สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 13 ม้าตื่นตกใจ

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 13 ม้าตื่นตกใจ

ตอนพวกซินโย่วทั้งสี่เร่งลงจากเขามาก็เห็นสารถีกำลังกระทืบเท้าไม่พอใจ

“ลุงจาง ผู้ใดทำให้ท่านโมโหหรือ ไยจึงโมโหเพียงนี้” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งถามอย่างอยากรู้

สารถีชี้ไปที่รถม้า สีหน้าดำทะมึนยิ่งกว่าก้นหม้อดำเอ่ยว่า “ไม่รู้มือดีที่ไหน ฉวยโอกาสตอนข้าสัปหงกแอบมาขโมยม่านประตูไป!”

สองผู้คุ้มกันตั้งใจมองไป ประตูทางเข้ารถม้าว่างเปล่าดังคาด ไม่เห็นร่องรอยของม่านประตู

“เหตุใดจึงมีคนขโมยม่านประตูกันด้วย” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ผู้คุ้มกันอีกคนพลันตบมือดังทีหนึ่ง “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นเจ้าวานรนั่นทำแน่เลย!”

สารถีรีบถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ผู้คุ้มกันกัดฟันกรอดเล่าเรื่องเจ้าวานรก่อกวนแย่งชิงปิ่นปักผมซินโย่วไป ยังวักน้ำสาดใส่หน้าเขาอีก

สารถีสีหน้าโมโห “เจ้าเดรัจฉานควรตาย ควรถลกหนังมันทิ้ง!”

ในใจซินโย่วเอ่ยขอโทษเจ้าวานรไปหลายคำ

ทำให้เจ้าวานรนั่นต้องแบกรับความผิดไปมากจริงๆ

เสี่ยวเหลียนยามนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าม่านประตูรถม้ามาจากที่ใด มองซินโย่วด้วยสายตาเลื่อมใสยิ่ง

ซินโย่วนึกได้ว่าเสี่ยวเหลียนคงรู้สึกว่านางเป็นผู้มีความสามารถ ทั้งยังขโมยม่านประตูรถได้อีก มุมปากก็กระตุก ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเงียบๆ

“คุณหนูนอกรีบขึ้นรถม้าเถิด นี่ก็บ่ายแล้ว ออกมานานเกินไปแล้วขอรับ” สารถีเอ่ยเร่ง

ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อยก่อนขึ้นรถม้า ให้เสี่ยวเหลียนนำขนมในรถม้ามามอบให้สารถีกับสองผู้คุ้มกันกิน

“เลยเวลาอาหารมาเล็กน้อยแล้ว ทั้งสามท่านกินขนมรองท้องกันก่อน”

ใบหน้าขาวสะอาดของสาวใช้โผล่ออกมาจากในรถม้า ทำให้คนนึกชื่นชม หนึ่งในผู้คุ้มกันก็มีน้ำใจถามว่า “พี่เสี่ยวเหลียนไม่กินหรือ”

เสี่ยวเหลียนฝืนยิ้มมุมปาก “คุณหนูหาหยกประดับไม่พบ อารมณ์ไม่ค่อยดี ข้ากับคุณหนูไม่หิว พวกเจ้าเอาไปกินเถอะ กินเสร็จก็ออกเดินทางกลับได้”

“ขอบคุณคุณหนูนอกกับพี่เสี่ยวเหลียน”

สองผู้คุ้มกันและสารถีพากันยัดขนมใส่ปาก เอ่ยชมขนมอร่อย

สารถีอายุมากอยู่สักหน่อย รู้สึกว่าของหวานชิ้นนุ่มพวกนี้ถูกปากมาก เขาอดชะโงกมองดูสองนายบ่าวในรถทีหนึ่งไม่ได้

รับรู้ได้ถึงสายตาของสารถี ซินโย่วก็ถามขึ้นว่า “ลุงจางมีอันใดหรือ”

“ไม่มี บ่าวแค่เกรงว่าไม่มีม่านบัง คุณหนูนอกจะไม่ชิน”

ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร อากาศตอนนี้ไม่มีม่านประตูทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นมาได้หน่อย”

“เช่นนั้นท่านก็นั่งให้ดีๆ นะขอรับ” สารถีสะบัดแส้ รถม้าเริ่มเร่งความเร็วขึ้น แล่นไปตามเส้นทางหลวง

พอรถม้าแล่นขึ้นมาจริง ๆ ลมก็พลันแรงขึ้น เสียงลมดังเข้ามาในห้องรถม้า ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวยามนี้เย็นสบายขึ้นมาก แต่กลับพัดแรงจนผมเผ้าและเสื้อผ้าคนด้านในรถปลิวสะบัด

ท้องถนนมีรถราและผู้คนไปมาไม่น้อย ตอนผ่านไปก็มองเข้ามาในรถอย่างอยากรู้อยากเห็น แม้ไม่ได้ยินเสียงคนเหล่านี้วิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็พอมองความคิดพวกเขาได้จากใบหน้า ตระกูลใดกัน นั่งรถม้าออกจากบ้าน แม้แต่ม่านหน้าต่างก็ไม่มีจะติด

สองผู้คุ้มกันนับว่าเป็นพวกหน้าหนาแล้วก็ยังแบกรับสายตาเหล่านี้ไม่ไหว เขยิบเข้าใกล้สารถีเร่งให้เขาเร็วอีกหน่อย

คนในรถม้ากลับสายตานิ่งสงบไม่แสดงความรู้สึกใด

เสี่ยวเหลียนกำลังเศร้าใจกับการจากไปของโค่วชิงชิง ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีก ส่วนซินโย่ว นอกจากเห็นใจโค่วชิงชิง ที่มากไปกว่านั้นก็คือร่างกายเริ่มรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยสบายตัว

เก็บศพเช่นนั้นมา ไม่ใช่ว่ามีแค่ความกล้าก็เพียงพอ อย่างน้อยอาหารค่ำวันนี้ก็คงกินไม่ลงแล้ว พรุ่งนี้จะกลับคืนเป็นปกติได้หรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ได้

ซินโย่วทุ่มเทแรงกายทั้งหมดไปกับการต่อสู้กับกลิ่นเหม็นรอบกายที่โชยกลิ่นจางๆ ดีที่ไม่มีม่านประตูทำให้มีแรงลมเพียงพอจะทำให้นางรู้สึกสบายขึ้นมาได้บ้าง

ลมคล้ายยิ่งแรงขึ้น

เสี่ยวเหลียนเอ่ยร้องเรียกตกใจ “คุณหนู!”

รถม้าเริ่มแล่นเร็วมาก ไม่สนใจคนที่ผ่านทางสวนมา ก็แล่นสวนผ่านไปทันที

ข้างทางมีคนส่งเสียงร้องตกใจไม่หยุด แต่สารถีเห็นรถเทียมวัวที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว ก็รีบปล่อยบังเหียนในมือ ร่างเตี้ยเล็กกลิ้งลงจากรถม้า

“คุณหนูม้าตื่น!” ร่างเสี่ยวเหลียนในรถม้าโคลงเคลง ตกใจจนหน้าถอดสี

เห็นรถเทียมวัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ซินโย่วตัดสินใจได้ทันที ด้วยความเร็วรถม้ายามนี้ พาเสี่ยวเหลียนกระโดดลงไปจะอันตรายมาก

เช่นนั้นก็ได้แต่…

ซินโย่วเพิ่งจะตัดสินใจได้ก็เห็นเงาร่างหนึ่งกระโดดขึ้นจากม้างามสง่าตัวหนึ่งที่วิ่งอยู่ขึ้นคร่อมหลังม้าที่กำลังตื่นตกใจ

แม้ว่าม้ายามตื่นตกใจวิ่งตะบึงตะบอน แต่ดีที่ยังลากตัวรถม้าไว้ด้านหลัง ความเร็วก็ไม่ได้เร็วมากมายนัก คนผู้นี้สองขาหนีบกลางลำตัวม้า ออกแรงกระชากบังเหียน เกือบจะปะทะกับรถเทียมวัวที่แล่นมา

ซินโย่วคว้ามือเสี่ยวเหลียนเอ่ยปลอบใจ “ไม่ต้องกลัว พวกเราจะไม่เป็นอันใด”

อาจเพราะสำหรับเสี่ยวเหลียนแล้ว เรื่องต่างๆ ที่ซินโย่วทำมาในหลายวันนี้ล้วนไว้วางใจได้ พอได้ยินเสียงนิ่งสงบเอ่ยปลอบโยน เสี่ยวเหลียนก็สงบลงทันที

ทั้งสองคนคล้องแขนกัน จ้องมองเงาร่างแปลกหน้าบนหลังม้าเงียบๆ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ก็พลันได้ยินเสียงดังมาจากด้านหน้าว่า “จับให้แน่น!”

จากนั้นรถม้าพุ่งทะยานรวดเร็วไปอีกระยะทางหนึ่ง สั่นสะเทือนรุนแรงก่อนที่ความเร็วจะค่อยๆ ลดลง ในที่สุดก็ม้าก็ล้มลงเสียงดัง ล้อรถม้าส่งเสียงแสบแก้วหู รถม้าหยุดนิ่งสนิทแล้ว

เสี่ยวเหลียนไม่ได้คว้าไว้แน่นเกือบจะกระเด็นออกไป ดีที่ซินโย่วดึงเอาไว้ แต่ไม่อาจคุมอาการตกใจจนต้องส่งเสียงกรีดร้องดังออกไปเสียงหนึ่งได้

“ทั้งสองท่านไม่เป็นอันใดกระมัง” ก่อนม้าจะลงพื้น ชายผู้หนึ่งก็กระโดดลงจากหลังม้าเดินมาหานาง

ซินโย่วมองไปเห็นชายในชุดแดง ผิวพรรณขาวราวกับหยก วงคิ้วเข้มดุจขนนก ประหนึ่งภาพวาดสีหมึกที่โดดเด่นที่สุดบนกระเบื้องเคลือบขาวสะอาดชั้นเลิศล้ำ

ซินโย่วอายุได้สิบหกปีแล้ว แต่ไรมาไม่เคยเห็นชายที่รูปงามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต

นางดึงเสี่ยวเหลียนเดินออกจากรถม้า ย่อกายเล็กน้อยให้ชายชุดแดง “ขอบคุณท่านผู้กล้าที่ออกหน้าช่วยเหลือ พวกเราปลอดภัยดี”

“เช่นนั้นก็ดี” ชายหนุ่มมองไปทางม้าที่ล้มอยู่บนพื้น “สถานการณ์คับขัน จำต้องสังหารม้า ไม่ทราบว่าคุณหนูมีอันใดยุ่งยากหรือไม่”

ม้าตัวนั้นนอนจมกองโลหิตนิ่งไม่ขยับ มีดสั้นปักอยู่ที่ลำคอส่องประกายวาวเยียบเย็นใต้แสงตะวัน

หากเป็นคนปกติ ย่อมไม่มีทางเอ่ยว่า แม้เจ้าจะช่วยข้า แต่ก็ต้องชดใช้ม้าข้ามาด้วย ซินโย่วเองก็เช่นกัน

“โชคดีที่ท่านผู้กล้าสังหารม้าตื่นตระหนกตัวนั้นได้ทันเวลา พวกเราจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ และไม่ได้ทำให้คนเดินผ่านไปมาต้องพลอยบาดเจ็บไปด้วย ไม่ทราบว่าท่านผู้กล้าชื่อแซ่อันใด ไว้ข้ากลับบ้านไปรายงานผู้ใหญ่ในบ้าน จะได้ไปขอบคุณถึงที่จวนท่าน”

“เรื่องขอบคุณก็ไม่จำเป็นแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ชายชุดแดงปฏิเสธโดยอ้อม

ด้านหลังมีเสียงตะโกนดังมา “คุณหนูนอก คุณหนูนอก…”

ซินโย่วมองสองผู้คุ้มกันที่วิ่งมากันอย่างร้อนใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงนิทานที่มารดานางเคยเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง หยอกล้อว่าบรรดาเหล่าผู้มีหน้าที่คุ้มกันมักจะมายามเรื่องราวจบสิ้นแล้วเสมอ

“คุณหนูนอก ท่านไม่เป็นอันใดกระมัง” สองผู้คุ้มกันกระโดดลงจากหลังม้า ถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ไม่มีอันใด ผู้กล้าท่านนี้ช่วยข้ากับเสี่ยวเหลียนไว้”

สองผู้คุ้มกันรีบประสานมือ “ขอบคุณท่านผู้กล้าที่ช่วยคุณหนูนอกเราไว้”

“เกรงใจไปแล้ว” ชายชุดแดงพยักหน้าเล็กน้อย หันหลังเดินไปยังอาชางามที่ตามตนเองมาแม้ไม่มีนายควบคุม

“ไม่ทราบว่าท่านผู้กล้าชื่อแซ่อันใด พักอยู่ที่ใด…” พอชายผู้นั้นหันมา ผู้คุ้มกันที่ส่งเสียงตะโกนอยู่ก็พลันชะงัก สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที

ชายชุดแดงสีหน้าเรียบเฉย กระตุกบังเหียนม้าจะจากไป

เห็นชายหนุ่มกระโดดขึ้นหลังม้า ซินโย่วก็ส่งเสียงเรียก “ท่านผู้กล้าโปรดช้าก่อน”

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท