ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
“นายมาได้ไงเนี่ย?”
เด็กสาวทักทายผมด้วยคำถามแทนที่จะเป็นคำทักทายปกติทั่วไป
เธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมยาวสีดำถูกรวบไว้ด้านหลังเป็นทรงหางม้า ดวงตาใสกระจ่างแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจ เสื้อยืดสีขาวเข้ารูปรับกับกางเกงขาสั้นธรรมดาๆ แต่กลับให้ความรู้สึกชวนมองจนน่าประหลาด ทั้งหมดคลุมทับด้วยเสื้อแขนยาวมีฮูดที่มองดูแล้วคุ้นตาตั้งแต่แรก
[‘อ่ออ… เสื้อคลุมที่ใส่ไปซื้อของคืนนั้น’]
โอโตเมะ อามายะ เอียงคอมองผมด้วยสีหน้าสงสัย ผมเห็นเธอยกมือมาโบกตรงหน้าผมด้วย ตลกดี
“ฉันเดินมาน่ะ เธอล่ะ มายังไง?”
“เอ๊ะ? อ่อ ฉันมากับพี่น่ะ… ขำอะไร หน้าแบบนั้นคือเมื่อกี้ตอบกวนฉันใช่มั้ย”
โอโตเมะเอามือข้างนึงขึ้นมาเท้าเอวมองค้อนผมแรงๆ แต่ผมไม่คิดว่าเธอจะโกรธจริงๆ หรอก ถึงเธอจะเริ่มทำตาเขียวแล้วก็เหอะ
“โทษทีๆ ฉันมากับรุ่นพี่น่ะ แต่แอบหนีออกมา”
“หืมม คุณนาคาจิมะน่ะหรอ?”
“อ่า…”
ผมยืนคุยกับโอโตเมะอยู่จนกระทั่งเด็กทั้งสามคนเล่นยิงปืนเสร็จแล้วจึงหันไปบอกเจ้าของร้าน
“พี่ชาย ผมขอชุดนึง”
เจ้าของร้านมองผมแล้วหันไปมองโอโตเมะแวบนึงก่อนจะส่งกระสุนมาให้
ผมรับกระสุนมาแล้วมองปืนที่อยู่ตรงหน้า เมื่อกี้มัวแต่คุยกับโอโตเมะเลยไม่ได้สังเกตปืนแต่ละอันเท่าไร ถ้าจะให้ชัวร์คงต้องลองทีละอันละนะ
ผมหยิบปืนอันนึงที่เมื่อกี้รู้สึกว่ามันจะยิงดีกว่าอื่นๆ ขึ้นมาลองใส่กระสุนพร้อมกับตั้งท่าเล็ง ในตอนนั้นเองเสียงใสๆ ก็ดังขึ้นมาข้างๆ
“นี่ นายยิงแม่นหรอ?”
โอโตเมะเขยิบมายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอมองผมด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนผู้ประสบภัยทางทะเลทรายเดินมาเจอโอเอซิส
“อืมม ก็พอได้”
“เหหห…”
น้ำเสียงของเด็กสาวอ่อยลงจนผมรู้สึกเสียใจกับคำตอบของตัวเอง เธอก้มหน้าลงแล้วเดินกลับไปยืนที่เดิมที่เธอยืนทีแรก
[‘เราตอบอะไรผิดไปล่ะเนี่ย?’]
ผมมองเธออย่างสงสัยแต่เหมือนเธอจะไม่รู้ตัว สายตาเธอมองไปที่พวกกุญแจหมีอันนึงบนชั้นรางวัล เป็นหมีที่มีปีกเหมือนเทวดา สลับกับหันไปมองทางหน้าร้านเหมือนกำลังรอใคร
[‘หืมมม…’]
ผมเลิกสนใจเธอแล้วกลับมาลองปืนทุกอันจนหมดกระสุนชุดแรก จากนั้นจึงเริ่มต้นการล่ารางวัลของจริงของค่ำคืนนี้
แป๊ะ… แป๊ะ… แป๊ะ
เสียงปืนอัดลมดังขึ้นพร้อมกับกระสุนจุกยางที่พุ่งตัวออกจากปากกระบอกปืน แม้จะเข้าเป้าทุกนัดแต่กว่าเป้านั่นจะหล่นลงมาก็ใช้กระสุนไม่ต่ำกว่าสองนัด
แป๊ะ… แป๊ะ
พอหมุดกระสุนชุดที่สองสิ้นสงครามของผมก็ถูกพี่ชายเจ้าของร้านเก็บมาส่งมอบให้ถึงที่
เป็นพวงกุญแจสองอัน อันนึงเป็นหมีขนปุยมีปีสีขาวเหมือนเทวดาอยู่ข้างหลัง อีกอันเป็นหมาชิบะที่เหมือนทำหน้ายิ้มตลอดเวลาเห็นแล้วน่าหมั่นไส้เลยยิงมันลงมา
ได้สินสงครามมาแล้วหันไปมองข้างๆ ปรากฏว่าโอโตเมะยังยืนอยู่ที่เดิม เหม่อมองไปที่ผู้คนที่กำลังเดินสวนกันไปมาในงาน
“รอแฟนหรอ?”
โอโตเมะตอบสนองกับคำถามของผมด้วยการหันซ้ายมองขวา หันไปหันมาจนผมกลัวว่าเธอจะคอเคล็ด
“ฉันถามเธอนั่นแหละ”
“เอ๊ะ?!”
โอโตเมะเอามือชี้มาที่ตัวเองพร้อมทำหน้าสงสัยเหมือนจะเช็กอีกรอบว่าผมถามเธอจริงๆ ใช่หรือเปล่า
“นี่นายเห็นฉันไม่มีแฟนเลยมาล้อฉันเล่นใช่มั้ย?”
[‘ทำตาขวางใส่กันอีกแล้ว แฮะๆๆ]
“เปล่า ก็เห็นเหมือนรอคนอยู่เลยถามดู”
“ฉันรอพี่ต่างหากล่ะ ก็บอกไปแล้วนิว่ามากับพี่”
“อืมม ก็จริง”
โอโตเมะทำเสียงฮึขึ้นจมูกแล้วบ่นว่าผมชอบหาเรื่องเธอ
“ก็แกล้งเธอแล้วสนุกนินา”
“หรอยะ!!”
“อ๊ะๆๆ… ยอม อ่ะให้ตีมือละกันนะ”
“ฮ่าๆๆ อะไรของนายเนี่ย ยอมรับโทษง่ายๆ แบบนี้ได้ไง”
ผมถอยฉากออกมาให้พ้นระยะทำการของโอโตเมะก่อนจะยื่นมือไปให้เธอทำโทษ พอเธอเห็นผมทำแบบนั้นก็หัวเราะเหี้ยมๆ ทำท่าจะตีมือผมจริงๆ แต่พอเห็นของในมือก็ชะงักไปเสียก่อน
“เอ๊ะ?”
เสียงเล็กๆ หลุดจากริมฝีปากฉ่ำวาวเบาๆ บ่งบอกถึงความแปลกใจและความสงสัยของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน
โอโตเมะมองพวกกุญแจในมือผมแล้วหันไปมองที่ชั้นรางวัลในร้านยิงปืน เธอมองจ้องค้างแบบนั้นจนผมต้องเรียกเธอ เธอจึงหันมา
“เอามั้ย?”
“…”
“ฉันเห็นเธอมองมันเลยคิดว่าอยากได้ ฉันได้ของฉันมาแล้วเลยลองยิงมาเผื่อเธออยากได้”
โอโตเมะไม่ตอบอะไรเพียงแค่มองผมด้วยใบหน้าเหมือนคนที่คุยกันคนละภาษา
[‘น่าจะไม่อยากได้แฮะ สงสัยเราจะมองผิด’]
เนื่องจากพูดอะไรไปโอโตเมะก็เงียบ ผมเลยเก็บพวงกุญแจกลับมา ไหนๆ ก็ได้มาเป็นสินสงครามชิ้นแรกแล้วเดี๋ยวเอาไปให้พวกโคสุเกะก็ได้
ผมเอาพวงกุญแจทั้งสองใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ตั้งใจว่าจะไปล่ารางวัลที่ร้านอื่นสักนิด หาของกินเพิ่มสักหน่อย ค่อยไปหาที่นั่งดูดอกไม้ไฟ
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉัน… หือออ…”
กำลังจะบอกลาแต่คำพูดกลับต้องสะดุดเพราะโอโตเมะที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำท่าทางแปลกๆ
เธอเงยหน้ามองผม ปากอ้าออกน้อยๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูด สีหน้าดูร้อนใจ ถูมือกันไปมา
ดูแล้วประหลาด…
แต่ผมก็มีมารยาทพอที่จะไม่ทักเธอออกไปแบบนั้น ดังนั้นผมจึงมองเธอและรอให้เธอพูดธุระของตัวเองออกมา
“เอ่อออ… คือ… คือว่า… พวงกุญแจแฟรี่แบร์นั้นน่ะ คือ… ขอซื้อต่อได้มั้ย… อึก”
โอโตเมะที่ก้มหน้าก้มตาพูดอึกๆ อักๆ ถอยฉากไปครึ่งก้าว ท่าทางที่เธอสะดุ้งตอนเงยหน้ามาเจอผม เห็นแล้วอดขำไม่ได้
เพราะเธอพูดอึกๆ อักๆ แถมเสียงเบาจนต้องก้มหน้าเข้าไปใกล้ถึงจะได้ยิน ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาสายตาเราเลยประสานกันพอดี
[‘มองกี่ทีก็สวยแฮะ’]
ผมหยุดหัวเราะโอโตเมะที่หน้าเริ่มขึ้นสีแดงมากขึ้นก่อนจะโดนเธอตีเพราะไปแกล้งให้เธอโกรธ พลางล้วงเอาพวงกุญแจที่เก็บไปเมื่อกี้ออกมา
“เธอหมายถึงอันนี้หรอ?”
พวงกุญแจหมีติดปีกแกว่งไปมาตรงหน้าโอโตเมะ ดูแล้วเหมือนเธอจะชอบมากเพราะตาเธอเป็นประกายทันทีที่เห็นมัน
“นายจะขายเท่าไร” / “เอาไปซิ ฉันยิงมาให้”
เราพูดขึ้นมาพร้อมกันแล้วเราก็เงียบไปพร้อมกัน เธอมองหน้าผม ผมก็มองหน้าเธอ
“เธอจะซื้อทำไม?” / “นายจะให้ฉันหรอ?”
“…” / “…”
“หุๆๆ ฮ่าๆๆ” / “ฮิๆๆ คิกๆๆ”
ทั้งผมทั้งโอโตเมะพากันหัวเราะให้กับความมีจังหวะจะโคนที่ดูเหมือนเตี๊ยมกันมาของเราทั้งคู่ ยืนหัวเราะอยู่นานจนพี่ชายร้านยิงปืนกระแอมดังๆ ให้ได้ยิน
[‘แย่ละซิ ยืนเกะกะหน้าร้านเขานิหน่า’]
หลังถูกเตือนอ้อมๆ ผมกับโตเมะก็เขยิบออกมาจากหน้าร้านมายืนกันตรงที่โอโตเมะยืนรอพี่ในตอนแรก ก่อนที่ผมจะยื่นพวงกุญแจที่เธอเรียกว่าแฟรี่แบร์ให้เธอไป กว่าเธอจะยอมรับได้ว่าผมยกให้ฟรีๆ ก็เล่นเอาเสียน้ำลายไปพอสมควร
“ว่าแต่พี่เธอไปไหนล่ะ? ฉันก็มาตั้งนานแล้วนะ ยังไม่เห็นพี่เธอเลย”
ผมถามโอโตเมะที่กำลังทำหน้าเหมือนเด็กประถมได้ของเล่นใหม่ถูกใจ
“นั่นน่ะซิ ไปนานแล้วไม่เห็นมาซะที”
โอโตเมะเงยหน้าจากไอเทมใหม่ในมือมามองรอบๆ
“ไม่ได้บอกหรอว่าไปไหน?”
“เห็นว่าจะไปคุยงานหรืออะไรนี่แหละ”
“ไม่ลองโทรหาล่ะ?”
“ฉันลืมโทรศัพท์ไว้ในรถน่ะ”
“งั้นไม่ลองเดินไปดูที่รถล่ะ พี่เธออาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้”
“พี่บอกให้รออยู่นี่น่ะ คนมันเยอะ คลาดกันแล้วจะหากันลำบาก”
พอนึกถึงจำนวนคนขึ้นมาก็รู้สึกว่าถ้าคลาดกันคงจะลำบากจริงๆ
ผมมองโอโตเมะที่เหม่อมองไปยังผู้คน ดูเหมือนเด็กน้อยรอพ่อแม่มารับไปเที่ยว อดที่จะรู้สึกทั้งขำทั้งสงสารไม่ได้
“ยืมของฉันก่อนมั้ย?”
ผมยื่นโทรศัพท์ให้เธอ จุดประสงค์คือจะช่วยให้เธอติดต่อกับพี่เธอได้
“เอ๊ะ?”
โอโตเมะมองโทรศัพท์ในมือผมสลับกับมองหน้าผม ก้มๆ เงยๆ จนผมสงสารคอของเธออีกครั้ง
“ถ้าไม่อยากใช้ก็ขอโทษที แค่คิดว่าเธออาจจะอยากติดต่อพี่ดูน่ะ”
เห็นโอโตเมะไม่รับโทรศัพท์ไปผมก็เก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเองอีกครั้ง
“อ๊ะ! ดะ..เดี๋ยววว… เดี๋ยวซิ”
โอโตเมะคว้าแขนผมแต่เธอคงออกแรงมากไปหน่อยผมเลยรู้สึกเหมือนโดนดึงเข้าหาเธอ พอเกร็งตัวเองให้อยู่กับที่ ทีนี้กลายเป็นว่าเราอยู่ในท่ายื้อยุดฉุดกระชากกันซะงั้น
“อ๊ะ…ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
โอโตเมะปล่อยแขนผม เธอก้มหน้าพึมพำขอโทษเบาๆ ผมจึงยื่นโทรศัพท์ให้เธออีกครั้ง
“ให้ฉันใช้ได้จริงๆ หรอ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? หรือเธอใช้ไม่เป็น?”
ชุดความคิดประหลาดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
[‘หรือว่ายัยนี่ใช้โทรศัพท์รุ่นนี้ไม่เป็น บ้าน่า…’]
พอเผลอหลุดความคิดออกไปว่า ไม่จริงน่า… เธอใช้เครื่องรุ่นเก่าไม่เป็นหรอ โอโตเมะก็ทำตาโตจ้องผมเขม็งทันที
“บ้า ใช้เป็นหรอกย่ะ แค่เกรงใจเฉยๆ หรอก”
“อ่อออ… โล่งอก นึกว่าโทรศัพท์ฉันมันตกรุ่นจนคนอื่นใช้ไม่เป็นแล้วซะอีก”
โอโตเมะไม่ได้ว่าอะไรต่อ เธอขอบคุณแล้วเอาโทรศัพท์ผมไปพิจารณาเล็กน้อยก่อนจะกดเบอร์โทร แต่จู่ๆ เธอก็ชะงัก หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันเหมือนกำลังเผชิญปัญหาอยู่
นั่นทำให้ผมคิดได้ว่าตัวเองบันทึกเบอร์พี่สาวของเธอเอาไว้นี่หว่า หรือว่าเธอจะเห็นมันแล้ว
“เป็นอะไรหรอ? อ่ออ… หรือโทรศัพท์ค้าง ฮ่าๆ โทษทีนะ บางทีมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
ผมพยายามแถแล้วอาศัยจังหวะนั้นมองโทรศัพท์ตัวเอง ใจก็คิดว่าก็คิดว่าถ้าเธอถามจะตอบยังไงดี แต่ปรากฏว่าหน้าจอค้างอยู่หน้าปุ่มกด
[‘อ้าว ค้างจริงดิ?’]
ผมลองเอานิ้วไปจิ้มๆ ที่หน้าจอ ตัวเลขยังคงขึ้น เครื่องยังตอบสนองตามปกติ งั้นทำไมโอโตเมะถึงชะงักแบบนั้น
พอมองไปที่เจ้าตัว เธอก็มองมาที่ผมเหมือนรอจังหวะอยู่
“ทะ… ทำไงดีล่ะ ฉันจำเบอร์โทรพี่ไม่ได้”
“เอ๊ะ?”
“ฉันจำเบอร์โทรของพี่ไม่ได้”
“ไหงงั้น?”
“ก็ปกติโทรผ่าน RaNE นิ มันไม่ได้ใช้เบอร์โทรสักหน่อย”
ผมอึ้งกับคำตอบของโอโตเมะจนไม่ได้ตอบอะไรเธอไป คิดตามหลักเหตุและผลมันก็จริงอย่างที่เธอว่า สมัยนี้น้อยคนที่จะมานั่งจำเบอร์โทรกัน
“งั้นเอาไง ลองโทรเข้าเบอร์ตัวเองมั้ย เผื่อพี่เธออยู่ที่รถ”
หรือจะโทรไปที่บ้าน พอเสนอไปหลายๆ อย่างโอโตเมะก็เลือกลองโทรเข้าโทรศัพท์ตัวเองดู ส่วนที่ไม่เลือกโทรกลับบ้านเพราะกลัวว่ามันเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต