงเลย..อย่างน้อยมันก็คงจะปลอดภัยสินะ ? ”
ลิลลี่ส่ายหัวให้กับความคิดของเธอในทันทีเเละก้าวเท้าถอยออกมา ในยุคโบราณหญิงสาวตัวเล็ก ๆ อย่างเธอคงไม่มีกําลังสู้ใครอยู่เเล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่อยากเสี่ยงกับอะรไรเเบบนี้
เเม้จะคิดได้อย่างนั้นเเต่ลิลลี่ก็รู้ว่าเธอไม่สามารถอยู่อย่างนี้ไปได้ตลอดเเน่ หากขาดนํ้า อาหาร เธอก็จะต้องตายเพราะเเบบนั้นบางทีการหาที่ตั้งหน่วยงานรัฐก่อนคงอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเธอ
เธอคิดอย่างนั้นเเละมองไปถนนเก่าที่ปกคุลมไปด้วยหมอกเบื้องหน้าที่เธอไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรต่อ ? ลิลลี่จึงรู้สึกเสียใจขึ้นมาเมื่อลองนึกย้อนไปวัยเด็กของเธอที่ไม่ได้สนใจสารคดีภาพยนตร์เอาชีวิตรอดของปู่เธอมากพอ
ในโลกเเห่งนี้ที่ไร้ซึ่งตัวช่วยสําหรับเธอ ทําให้เเม้เเต่ทางตรงหน้าตัวเธอเองก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย…
!!!!!!
ลมหนาวเย็นจู่ ๆ ก็พัดเข้าใส่ใบหน้าของเธออย่างฉับพลัน
วืด! วืด! วืด!
โคมไฟที่ห้อยประดับรอบตัวลิลลี่ค่อย ๆ ฉายเเสงขึ้นมา ทําให้ดังกับมีเเววตามากมายจ้องมองเธออยู่
ลิลลี่ตื่นตระหนกเเละเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
ตึง..ตึง..ตึง..
เสียงกลองดังก้องไปทั่วถนน เเละมันก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ตรงหน้าเธอ
จังหวะของทํานองที่ดูฟังเก่าเเต่เรียบง่าย ทําให้ลิลลี่รู้สึกไม่ชิน
โคมไฟเบื้องหน้าค่อย ๆ ขยับไปมาราวกับเต้นไปตามเสียงขลุ่ยที่บรรเลงไปพร้อมกับพิณในราตรี ทั้งฟังดูเศร้าโศกเเละไพเราะอย่างเเปลกประหลาด
“นี่มันเสียงอะไรกัน? ใครจัดเเสดงเทศกาลในตอนกลางคืนอย่างนั้นหรอ ? ” ลิลลี่ตัวสั่นอย่างหวั่นกลัวถึงภัยอันตราย ขาของเธอจู่ ๆ ก็เริ่มเเข็งเเละหยุดอยู่กับที่
ลิลลี่มองไปหมอกเบื้องหน้าที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยเงาของสิ่งมีชีวิตมากมายโผล่ออกมา ร่างบางที่สูงอย่างผิดปกติ ร่างที่ลอยอยู่เหนือบนดิน หรืออะไรก็ตามที่ท้าทายสามัญสํานึกของเธอ
ใจของลิลลี่ดังระรัวกับสิ่งตรงหน้า บทเพลงเศร้ายังคงบรรเลิงต่อไปเเต่ในตอนนี้ร่างกายของเธอกลับอยากจะวิ่งออกไปอย่างเร็วเเทน เงาตรงหน้าค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
ช่วงเวลาความเป็นความตายที่ลิลลี่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนค่อย ๆ คืบคลานเข้ามามา
เหงื่อไหลโชกลงตามผิวอมชมพูเนียนของเธอยิ่งผลักดันให้ตัวเธอให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นกว่าเดิม
“ฉันต้องวิ่ง ! ไม่ว่าพวกนั้นจะเป็นอะไรก็ตามฉันต้องหนีไปจากที่นี้ ฉันปล่อยให้พวกมันเจอฉันไม่ได้เด็ดขาด ! “
ปลายนิ้วของลิลลี่จิกลงที่ต้นขาเนียนของเธอเเต่เธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซํ้า!
เเม้จะพยายามออกเเรงเท่าไหร่ร่างลิลลี่ก็ยังคงอยู่ที่เดิม หากเด็กผู้หญิงอย่างเธอต้องรอให้เผชิญหน้ากับตัวประหลาดเเบบนั้นต่อให้ตายยังไงก็ไม่ยอมเเน่ !
“ขยับสิได้โปรดล่ะ…”
เสียงดนตรียังคงดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เงาประหลาดยิ่งโผล่ออกมามากชึ้น ลิลลี่มองไปเบื้องหน้าเธออย่างสิ้นหวัง
“ฉันจะโดนพวกนั้นฆ่าจริง ๆ เหรอ…” เธอพึมพํา
ฟิ้ว..
สายลมเบา ๆ พัดผ่านใบหูของเธอ พร้อมกับเสียงใส ๆ ฟังเเล้วผ่อนคลายดังขึ้นที่ข้างหูของลิลลี่
“อย่าขยับถ้าเธอยังอยากมีชีวิตรอด..อยู่นิ่ง ๆ ซะเเละอย่าคิดจะวิ่งหนีเด็ดขาด ” เสียงนั้นกล่าว
หลังจากนั้นภายใต้กลุ่มหมอกเบื้องหน้าก็ปรากฏร่างจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่กว่าจิ้งจอกทั่วไปหลายเท่าขึ้นมา
หางสามหางที่ดูพองหนา เเละขนสีตาทองของมันจ้องมาที่ลิลลี่
!!!
“อย่าขยับ ! เจ้าจิ้งจอกนั้นกําลังดมกลิ่นอยู่ มันรู้ว่าเพียงมีบางอย่างตรงหน้าเท่านั้น เเต่มันมองไม่เห็นเธอดังน้้นอย่าขยับไปไหนเด็ดขาด”
เธอกัดฟันเเละกําร่มกระดาษของตัวเองไว้ หน้าอกอันหนักอึ่งกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ คลอไปกับเสียงบรรเลงอันกังวาล
ต่อมาในหมอกก็ปรากฏร่างของหญิงสาวสาวมชุดกิโมโนโบราณก้าวออกมา ผิวของเธอซีดขาวตัดกับริมฝีปากเเดงของเธอ พิณโบราณในอ้อมกอดสั่นไปมาไปตามก้าวของเธอเเละเบื้องหลังของหญิงสาวก็มีปีศาจวัวตนหนึ่งสูงสามเมตรเดินตามมา ขนสีเเดงเเละงาสีซีดอันเป็นเอกลักษณ์ ผิดกับภาพจําที่ลิลลี่เคยพบเจอมา
ร่างปีศาจเเละอสูรต่าง ๆ เริ่มทยอยออกจากหมอกเเล้วก้าวไปเบื้องหน้า ลิลลี่มองภาพต่อหน้าเธออย่างไม่เชื่อสายตา ขนหางของจิ้งจอกยักษ์ปัดผ่านใบหน้าเธอ เเต่เหมือนว่ามันจะไม่สังเกตถึงเธอเลยด้วยซํ้า !
เเต่สุดท้ายก็มีร่างของปีศาจสีนํ้าเงินก้าวมาในทิศเดียวกับที่ลิลลี่ยืนอยู่ดีเเละหากเธอไม่หลบละก็ทั้งสองชนกันเเน่ !
“ใจเย็น ๆ…ขยับหลบออกไปอย่าดึงดูดความสนใจพวกมันพยายามทําตัวให้เงียบที่สุดเเละอยู่ใต้เงาร่มกันเเดดไว้…….ตอนนี้เเหละ ! “
สิ้นสุดเสียงปริศนาร่างกายของลิลลี่ก็เคลื่อนไปอย่างรวดเร็วโดยอาศัยเพียงสัญชาตญาณของเธอเท่านั้นนี่จึงทําให้เธอเเปลกใจเป็นอย่างมาก
ปีศาจสีนํ้าเงินค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ลิลลี่ขึ้นเรื่อย ๆ เเละหยุดลงข้างเธอในจุดที่เธอเคยอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ เสียงลมหายใจของมันดังอย่างรุนเเรงราวกับสูดดมกลิ่นบางอย่างเเละมองมาที่ลิลลี่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหน้าต่อไป
ขณะที่ลิลลี่กําลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก กิ้งก่าสีเขียวขนาดเท่าเเมวก็วิ่งผ่านขาของเธอไปอย่างรวดเร็ว
!!!
มือข้างหนึ่งของเธอรีบปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้ดังออกไป เพียงมองไปยังภาพเบื้องหน้าเธอโดยที่เอามือปิดปากตัวเองไว้ เเรคคูนขนาดเท่าหมีสวมหมวกไม่ไผ่ ปีศาจโคมไฟ เเละปีศาจทั้งหลายที่ค่อย ๆ เดินออกมาจากหมอกเบื้องหน้าเธอ
ลิลลี่ไม่รู้เลยว่าคืนเเรกของเธอในโลกเเห่งนี้จะเป็นวันที่ 15 กรกฎาคมตามปฎิทินจัทรคติของจักรวรรดิเฮอัน
วันพาเหรดของเหล่าอสูร ที่เหล่าปีศาจเเละอสูรทั้งหลายจะจัดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น
นี่คือ Hyakki yagyo [“ขบวนร้อยอสูร”] อันเลื่องชื่อ ณ ดินเเดนเเห่งใหม่นี้…
ลิลลี่เดินหลบออกไปที่ตรอกข้างทางระหว่างหลีกเลี่ยงการชนกับปีศาจนับร้อยไปด้วย
เมืองคามาคุระในราตรีนี้ยังคงหนาวเย็นต่อไป เเม้ในตอนนี้จะเป็นฤดูร้อนก็ตามที
“โชคดีที่เธอหนีมาก่อนมิจิซาเนะจะมาถึงหากเจ้านั่นมาละก็เธอคงตายไปนานเเล้วล่ะ..” เสียงปริศนานั้นกล่าว
เเม้ลิลลี่จะไม่เข้าใจสิ่งที่เสียงปริศนากล่าวถึงเเต่เธอก็รู้สึกถึงภัยอันตรายจากคําพูดนั้นดี ลิลลี่หลบอยู่ข้างตรอกถนนมองขบวนพาเหรดที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปก่อนสายตาเธอจะไปสบเข้ากับชายร่างสูงคนหนึ่ง…ไม่สิสูงมากต่างหาก ชายร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยฟุตที่ไว้เครา มีใบหน้าอ้วนเล็กน้อยเเละสวมหมวกทางการของราชวงศ์ถังเด่นตระหง่าน สายตาอันเเหลมคมราวกับจะฉีกกระฉากตัวเธอไปเลยนั้นทําให้ลิลลี่ไม่กล้าสบตากับเขา
“นั่นคือจ้าวปีศาจมิจิซาเนะ” เสียงปริศนาอธิบาย
“คราวนี้เขาเป็นผู้นาขบวนตลอดทางจนประตูทางตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเเบบนั้นทุกคนในเมืองเเละยามลาดตระเวนก็เลยไม่มีใครอยากเผชิญสายตาจากของเขาเพื่อเจอกับหายนะหรอกนะ”
อย่างน้อยก็บอกกันก่อนสิ ! ลิลลี่บ่นในใจ
“หึ..เด็กน้อยเเม้จะดูขาดการฝึกฝนก็ตาม เเต่ในสถานการณ์เช่นนั้นคงมีไม่กี่คนเท่านั้นทีจะรับมือได้เช่นเธอหรอกนะบางทีมันอาจจะไม่เรื่องบังเอิญที่นําเจ้ามายังโลกใบนี้ก็ได้”
ขณะที่ลิลลี่ไม่ได้สังเกตรอบด้าน ชายร่างใหญ่นามมิจิซาเนะก็หยุดอยู่กับที่เเละเหลือบมองมาที่เธอเรียบร้อยเเล้ว เเต่เเววตาที่ดูเเหลมคมนั้นยามมองไปยังหญิงสาวภายในตรอกกลับปรากฏร่องรอยความเศร้าขึ้นมาเเทน
ตามหลังจากมิจิซาเนะ คือรถม้าที่ได้รับการตกเเต่งอย่างวิจิตรเเละสัตว์ประหลาดวัวขนาดยักษ์ที่คอยลากจูงเคลื่อนไปด้าหน้า
“ผู้หญืงในรถม้าคือท่านหญิงฮาชิฮิเมะ มารดาของเจ้าชายโคเฮ ตั้งเเต่ยามเมื่อ…”
ลิลลี่ฟังเรื่องราวจากเสียงปริศนาอย่างผ่านไปที ขณะที่ตนเองกําลังดูสถานการณ์ตรงหน้าเธออยู่
เมื่อเสียงบรรเลงเริ่มไกลลับไป สถานที่เเห่งนี้ก็กลับสู่ความสงบเเละไอเย็นจากอากาศค่อย ๆ จางไป โคมไฟรอบตัวลิลลี่เริ่มดับลงทีละดวงราวกลับว่าไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นมาก่อนในเมืองคามามุคระเเห่งนี้ เเต่ตัวเธอรู้ดีกับสิ่งที่เผชิญก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพียงฝันอย่างเเน่นอน
“ฉันไม่เเน่ใจว่าจะตอบเเทนคุณอย่างไรดี ” เมื่อตั้งสติได้มั่นเธอจึงกล้าพูดออกมากับเสียงปริศนา
“ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นเทพองค์ไหน หรือเป็นวิญญาณภูตอะไร ดังนั้นอย่างน้อยก็ปรากฏตัวให้ฉันเเสดงความขอบคุณด้วยได้ไหม ? เเล้วก็เรื่องการฝึกที่คุณพูด…”
….
…….
………
………….
ไร้เสียงใด ๆ ตอบกลับมาเเม้เธอจะพยายามพูดต่อไปเเต่เสียงปริศนาก็ไม่ปรากฏขึ้นอีกเลย
ขณะที่ยืนอยู่เเสงจันทร์จาง ๆ ก็ส่องผ่านหมู่เมฆลงมาที่เธอ โดยไม่รู้ว่ามันกําลังท้าทายเธอให้เผชิญกับสิ่งเเปลกประหลาดบนโลกที่เเห่งนี้อยู่ หรือว่ามันจะพยายามปลอบประโลมเธอกันเเน่ ?
หญิงสาวยังคงเฝ้าคิดต่อไปถึงอนาคตภายหน้าที่ยังคงมืดมัวกับตัวเอง….