ตอนที่ 18 คุยเล่น
ด้านหน้าเป็นสระน้ำที่ไม่ลึกนัก มีหญิงสาวในชุดกระโปรงสีรากบัวกำลังยืนหันหลังจ้องมองสายน้ำเงียบ ๆ
ซินโย่วจำได้ชัดเจน วันนี้ต้วนอวิ๋นหว่านมาเยี่ยมนางก็สวมกระโปรงสีนี้
“คุณหนูใหญ่!” เสี่ยวเหลียนจำได้
ซินโย่วเดินอ้อมไปหลังพุ่มดอกไม้ทันที มองไปทางสระน้ำ
ต้วนอวิ๋นหว่านไม่ขยับ คล้ายว่าแสงแดดร้อนแรงไม่ส่งผลต่อนางแม้แต่น้อย
“เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงมาชมปลายามนี้ แม้แต่บังแดดก็ไม่มี ยังไม่มีคนมาเป็นเพื่อน ไม่กลัวเป็นไข้แดดหรือ” เสี่ยวเหลียนกระซิบพึมพำ
นางย่อมมิได้ห่วงใยคุณหนูใหญ่ เพียงแต่คิดไม่ตกจริงๆ
ซินโย่วไม่ได้ตอบ แต่หวนนึกถึงภาพนั้น
ก็คือสระน้ำตรงหน้า และก็เป็นยามแดดแรงกล้าเช่นนี้ ยามนี้กำลังมีปลาไนหลายตัวว่ายน้ำเกียจคร้านไปมาอยู่ในสระพอดี
หรือว่าเป็นวันนี้?
ซินโย่วพลันไม่อยากจะเชื่อ
แม้นายหญิงใหญ่ต้องการปิดปากต้วนอวิ๋นหว่าน แต่เกรงว่าจะเร็วเกินไปสักหน่อยไหม
เห็นหน้าผากและปลายจมูกซินโย่วมีเหงื่อซึมออกมา สองแก้มขาวเนียนก็แดงระเรื่อ เสี่ยวเหลียนถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “คุณหนู ร้อนแล้วกระมัง”
ซินโย่วส่ายหน้า จ้องมองสระน้ำตรงหน้าไม่กะพริบตา “ไม่เป็นอันใด”
“พวกเราจะไปทางนั้นหรือ”
“รอดูตรงนี้ก่อน”
เสี่ยวเหลียนได้ยินซินโย่วเอ่ยเช่นนี้ ก็ไม่ส่งเสียงรบกวนอีก แม้ไม่รู้ว่าคุณหนูต้องการดูอันใด แต่ก็รอดูตาม
ดูไปดูมาก็พบว่าต้วนอวิ๋นหว่านเริ่มเดินจากไปแล้ว…
สาวใช้ตื่นตะลึงมองไปทางซินโย่ว “คุณหนู นางไปแล้ว!”
ซินโย่วยกผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เสี่ยวเหลียน “?”
กลับถึงเรือนหว่านฉิง เจี้ยงซวงยกชามขนมหวานเย็นเข้ามาสองชาม บอกว่าพ่อครัวให้นำมาให้
ซินโย่วกินขนมหวานเย็นไปหลายคำ พลันรู้สึกไอร้อนบรรเทาลงไม่น้อย
เสี่ยวเหลียนกินเร็วยิ่งกว่า กินหมดก็ถอนหายใจ “อร่อยจริง บ่าวพลอยได้รับอานิสงส์จากคุณหนูไปด้วย”
ซินโย่วยิ้มหวาน กล่าวว่า “เจ้าเคยกินขนมหวานเย็นที่ชื่อว่านมเย็นไหม ราดน้ำเชื่อมผลไม้พร้อมกับหั่นผลไม้ชิ้นเล็กลงไปด้วย รสชาติดีกว่าขนมหวานเย็นนี้อีก”
เสี่ยวเหลียนได้ยินก็กลืนน้ำลายเอื้อก “ได้ยินชื่อก็รู้สึกอร่อยแล้ว กินได้ที่ไหนหรือเจ้าค่ะ”
ซินโย่วลังเลเล็กน้อยเอ่ยว่า “ท่านแม่ข้าทำให้ข้ากิน ไว้มีเวลาว่าง ข้าจะลองทำดู”
เอิ่ม น่าจะทำสำเร็จกระมัง
คิดถึงผลลัพธ์ที่เคยลงครัว ซินโย่วก็ไม่มั่นใจในตนเองนัก
เสี่ยวเหลียนกลับไม่ทันรู้ตัว ตบมือดีใจเอ่ยว่า “เยี่ยมเลย ถึงตอนนั้นบ่าวเป็นผู้ช่วยคุณหนู จะได้ลองดูว่านมเย็นรสชาติยอดเยี่ยมเช่นไร”
กินขนมหวานเย็นไปแล้ว ซินโย่วก็รู้สึกง่วง จึงขึ้นเตียงเอนตัวลงนอนสักครู่
จากนั้นก็ไม่มีอันใด วันถัดมาท้องฟ้าครึ้ม ซินโย่วไปเรือนหรูอี้ถังคำนับนายหญิงผู้เฒ่าตามกำหนดเวลา
นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยว่า “บอกให้เจ้าพักผ่อนให้มากหน่อย เหตุใดยังมาอีก”
ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “เดิมก็ไม่ได้มีงานอันใด ข้ารู้ว่าท่านยายรักข้า ข้าก็คิดถึงท่านยาย”
“นังหนูน้อยปากหวานขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ” นายหญิงผู้เฒ่าได้ฟังก็ดีใจ เหลือบมองเฉียวซื่อทีหนึ่ง
เฉียวซื่อยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าดังเดิม
ซินโย่วแอบสังเกตต้วนอวิ๋นหว่าน พบว่าอีกฝ่ายคล้ายว่าผัดแป้งหนาอยู่สักหน่อย
นี่เป็นเพราะนอนไม่ค่อยหลับหรือ
พอเลยเที่ยงไปแล้ว แม้ว่าฟ้ายังคงครึ้มอยู่ ซินโย่วยังส่งเสี่ยวเหลียนไปสวนดอกไม้ ไม่นานเสี่ยวเหลียนก็กลับมารายงาน
“คุณหนู ท่านเดาถูกต้องแล้ว คุณหนูใหญ่อยู่ที่นั่นดังคาด บ่าวมองดูนางจากไปแล้วจึงได้กลับมา”
ซินโย่วพยักหน้า ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปดูอีก
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังคงฟ้าครึ้ม คล้ายว่าฝนจะตก รอจนบ่าย ฟางหมัวมัวก็กลับมาจากข้างนอก
“คุณหนู บ่าวไปข้างนอกได้ยินข่าวเกี่ยวกับจวนรองเจ้ากรมมาเจ้าค่ะ”
หลายวันนี้ฟางหมัวมัวไปข้างนอกทุกวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ข้อมูลมาแล้ว
“ข่าวอันใดหรือ” เสี่ยวเหลียนมุดเข้ามาหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้กลม
ฟางหมัวมัวยื่นมือจิ้มหน้าผากนางทีหนึ่ง “เพราะคุณหนูให้ท้ายเจ้ามากเกินไป นับวันยิ่งไร้ธรรมเนียมแล้ว”
เสี่ยวเหลียนคลำหน้าผากป้อยๆ เอ่ยเร่ง “ฟางหมัวมัว รีบว่ามาเร็ว คุณหนูรออยู่นะ”
ฟางหมัวมัวกวาดตามองไปที่ประตูหรี่เสียงให้เบาลง “พูดกันไปต่างๆ นานา ที่ยากรับฟังที่สุดก็คือว่าหากไม่มีคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรม ทรัพย์สมบัติคุณหนูนอกผู้นั้นก็จะตกเป็นของจวนรองเจ้ากรม จวนรองเจ้ากรมยังไม่ต้องให้สินออกเรือนคุณหนูนอกแล้ว”
กล่าวอีกอย่างก็คือ อย่าคิดว่าจะได้ครองสมบัติโค่วชิงชิง ตอนนางในฐานะเด็กกำพร้าที่มาพึ่งพิงบ้านยายตนออกเรือน จวนรองเจ้ากรมยังต้องจัดสินออกเรือนที่ไม่น้อยหน้ากว่าคุณหนูในจวนให้กับโค่วชิงชิงอีกด้วย
เช่นนี้จึงจะได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นตระกูลทรงคุณธรรม เพราะเสี่ยวเหลียนร่ำไห้ต่อหน้าสาธารณชน ทำให้ผู้คนพากันคิดไปต่างๆ นานา
เมืองหลวงใกล้พระเนตรพระกรรณ อุดมสมบูรณ์และสงบสุข เมืองหลวงไม่เคยขาดแคลนบรรดาผู้ชมที่สายตาแหลมคมและว่างงานพวกนั้น แม้ว่าเมื่อสี่ปีก่อน โค่วชิงชิงเข้าเมืองหลวงมาเงียบๆ คนเหล่านี้ก็ยังคงพอคาดเดาบางอย่างได้จากชาติกำเนิดของคุณหนูนอกผู้นี้
เช่นว่า ทรัพย์สมบัติติดตัวของคุณหนูนอก เงินทองล้านตำลึงไม่มีคนกล้าคิด แต่แสนตำลึงหรือแปดหมื่นตำลึงก็กล้าพอจะคาดเดา
แสนตำลึง เงินทองมากมายจริง!
เสี่ยวเหลียนยิ้มเยาะ “ไหนเลยเป็นวาจายากรับฟังที่สุด เห็นชัดว่าเป็นวาจาจริงแท้!”
ถึงตอนนี้แล้ว นางก็ยิ่งเข้าใจสาเหตุที่ซินโย่วให้นางร้องไห้ในตอนนั้นแล้ว
“ยังมีท่านผู้กล้าที่ช่วยคุณหนูไว้ท่านนั้น บ่าวก็ไปสืบความสถานะเขามาแล้ว” ฟางหมัวมัวแย้มยิ้มมุมปาก ในใจผ่อนคลายลงมาก
ฟางหมัวมัวอายุอานามขนาดนี้ย่อมได้ยินได้ฟังเรื่องราวมามากกว่าเสี่ยวเหลียน ได้ยินเรื่องเล่าเหล่านี้ก็รู้ว่าคุณหนูย่อมปลอดภัยชั่วคราวแล้ว
ข่าวลือสังหารผู้คนได้ และก็ช่วยเหลือผู้คนได้เช่นกัน
คิดอีกที เดิมลุงควรเป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุด แต่กลับบีบคั้นหมายเอาชีวิต ต้องอาศัยข่าวลือจากผู้คนภายนอกปกป้องรักษาชีวิต ในใจฟางหมัวมัวก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
ซินโย่วไม่รู้ความคิดสับสนวุ่นวายในใจฟางหมัวมัว เลิกคิ้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “สืบมาได้เร็วเพียงนี้เลยหรือ”
ฟางหมัวมัวยิ้มเอ่ย “สืบไม่ยากเจ้าค่ะ เดิมผู้กล้าท่านนั้นก็พอมีชื่อเสียงในเมืองหลวง เขาแซ่เฮ่อ นามว่าชิงเซียว เป็นถึงท่านโหว”
ซินโย่วฟังเงียบๆ รู้ว่ายังมีเรื่องราวต่ออีก
เจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเป็นตำแหน่งสำคัญ เลือกผู้มีบรรดาศักดิ์รับตำแหน่งก็ไม่แปลกอันใด
ดังคาด สีหน้าฟางหมัวมัวแปรเปลี่ยน เสียงยิ่งแผ่วเบาลง “แต่สถานะท่านโหวหนุ่มผู้นี้น่าอึดอัดเจ้าค่ะ บิดาเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ในช่วงวิกฤตออกศึกสงครามนั้นได้ร่วมกันก่อตั้งแผ่นดิน ต่อมาแยกกันตั้งตนเป็นใหญ่ พอฮ่องเต้มีชัยเหนือบิดาเขา แต่ก็เห็นแก่ความเป็นพี่น้องร่วมสาบานจึงไว้ชีวิตท่านโหวผู้นั้น ยังแต่งตั้งเขาเป็นฉางเล่อโหว…”
“ฉางเล่อโหว…” ซินโย่วพึมพำขึ้นเบาๆ เข้าใจถึงท่าทางหลบเลี่ยงของนายหญิงผู้เฒ่า
ตอนนี้ขุนนางไม่แน่ใจว่าฮ่องเต้ยังมีความผูกพันกับพี่น้องร่วมสาบานผู้นี้จริงหรือไม่ หรือว่าต้องการแสดงถึงพระเมตตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่แน่ใจได้เรื่องหนึ่งก็คือ ฮ่องเต้ไม่ยินดีทอดพระเนตรเห็นขุนนางใกล้ชิดกับฉางเล่อโหวท่านนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาได้เป็นเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินได้อย่างไร”
ฟางหมัวมัวส่ายหน้า “บ่าวไม่ได้สืบเรื่องพวกนี้มาเจ้าค่ะ”
“ลำบากแม่นมแล้ว แม่นมไปพักผ่อนเถอะ”
ฟางหมัวมัวออกไปครึ่งวันก็เหนื่อยแล้วจริงๆ ได้ยินซินโย่วเอ่ยก็ไปพักผ่อน
“คุณหนูฉลาดจริง” เสี่ยวเหลียนนวดไหล่ให้ซินโย่ว เอ่ยคำพูดที่ตอนฟางหมัวมัวอยู่ไม่อาจเอ่ยออกมา “หากคุณหนูเราเหมือนท่าน…ก็คงดี”
เช่นนั้นบางทีคุณหนูอาจยังมีชีวิตอยู่
ซินโย่วมองไปทางเสี่ยวเหลียน ตบมือนางเบาๆ “ไม่ใช่เพราะข้าฉลาดกว่าคุณหนูโค่ว แต่คุณหนูโค่วถูกความสัมพันธ์เครือญาติบดบังดวงตา ส่วนข้าเป็นคนนอก”
นางจะต้องลืมตามองความโสมมแทนคุณหนูโค่วให้กระจ่าง แก้แค้นให้คุณหนูโค่ว
บนท้องถนนยามนี้ เฮ่อชิงเซียวในชุดแดงกำลังเร่งเดินไปข้างหน้า ด้านหลังมีลูกน้องตามมาสองคน
พลันรับรู้ได้ถึงอันตราย ร่างกายว่องไวกว่าสมองสั่งการ ขยับตัวหลบไปก้าวหนึ่ง ของมีน้ำหนักหนึ่งตกลงบนพื้นส่งเสียงดังไม่น้อย
เฮ่อชิงเซียวจ้องมองนิ่ง เป็นกระถางดอกไม้ที่แตกละเอียดใบหนึ่ง