ขณะควบที่ขี่ม้าตัวใหญ่ในชุดเกราะเต็มยศ โจวเหว่ยชิงก็มีสีหน้าสงบนิ่งขณะที่พวกเขาควบม้าไปข้างหน้า เด็กหนุ่มหยิบขนมอบแห้งออกมาจากแหวนมิติและเริ่มกัดกิน แต่เมื่อเขาพยายามจะมอบให้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ เธอกลับปฏิเสธมันอย่างหงุดหงิด อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เพราะหญิงสาวยังโกรธเขาเรื่องก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะซ่างกวนเฟยเอ๋อร์รู้สึกว่าเขายอมง่ายเกินไป ทหารคุ้มกันเหล่านี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเหยียดหยาม แต่เด็กหนุ่มกลับยังพยายามอดทน นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบใจนัก
ทหารคุ้มกันของเซินปู้ล้วนถูกคัดเลือกมาจากกรมทหาร เป็นยอดฝีมือเหนือเหล่าทหารทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นถึงจ้าวมณียุทธ์ เพียงแค่ระดับระดับพลังปราณของพวกเขาไม่สูงมากเท่านั้นเอง ถ้านี่คืออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาคงจะได้เป็นนายทหารยศสูงแล้วแน่ๆ
ม้าชั้นดี 22 ตัวเหยียบย่ำไปตามเส้นทาง และต้องใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมงก่อนที่ค่ายทหารจะปรากฏสู่สายตาพวกเขา
หลังจากคำนวณอย่างคร่าวๆ โจวเหว่ยชิงก็คาดว่าพวกเขาเดินทางมาอย่างน้อย 300 ลี้แล้ว ถ้าค่ายทหารตรงหน้าพวกเขาเป็นกองพันนักเลงจริงๆ ทหารค่ายนี้ก็ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาก
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยกองพันนักเลงก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนที่ราบโล่ง เพราะไม่ไกลจากที่นี่ก็เป็นพรมแดนระหว่างอาณาจักรจ้งเทียนและอาณาจักรวั่นโซ่วแล้ว ดังนั้นเมื่อพื้นที่โดยรอบเป็นเนินเขาและยอดเขา แม้ไม่ใช่ยอดเขาสูงสุด แต่ก็เพียงพอจะทำให้ภูมิประเทศค่อนข้างซับซ้อนไม่ถูกตีแตกได้ง่ายแล้ว
โจวเหว่ยชิงเห็นพื้นที่ค่ายกองพันนักเลงส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนบริเวณเนินเขาแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้มองจากระยะไกลๆ กระโจมเหล่านั้นถูกกางไว้อย่างลวกๆ ไม่เป็นระเบียบตามมีตามเกิด ส่วนใหญ่สกปรกและขาดรุ่งริ่ง ไม่มีแม้แต่ธงของกองทัพให้เห็น กระทั่งเนินเขาเล็กๆ นั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏและบรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ค่ายแห่งนี้ก็ทำให้สถานที่ทั้งหมดดูเยือกเย็นและมืดมน เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่รกร้างด้วยซ้ำ
“หยุด!” ในขณะที่พวกเขาอยู่ห่างจากตัวค่ายประมาณ 500 เมตร เสียงตะโกนก็แหวกอากาศออกมาทำลายความเงียบอย่างกะทันหัน จู่ๆ ชายฉกรรจ์ประมาณสิบกว่าคนก็กระโดดออกมาจากข้างโขดหิน ขวางเส้นทางของพวกเขาเอาไว้
คนพวกนี้เป็นทหารจริงหรือ! เมื่อได้เห็นพวกเขาเป็นครั้งแรก โจวเหว่ยชิงก็ชะงักไป ทหารเหล่านี้ไม่ได้แต่งกายอย่างที่ควรจะเป็น หรือแม้กระทั่งดูสะอาดตา เครื่องแบบทหารของพวกเขาดูยุ่งเหยิงมาก บางคนก็มีไม่ครบชุดด้วยซ้ำ ในความเป็นจริงคือเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของพวกเขาขาดรุ่งริ่งและฉีกขาดตามจุดต่างๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการซ่อมปะชุนอย่างน่าเกลียดบ้าง แต่นั่นก็ถือว่าดีที่สุดในกลุ่มคนทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครมีอุปกรณ์ป้องกันเช่นเกราะหนังหรืออะไรเทือกๆนั้นแม้แต่น้อย อุปกรณ์ที่ดูจะเข้าท่าที่สุดเพียงอย่างเดียวในบรรดาคนทั้ง 10 นี้คืออาวุธ 3 ชิ้น นั่นก็คือหอก ส่วนที่เหลือมีเพียงไม้ค้ำยาวๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ห่วยแตกเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็ดูแข็งแกร่งและดุร้ายจริงๆ ทั้งหมดน่าจะอายุระหว่าง 25-35 ปี ตัวสูงใหญ่และล่ำสัน เพราะเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง กล้ามเนื้อสีทองแดงสุขภาพดีของพวกเขาจึงเปิดเผยออกมาให้ได้เห็น ประกอบกับใบหน้าที่ดูแข็งกร้าวและดื้อรั้น มันจึงยากจะอธิบายได้ว่าพวกเขาเป็นทหารหรือกลุ่มโจรที่ใช้ความรุนแรงกันแน่
หัวหน้าทหารคุ้มกันฟาดแส้ออกไปกลางอากาศ เสียงสั่นสะเทือนดังทำลายความเงียบทันที “หยุดอะไร! ไอ้พวกกุ๊ยอันธพาล ดูตัวเองเสียบ้าง! เหมือนขอทานซะจริงๆ! ถูกส่งมาที่นี่แต่กลับไม่เรียนรู้การทำตัวให้ซื่อสัตย์อีกเหรอ? พวกเราเป็นทหารคุ้มกันส่วนตัวของผู้บัญชาการกรมทหารที่ 16 เซินปู้ และเรามาที่นี่เพื่อพาผู้บัญชาการกองพันคนใหม่มาหาพวกเจ้า นี่คือผู้บัญชาการกองพันโจว รีบมาทักทายเขาเร็วเข้า”
ชายหนุ่มนั่งบนม้าด้วยท่าทางสูงสง่า มองลงไปที่ทหารกองพันนักเลงด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมด้วยอำนาจและเหนือกว่า ทหารคุ้มกันทุกคนแต่งกายด้วยชุดเกราะอย่างดี อวัยวะส่วนสำคัญถูกปกป้องด้วยเกราะโลหะผสมไทเทเนียม บนร่างยังประกอบไปด้วยดาบยาว ธนูยาวและอาวุธต่างๆ แม้แต่ม้าของพวกเขาก็ถูกปกป้องด้วยเกราะหนังในตำแหน่งที่สำคัญๆ อาจกล่าวได้ว่ามีอาวุธที่สามารถต่อสู้ได้จริงๆ ครบครันตั้งแต่หัวจรดเท้า และมันก็แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างพวกเขากับทหารกองพันนักเลงเหล่านี้อย่างชัดเจน ราวกับฝ่ายหนึ่งเป็นสวรรค์ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นนรก
โจวเหว่ยชิงไม่ส่งเสียงใดๆ มองทหารกองพันนักเลงอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป
คนที่น่าจะเป็นผู้นำกองพันนักเลงส่งเสียงร้องออกมา และไม่นานศีรษะแล้วศีรษะเล่าก็โผล่ออกมาจากข้างโขดหิน ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็มีชายเกือบร้อยคนปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมด้วยกลิ่นอายกระหายเลือดและอาวุธที่สภาพย่ำแย่พอๆ กัน ทว่าพวกเขาก็ยังมีรูปร่างบึกบึนสมชายชาตรี อย่างไรก็ตาม เพียงแค่รูปร่างของฝ่ายนั้นก็ทำให้เกิดความกลัวในจิตใจของทหารคุ้มกันทั้ง 20 คนแล้ว เพราะหากถึงกับถูกส่งตัวมาที่นี่ เหล่าทหารที่น่ารังเกียจเหล่านี้ก็ต้องไม่ใช่คนดีหรือพวกมีน้ำใจแน่!
“เจ้ามาที่กองพันนักเลงเพื่อโอ้อวดอำนาจรึไง? นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์เสียแล้ว! ผู้บัญชาการกองพันบัดซบอันใด พามันกลับไปที่ที่เจ้าพบนั่นแหละ พวกเราเป็นกลุ่มคนอายุสั้นที่ถูกทอดทิ้งมานานแล้ว ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาชี้นำ ข้าจะให้เวลาเจ้า 1 นาที ถ้าไม่ไสหัวไปให้พ้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะให้สร้าง ‘อุบัติเหตุ’ ให้พวกเจ้าทุกคนหรอกนะ”
คนที่เอ่ยคือผู้ชายตัวใหญ่กล้ามโตที่ผิวแทบจะกลายเป็นสีดำสนิทจากการโดนแดดเผา ชายผู้นั้นยืนตระหง่านอยู่บนเนินเขาในสภาพเปิดเปลือยท่อนบน ใต้แสงตะวันอันแรงจ้า กล้ามเนื้อที่น่ากลัวของเขาเปล่งประกายระยิบระยับจนเกือบจะแย่งความสนใจไปจากเดือยแหลมขนาดใหญ่ในมือขวาซึ่งมีความยาวเกือบ 8 ฉื่อไปแล้ว นัยน์ตาของชายหนุ่มมีร่องรอยความกระหายเลือดอยู่ภายใน แวววาวด้วยความโหดเหี้ยมดุร้ายเหมือนหมาป่า
แม้พวกเขาจะมีจำนวนเพียง 20 คน แต่ทหารคุ้มกันเหล่านี้ก็มีทักษะและมีอาวุธครบครัน หากต้องเผชิญหน้ากับทหารธรรมดาๆ ซึ่งไร้อาวุธที่เหมาะสมสักร้อยคน พวกเขาก็คงจะจู่โจมได้อย่างนึกดูแคลนและไม่ต้องกลัวว่าจะสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายหลาบจำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ผู้ชายหลายร้อยคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขากลับมีกลิ่นอายความเหี้ยมโหดที่ทำให้ทุกคนต้องหยุดการกระทำของตนเองชั่วคราวและระงับความหยิ่งยโสไว้ภายใน
หัวหน้าทหารคุ้มกันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “การพาผู้บังคับกองพันคนใหม่ของเจ้ามาที่นี่อยู่ภายใต้คำสั่งของกองทัพภาคเหนือและเราก็ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ตอนนี้เราพาเขามาที่นี่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เจ้าจะทำต่อไปจึงไม่ใช่เรื่องของเราอีก พวกเราจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็หมุนม้ากลับเพื่อที่จะพาคนของตนจากไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารกองพันนักเลงที่เห็นได้ชัดว่ากล้าได้กล้าเสียเช่นนี้ เขาก็ไม่ต้องการจะอยู่ต่อให้นานนัก
“ ข้ากลัวว่าการจากไปแบบนั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ในขณะนั้น น้ำเสียงเกียจคร้านก็ดังขึ้นและดึงดูดความสนใจของทุกคนไปในทันที
คนที่เพิ่งเอ่ยประโยคนั้นออกมาคือโจวเหว่ยชิง เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้าด้วยท่าทางสูงสง่าขณะสวมชุดเกราะผู้บัญชาการกองพัน
“มีอะไรหรือผู้บัญชาการกองพันโจว? ข้ากลัวว่าการกลับใจจะสายเกินไปแล้ว ท่านควรจะอยู่ที่นี่ต่อดีๆ เสีย” หัวหน้าทหารคุ้มกันคิดว่าโจวเหว่ยชิงกำลังหวาดกลัว ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม โดยธรรมชาติแล้ว หากไม่มีคำสั่งใดๆ เขาก็ย่อมไม่อาจพาโจวเหว่ยชิงกลับไปด้วยได้
โจวเหว่ยชิงกระพริบตาปริบๆ และพูดว่า “กลัวรึ? ข้าจะต้องกลัวอะไร? สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือ…พวกเจ้าทุกคนเป็นของขวัญต้อนรับที่ยอดเยี่ยม เหมาะที่ข้าจะนำไปบำรุงขวัญกำลังใจสหายร่วมกองพันและเหล่าพี่น้อง! ถ้าปล่อยให้เจ้าหนีไปคงไม่ดีแน่! ดูเหล่าอาวุธและอุปกรณ์อันแสนงดงามแพรวพราวที่พวกเจ้ามี แล้วดูซิว่าเหล่าพี่น้องของข้าต้องสวมอะไร? หึ…อะไรที่ทิ้งได้ก็ทิ้งไว้ที่นี่ซะ”
ขณะพูดอย่างนั้น เขาก็ทะยานออกจากหลังม้า โผเข้าหาหัวหน้าทหารคุ้มกัน
ด้วยความตกใจ ทหารคนนั้นจึงร้องว่า “ผู้บัญชาการกองพันโจว ท่านกำลังจะทำอะไร?!”
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวสว่างที่เรียงกันเป็นแถว “เมื่อเจ้ากลับไปที่ค่ายก็อย่าลืมบอกผู้บัญชาการกรมทหารเซินปู้ด้วยล่ะว่า…บิดาผู้นี้ไม่เคยเป็นคนดี… แต่เดิมข้าก็เป็นอันธพาลร้ายเช่นกัน!” ขณะพูด มือของเขาก็ฟาดลงไปที่หัวหน้าทหารคุ้มกันทันที
สำหรับคนผู้นี้ การที่เขาจะสามารถเป็นหัวหน้าทหารคุ้มกันส่วนตัวของเซินปู้ได้ ชายหนุ่มย่อมต้องมีพลังและพรสวรรค์ระดับหนึ่งอยู่แล้ว ทันใดนั้น พลังปราณสวรรค์อันหนาทึบก็พุ่งออกมาจากร่างของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็ปลดปล่อยมณีสวรรค์ทั้ง 4 ออกมา เขาก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์เช่นกัน!
อนิจจา คนที่กำลังจะทำร้ายเขาคือโจวเหว่ยชิง ผู้ซึ่งค่อนข้างไร้เทียมทานในบรรดาเหล่าคนระดับเท่าเทียมกัน โจวเหว่ยชิงไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าทักษะธาตุของเขาคืออะไร พริบตาเดียวเท่านั้น แสงสีเขียวแห่งทักษะโซ่ตรวนวายุก็มาถึงร่างของชายหนุ่มและจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาไว้ทันที
แม้หัวหน้าทหารคุ้มกันคนนี้จะอยู่ในระดับมณี 4 ชุดเช่นกัน แต่เขาก็ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับจ้าวมณีสวรรค์ส่วนใหญ่ ศาสตรามณียุทธ์ ทักษะกักเก็บ…ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก แม้ชายหนุ่มจะมีทักษะกักเก็บและศาสตรามณียุทธ์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เขามีจะเปรียบเทียบกับโจวเหว่ยชิงได้อย่างไร? เมื่อเผชิญหน้ากับทักษะโซ่ตรวนวายุที่มีระดับดาวสูง ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะให้คิดตอบสนอง ฝ่ามือของโจวเหว่ยชิงก็ได้ฟาดลงบนใบหน้าของเขาอย่างโหดเหี้ยมแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาจึงถูกส่งกระเด็นตกจากหลังม้า หมดสติไปเพราะการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“หึ บิดาคนนี้ต้องปวดหัวสอนบทเรียนให้เจ้าตั้งแต่เริ่มเลยสินะ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าจำเป็นต้องนำอาวุธทั้งหมดของเจ้ามาที่นี่ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะทนกับเจ้ามานานขนาดนี้หรือ! ถุย!” โจวเหว่ยชิงถ่มน้ำลายลงอย่างเหยียดหยาม
เหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหันดังกล่าวทำให้ทหารคุ้มกันทุกคนจ้องมองเขาด้วยความตกใจ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าโจวเหว่ยชิงจะกล้าลงมือกับกลุ่มของตนเอง
“อ้วนน้อยโจว เจ้าไม่กลัวถูกศาลทหารพิพากษาลงโทษหรือ?”
“ช่างศาลทหารหัวเจ้าสิ! ข้า บิดาผู้นี้ถูกส่งมาที่นี่แล้ว ใครจะสนเรื่องกฎกองทัพบัดซบนั่นอีกล่ะวะ! เฟยเอ๋อร์ เจ้าจะรออะไรอยู่ ลงมือซะ!”
เมื่อเขาพูดอย่างนั้น โจวเหว่ยชิงก็กระโจนขึ้นบนอากาศราวกับสายฟ้าฟาด แม้ว่าเด็กหนุ่มจะใช้เพียงทักษะธาตุลม แต่ทหารคุ้มกันเหล่านี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาเลยแม้แต่น้อย ความเร็วของทักษะสายฟ้าทะลวงจักรพรรดิสีเงินและพลังทำลายล้างที่แท้จริงของทักษะสะบัดปีกเฉือนจักรพรรดิสีเงินนั้นถือว่ามากเกินไปสำหรับทหารคุ้มกันธรรมดาๆ เหล่านี้ นอกจากนั้น สำหรับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ผู้ซึ่งเป็นเหมือนวิญญาณภูติผีที่ผุดขึ้นมากลางสนามรบ มันก็เป็นเพียงเวลาเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนที่ทหารคุ้มกันทั้ง 20 คนจะลงมานอนกองกันอยู่ที่พื้นอย่างง่ายดาย
โชคดีที่ทั้ง 2 คนไม่ได้บ้าคลั่งกระหายเลือดมากเกินไป พวกเขาเพียงแค่ทำให้ทหารคุ้มกันเหล่านี้หมดสติและไม่ได้สังหารทิ้ง แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บบางอย่างย่อมต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
เด็กหนุ่มปัดเศษฝุ่นที่มือราวกับกำลังทำอะไรบางอย่างที่ไม่สลักสำคัญก่อนจะกระโจนลงมาเหยียบพื้นอีกครั้ง
รอบข้างต่างเงียบสนิท นับตั้งแต่ที่พวกเขาลงมือ บรรดาทหารของกองพันนักเลงต่างก็นิ่งเงียบไม่ขยับตัว ทุกคนยืนดูพวกเขาอย่างเย็นชาโดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าอยากจะเข้าร่วมแม้แต่น้อย
เมื่อมองไปยังเหล่าทหารที่แสนเหี้ยมโหด โจวเหว่ยชิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะพูดว่า “ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าข้าจะมาถูกที่แล้ว” ขณะเอ่ย เขาก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อและดึงแผ่นป้ายที่ได้รับเมื่อเช้าออกมา
“ทุกคนมองให้ดี นี่คือตราผู้บัญชาการกองพันของข้า ข้าถูกส่งมาที่นี่โดยคำสั่งของกองทัพภาคเหนือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นผู้บัญชาการกองพันพิเศษที่ 1 เป็นหัวหน้าของพวกเจ้า ข้าชื่ออ้วนน้อยโจว และพวกเจ้าก็สามารถเรียกข้าได้ตามที่ต้องการ เอาล่ะ รออะไรอยู่?! ม้าทั้ง 22 ตัวเป็นของเรานับจากนี้ อืม…ชุดเกราะ เสื้อผ้า หมวกเกราะ อาวุธ ห้ามขาดหายไปสักอย่าง เร็วเข้า อ้อ เดี๋ยวก่อน แม้ว่าเราจะเป็นกองพันนักเลง แต่เราก็ยังต้องไว้หน้ากรมทหารที่ 16 สักหน่อย ทิ้งกางเกงในไว้ด้วย…”